คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ปรีชา บูรณะไทย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 307 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 456/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องชำรุดบกพร่อง: การซ่อมแซมต่อเนื่องทำให้สะดุดหยุดลง และการปฏิเสธความรับผิดทำให้เริ่มนับอายุความใหม่
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา474บัญญัติไว้ว่า"ในข้อรับผิดเพื่อชำรุดบกพร่องนั้นท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นเวลาหนึ่งปีหนึ่งนับแต่เวลาที่ได้พบเห็นความชำรุดบกพร่อง"โจทก์พบเสื้อเกียร์แตกครั้งแรกเมื่อวันที่27มีนาคม2532และจำเลยที่1ได้รับไปซ่อมเมื่อวันที่29มีนาคม2532แล้วนำมาส่งคืนเมื่อวันที่24สิงหาคม2532เช่นนี้ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่1กระทำการอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์แล้วอายุความย่อมสะดุดหยุดลงตั้งแต่วันที่29มีนาคม2532ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา172(เดิม)ต่อมาวันที่16ธันวาคม2532โจทก์ติดตั้งเกียร์ทดพร้อมอุปกรณ์ดังกล่าวเป็นครั้งที่2ใช้งานจนถึงวันที่25ธันวาคม2532ปรากฎว่าเสื้อเกียร์ได้แตกเหมือนเดิมจำเลยที่1ได้รับคืนไปซ่อมอีกแล้วส่งคืนโจทก์เมื่อวันที่9สิงหาคม2533และมีการติดตั้งเกียร์ทดพร้อมอุปกรณ์ดังกล่าวเป็นครั้งที่3จากนั้นวันที่20พฤศจิกายน2533โจทก์ได้ใช้เกียร์ทดพร้อมอุปกรณ์ดังกล่าวใช้ได้ประมาณ2ถึง3วันเสื้อเกียร์ก็แตกอีกดังนี้แสดงว่าจำเลยที่1ยังไม่สามารถแก้ไขความชำรุดบกพร่องในจุดเดิมคือที่เสื้อเกียร์ของเกียร์ทดและอุปกรณ์นั้นให้โจทก์สามารถใช้งานได้ตามปกติอันเป็นประโยชน์ที่มุ่งหมายในสัญญาอายุความจึงยับคงสะดุดหยุดลงอยู่ต่อมาโจทก์มีหนังสือแจ้งให้แต่จำเลยที่1ส่งช่างไปแก้ไขแต่จำเลยที่1กลับปฎิเสธความรับผิดเมื่อวันที่28พฤศจิกายน2533จึงเป็นเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้นได้สิ้นสุดลงต้องเริ่มนับอายุความเดิม1ปีใหม่ตั้งแต่วันที่28พฤศจิกายน2533

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 456/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความชำรุดบกพร่อง: การซ่อมแซมต่อเนื่องทำให้อายุความสะดุดหยุดลง จนจำเลยปฏิเสธความรับผิดจึงเริ่มนับอายุความใหม่
โจทก์ผู้ซื้อพบ เสื้อเกียร์แตกครั้งแรกเมื่อวันที่27มีนาคม2532และจำเลยที่1ผู้ขายได้รับไปซ่อมเมื่อวันที่29มีนาคม2532แล้วนำมาส่งคืนถือว่าจำเลยที่1กระทำการอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์แล้วอายุความย่อมสะดุดหยุดลงตั้งแต่วันที่ได้รับไปซ่อมแต่เมื่อเสื้อเกียร์ก็ยังแตกอีกหลายครั้งโดยจำเลยที่1ไม่สามารถแก้ไขความ ชำรุดบกพร่องในจุดเดิมได้อายุความจึงยังคงสะดุดหยุดลงอยู่ต่อมาโจทก์แจ้งให้จำเลยที่1ส่งช่างไปแก้ไขแต่จำเลยที่1ปฏิเสธความรับผิดเป็นเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้นได้สิ้นสุดลงต้อง เริ่มนับอายุความ 1ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา474ใหม่ตั้งแต่วันดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 445/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของธนาคารต่อความเสียหายจากความประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติงาน
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดโดยอาศัยมูลหนี้จากการกระทำละเมิดและการผิดสัญญาฝากทรัพย์เพราะจ่ายเงินของโจทก์ให้ผู้อื่นไปโดยความประมาทเลินเล่อปราศจากความระมัดระวังและฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการธนาคารอันเป็นอาชีวะของจำเลย จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม ที่ใช้ขณะเกิดเหตุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 445/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีละเมิด/ผิดสัญญาฝากทรัพย์ในกิจการธนาคาร: 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งฯ มาตรา 164 เดิม
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดโดยอาศัยมูลหนี้จากการกระทำละเมิดและการผิดสัญญาฝากทรัพย์เพราะจ่ายเงินของโจทก์ให้ผู้อื่นไปโดยความประมาทเลินเล่อปราศจากความระมัดระวังและฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการธนาคารอันเป็นอาชีวะของจำเลยจึงมีอายุความ10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา164เดิมที่ใช้ขณะเกิดเหตุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 445/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีละเมิดและผิดสัญญาฝากทรัพย์ กรณีธนาคารจ่ายเงินผิดพลาด
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดโดยอาศัยมูลหนี้จากการกระทำละเมิดและการผิดสัญญาฝากทรัพย์เพราะจ่ายเงินของโจทก์ให้ผู้อื่นไปโดยความประมาทเลินเล่อปราศจากความระมัดระวังและฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการธนาคารอันเป็นอาชีวะของจำเลย จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม ที่ใช้ขณะเกิดเหตุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 326/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาคดียาเสพติด: พยานหลักฐานไม่เพียงพอและข้อสงสัยมีเหตุผล จำเลยต้องได้รับการยกประโยชน์แห่งความสงสัย
จำเลยที่1มีเฮโรอีนซึ่งคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก2,885กรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยลักษณะของคดีและพฤติการณ์ที่เจ้าพนักงานตำรวจวางแผนให้สายลับเข้าไปล่อซื้อมีความซับซ้อนพอสมควรเชื่อว่าเป็นการกระทำเป็นขบวนการซึ่งย่อมต้องมีผู้ร่วมขบวนการด้วยเมื่อพยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกันว่าจำเลยที่2และที่3เข้าไปเกี่ยวข้องกับจำเลยที่1ในการล่อซื้อเฮโรอีนดังกล่าวและถูกจับได้พร้อมของกลางในห้องพักเดียวกันอันเป็นพฤติการณ์ที่แสดงออกในลักษณะร่วมขบวนการเดียวกันพยานหลักฐานโจทก์จึงฟังได้ว่าจำเลยที่2และที่3ร่วมกับจำเลยที่1มีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายส่วนจำเลยที่4ถึงที่6ซึ่งโจทก์นำสืบว่ามีส่วนรู้เห็นกับการเตรียมส่งมอบเฮโรอีนของกลางโดยเป็นผู้นำเฮโรอีนไปส่งให้แก่จำเลยที่3นั้นพยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจเบิกความแตกต่างจากคำพยานคนกลางอีกทั้งบริเวณนั้นก็มีแสงสว่างน้อยพยานโจทก์ซุ่มดูเหตุการณ์ห่างกัน10เมตรเศษเชื่อว่าพยานโจทก์ไม่สามารถมองเห็นกลุ่มคนดังกล่าวได้ชัดเจนพอพยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักฟังว่าจำเลยที่4ถึงที่6ได้ร่วมกระทำผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 228-231/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องตามสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก, อายุความ 10 ปี, การจดทะเบียนเช่า และการเริ่มนับอายุสัญญา
จำเลยกับต. ได้ทำสัญญาก่อสร้างอาคารมีสาระสำคัญว่าให้ต. เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายและดำเนินการก่อสร้างตึกแถวและทาวน์เฮาส์รวม92ห้องบนที่ดินของจำเลยให้แล้วเสร็จภายใน3ปีนับแต่วันทำสัญญาหากสร้างไม่ทันตามกำหนดก็ให้ยืดเวลาต่อไปอีก1ปีนอกจากนี้ต. ต้องจ่ายเงินค่าตอบแทนให้จำเลยอีก8,500,000บาทและส่งมอบตึกแถวที่ก่อสร้างให้แก่จำเลย2ห้องจำเลยยอมให้ต. มีสิทธิหาคนเช่าและเรียกเงินค่าช่วยก่อสร้างจากผู้มาจองเช่าได้ภายในระยะเวลาที่ดำเนินการก่อสร้างดังกล่าวโดยจำเลยมีหน้าที่ต้องไปจดทะเบียนการเช่าให้แก่ผู้มาจองเช่ามีกำหนด25ปีสัญญาก่อสร้างอาคารดังกล่าวเป็นกรณีที่จำเลยตกลงว่าจะจดทะเบียนการเช่าให้แก่บุคคลภายนอกจึงเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา374โจทก์ทั้งสี่เป็นผู้เช่าจองอาคารกับต. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกย่อมมีสิทธิที่จะเรียกให้จำเลยไปจดทะเบียนการเช่าให้ได้และการบอกกล่าวให้จำเลยไปจดทะเบียนการเช่าเป็นการแสดงเจตนากับจำเลยว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นแล้วโดยโจทก์ทั้งสี่ไม่จำต้องครอบครองอาคารพิพาทชำระค่าเช่าและภาษีโรงเรือนแก่จำเลยแต่อย่างใด โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าได้มอบอำนาจให้ต. ฟ้องคดีแทนจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธว่าโจทก์มิได้มอบอำนาจดังกล่าวไว้คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยเรื่องมอบอำนาจว่าทำขึ้นโดยชอบหรือไม่คงฟังได้ว่ามีการมอบอำนาจโดยชอบแล้วจึงไม่จำต้องวินิจฉัยเรื่องการขีดฆ่าอากรแสตมป์ตามที่จำเลยฎีกามา ตามสัญญาก่อสร้างอาคารระบุว่า"เมื่อผู้เช่ามาติดต่อขอเช่าและผู้จัดสร้างได้รับเงินแล้วผู้ให้สร้างจะไปทำสัญญาให้แก่ผู้เช่ามีกำหนดเวลาเช่า25ปีโดยการจดทะเบียนเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามแบบของสัญญาเช่าซึ่งได้แนบมาพร้อมนี้ทั้งนี้ผู้ให้สร้างจะไปทำสัญญาภายใน1เดือนนับแต่วันที่ผู้จัดสร้างบอกกล่าวให้ผู้ให้สร้างทราบเป็นลายลักษณ์อักษร"ข้อความดังกล่าวมีความชัดเจนว่าระยะเวลา1เดือนนับแต่วันที่จำเลยได้รับคำบอกกล่าวนั้นเป็นระยะเวลาที่จำเลยจะดำเนินการในเรื่องจดทะเบียนการเช่าหาใช่เป็นระยะเวลาเริ่มต้นของการนับอายุการเช่าไม่ส่วนตามสัญญาจองเช่าอาคารที่ต. ทำไว้กับโจทก์ทั้งสี่ระบุว่า"สัญญาเช่ามีกำหนด25ปีนับแต่วันทำการจดทะเบียนการเช่าณที่ทำการเขต"นั้นมีข้อความชัดอยู่แล้วให้นับอายุการเช่า25ปีเริ่มแต่วันจดทะเบียนการเช่าเป็นต้นไปซึ่งข้อความตามสัญญาก่อสร้างอาคารดังกล่าวหาได้ขัดแย้งกับสัญญาจองเช่าอาคารไม่กรณีจึงไม่ใช่ให้นับแต่วันที่จำเลยได้รับคำบอกกล่าว โจทก์เป็นบุคคลภายนอกซึ่งถือเอาประโยชน์ตามสัญญาก่อสร้างอาคารการที่โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนการเช่าให้แก่โจทก์จึงเป็นการอาศัยสิทธิตามสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตาม374ซึ่งมีอายุความ10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา193/30หาใช่เป็นสัญญาจ้างทำของซึ่งมีอายุความ2ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา165(11)เมื่อนับแต่วันที่โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวแจ้งให้จำเลยไปจดทะเบียนการเช่าจนถึงวันฟ้องยังไม่พ้น10ปีคดีของโจทก์ทั้งสี่จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 93/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์: ระยะเวลาและการหวงห้ามกรรมสิทธิ์
ผู้ร้องสอดและจำเลยบุกรุกเข้าครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี2528 เป็นต้นมา จากนั้นโจทก์ทั้งสองและผู้ร้องสอดต่างฝ่ายต่างหวงห้ามต่อกันโดยต่างถือว่าตนเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทกันเรื่อยมา จนเมื่อปี 2532 - 2533ต่างฝ่ายต่างขอรังวัด เจ้าพนักงานที่ดินก็ไม่อาจทำการรังวัดได้ เพราะต่างโต้แย้งคัดค้านอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของตน ในที่สุดโจทก์ได้ฟ้องคดีนี้และผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดเข้ามาขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทในปี 2535 ดังนี้ จึงถือว่าผู้ร้องสอดครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบและเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาสิบปีหาได้ไม่ ผู้ร้องสอดจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 และการที่โจทก์ทั้งสองจะใช้สิทธิฟ้องร้องเมื่อใดในเมื่อกรรมสิทธิ์ยังเป็นของตนก็เป็นสิทธิของโจทก์ที่จะดำเนินการได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 93/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์: การครอบครองโดยสงบ เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของ ต้องครบ 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์
ผู้ร้องสอดและจำเลยบุกรุกเข้าครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของโจทก์ทั้งสองตั้งแต่ปี2528เป็นต้นมาจากนั้นโจทก์ทั้งสองและผู้ร้องสอดต่างฝ่ายต่างหวงห้ามต่อกันโดยต่างถือว่าตนเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทกันเรื่อยมาต่อมาโจทก์ได้ฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนบ้านซึ่งปลูกในที่ดินพิพาทออกไปและผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดเข้ามาขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทในปี2535จึงถือว่าผู้ร้องสอดครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาสิบปีหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 65/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางแพ่งของกรรมการสุขาภิบาลต่อความเสียหายจากการทุจริตและการละเลยหน้าที่
ข้ออ้างว่าฟ้องเคลือบคลุมตามอุทธรณ์ของจำเลยเป็นคนละเหตุกับที่อ้างต่อสู้มาในคำให้การ อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225
ตามระเบียบระบุให้ปลัดสุขาภิบาลเป็นผู้รับผิดชอบร่วมกับกรรมการอื่นในการเก็บและรักษาเงิน หากมีการทุจริตเกี่ยวกับการรักษาเงินโดยการปล่อยปละละเลยหรือประมาทเลินเล่อจากการปฏิบัติหน้าที่ต้องรับผิดชอบชดใช้คืนจำเลยที่ 3 เป็นปลัดสุขาภิบาลโจทก์ แต่ไม่ได้รับแต่งตั้งจากโจทก์ให้มีหน้าที่ควบคุมดูแลเกี่ยวกับการเงินของโจทก์ ในทางปฏิบัติของโจทก์เอง จำเลยที่ 3 จึงไม่มีหน้าที่เข้าไปควบคุมดูแลเกี่ยวกับการเงินของโจทก์โดยตรง ดังนั้นการปล่อยปละละเลยหรือประมาทเลินเล่ออันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ กรณีไม่ต้องตามระเบียบที่จะให้จำเลยที่ 3 ชดใช้เงินแก่โจทก์
ในการถอนเงินฝากมีระเบียบให้เป็นหน้าที่ของประธานสุขาภิบาล ปลัดสุขาภิบาล และหัวหน้าหน่วยการคลังลงชื่อถอนร่วมกันการไปรับหรือส่งเงินที่ธนาคารหรือที่แห่งใด ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่สุขาภิบาลไปรับหรือส่งเงินลำพังผู้เดียว ต้องมีกรรมการไปรับหรือส่งเงินร่วมกันรับผิดชอบเป็นคณะกรณีจำนวนเงินเกิน 30,000 บาท จะต้องมีกรรมการควบคุมร่วมกันอย่างน้อย3 คน ระเบียบดังกล่าวมีจุดประสงค์ เพื่อป้องกันการผิดพลาดเกี่ยวกับตัวเงินที่อาจขาดจำนวนหรือสูญหาย และเพื่อไม่ให้ผู้เกี่ยวข้องทุจริต การที่จำเลยที่ 1เป็นประธานกรรมการสุขาภิบาลโจทก์ปล่อยให้ ร.สมุห์บัญชีของโจทก์ถอนเงินตามลำพังและเบียดบังเอาเงินไป จึงเป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1ต้องรับผิดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์
จำเลยที่ 2 และที่ 4 เป็นปลัดสุขาภิบาลโจทก์ และได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการเก็บรักษาเงินของโจทก์โดยเฉพาะจำเลยที่ 4 ยังเป็นหัวหน้าหน่วยการคลังของโจทก์อีกตำแหน่งหนึ่งด้วย มีเงินผลประโยชน์ของโจทก์ประเภทต่าง ๆ ไม่นำส่งเป็นรายได้ของโจทก์ เงินของโจทก์ที่เบิกมาใช้จ่ายในรายการต่าง ๆ ไม่มีหลักฐานการรับจ่าย และเงินที่ขาดหายไปเพราะลงบัญชีผิดพลาดจำเลยที่ 2 และที่ 4 เป็นกรรมการเก็บรักษาเงินของโจทก์โดยหน้าที่นอกจากเป็นกรรมการเก็บรักษากุญแจตู้นิรภัยแล้ว ยังต้องร่วมกันตรวจสอบตัวเงินและหลักฐานแทนตัวเงินและรายงานคงเหลือประจำวันตามระเบียบ แต่ไม่ปรากฎว่าในช่วงเวลาที่มีการทุจริตเบียดบังเงินของโจทก์ไปได้มีการตรวจสอบรายงานคงเหลือประจำวันรวมทั้งบัญชีต่าง ๆ จึงเป็นช่องทางให้ ร.ทำการทุจริตขึ้นได้จำเลยที่ 2 และที่ 4 ในฐานะผู้บังคับบัญชาของ ร.และมีหน้าที่โดยตรงในการตรวจสอบเงินของโจทก์เป็นรายวันจะอ้างว่า ร.ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบไม่ได้ จำเลยที่ 2 และที่ 4 ปล่อยปละละเลยและประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหายต้องรับผิด
คณะกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดทางแพ่งรายงานผลการสอบสวนว่ามีบุคคลใดบ้างที่ต้องรับผิดทางแพ่งซึ่งรวมถึงจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4ด้วย ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทราบและผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งให้เรียกร้องแก่ผู้ต้องรับผิดทางแพ่งใช้เงินแก่โจทก์ ต้องถือว่าโจทก์โดยผู้ว่าราชการจังหวัดผู้มีอำนาจสั่งการรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนนับแต่วันที่คณะกรรมการสอบสวนได้รายงานผลการสอบสวน ไม่ใช่นับแต่วันที่ผู้ว่าราชการจังหวัดรู้ว่า ร.เป็นผู้ทำละเมิดเพราะจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 เป็นผู้ต้องร่วมรับผิดทางแพ่งที่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ต่างรายไปจาก ร.โจทก์ฟ้องคดียังไม่พ้น 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าว คดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ
of 31