พบผลลัพธ์ทั้งหมด 307 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8264/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์โดยเจ้าของรวม และความยินยอมของภริยา
จำเลยซึ่งเป็นสามีทำสัญญาจะขายที่พิพาทอันเป็นอสังหาริมทรัพย์และการขายต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยร่วมผู้เป็นภริยาจึงต้องให้ความยินยอมเป็นหนังสือ โจทก์จะอ้างว่าการนั้นได้รับความยินยอมแล้วโดยไม่มีหลักฐานการให้ความยินยอมเป็นหนังสืออันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายเช่นนี้ย่อมฟังไม่ได้
โจทก์นำสืบเพียงว่าพบจำเลยร่วมหลังจากทำสัญญาในขณะไปรังวัดที่ดิน โดยไม่มีพฤติการณ์อื่นใดที่พอจะฟังว่าจำเลยร่วมได้ให้สัตยาบัน ทั้งการพบครั้งสุดท้ายจำเลยร่วมยังบอกให้จำเลยคืนมัดจำโดยจะไม่มีการขาย ซึ่งจำเลยร่วมก็นำสืบหักล้างว่า ไม่ทราบเรื่องจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกับโจทก์และไม่เคยเห็นโจทก์ไปรังวัดที่พิพาทแต่อย่างใด ดังนี้ ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยร่วมให้สัตยาบันแล้ว
จำเลยและจำเลยร่วมร่วมกันครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทในระหว่างอยู่กินกันตั้งแต่ปี 2500 แต่เพิ่งจดทะเบียนสมรสเมื่อปี 2519 การถือครองที่พิพาทในขณะนั้นจึงเป็นลักษณะเจ้าของรวม ที่พิพาทจึงเป็นสินส่วนตัวของจำเลยและจำเลยร่วมฝ่ายละครึ่งหนึ่ง หาใช่สินสมรสไม่ การที่จำเลยทำสัญญาจะขายที่พิพาทแก่โจทก์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยร่วมผู้เป็นเจ้าของรวม สัญญาดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์ผูกพันที่พิพาทเฉพาะส่วนที่เป็นของจำเลย โจทก์ชอบที่จะขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่พิพาทส่วนที่เป็นของจำเลยได้
โจทก์นำสืบเพียงว่าพบจำเลยร่วมหลังจากทำสัญญาในขณะไปรังวัดที่ดิน โดยไม่มีพฤติการณ์อื่นใดที่พอจะฟังว่าจำเลยร่วมได้ให้สัตยาบัน ทั้งการพบครั้งสุดท้ายจำเลยร่วมยังบอกให้จำเลยคืนมัดจำโดยจะไม่มีการขาย ซึ่งจำเลยร่วมก็นำสืบหักล้างว่า ไม่ทราบเรื่องจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกับโจทก์และไม่เคยเห็นโจทก์ไปรังวัดที่พิพาทแต่อย่างใด ดังนี้ ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยร่วมให้สัตยาบันแล้ว
จำเลยและจำเลยร่วมร่วมกันครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทในระหว่างอยู่กินกันตั้งแต่ปี 2500 แต่เพิ่งจดทะเบียนสมรสเมื่อปี 2519 การถือครองที่พิพาทในขณะนั้นจึงเป็นลักษณะเจ้าของรวม ที่พิพาทจึงเป็นสินส่วนตัวของจำเลยและจำเลยร่วมฝ่ายละครึ่งหนึ่ง หาใช่สินสมรสไม่ การที่จำเลยทำสัญญาจะขายที่พิพาทแก่โจทก์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยร่วมผู้เป็นเจ้าของรวม สัญญาดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์ผูกพันที่พิพาทเฉพาะส่วนที่เป็นของจำเลย โจทก์ชอบที่จะขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่พิพาทส่วนที่เป็นของจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8264/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสที่เป็นเจ้าของรวม หากไม่ได้รับความยินยอม สัญญาจะมีผลผูกพันเฉพาะส่วนของเจ้าของ
จำเลยซึ่งเป็นสามีทำสัญญาจะขายที่พิพาทอันเป็นอสังหาริมทรัพย์และการขายต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยร่วมผู้เป็นภริยาจึงต้องให้ความยินยอมเป็นหนังสือ โจทก์จะอ้างว่าการนั้นได้รับความยินยอมแล้วโดยไม่มีหลักฐานการให้ความยินยอมเป็นหนังสืออันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายเช่นนี้ย่อมฟังไม่ได้ โจทก์นำสืบเพียงว่าพบจำเลยร่วมหลังจากทำสัญญาในขณะไปรังวัดที่ดิน โดยไม่มีพฤติการณ์อื่นใดที่พอจะฟังว่าจำเลยร่วมยังบอกให้จำเลยคืนมัดจำโดยจะไม่มีการขาย ซึ่งจำเลยร่วมก็นำสืบหักล้างว่า ไม่ทราบเรื่องจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกับโจทก์และไม่เคยเห็นโจทก์ไปรังวัดที่พิพาทแต่อย่างใด ดังนี้ ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยร่วมให้สัตยาบันแล้ว จำเลยและจำเลยร่วมร่วมกันครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทในระหว่างอยู่กินกันตั้งแต่ปี 2500 แต่เพิ่งจดทะเบียนสมรสเมื่อปี 2519 การถือครองที่พิพาทในขณะนั้นจึงเป็นลักษณะเจ้าของรวม ที่พิพาทจึงเป็นสินส่วนตัวของจำเลยและจำเลยร่วมฝ่ายละครึ่งหนึ่ง หาใช่สินสมรสไม่ การที่จำเลยทำสัญญาจะขายที่พิพาทแก่โจทก์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยร่วมผู้เป็นเจ้าของรวม สัญญาดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์ผูกพันที่พิพาทเฉพาะส่วนที่เป็นของจำเลย โจทก์ชอบที่จะขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่พิพาทส่วนที่เป็นของจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8188/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินการคดีอย่างคนอนาถาไม่ผูกพันจำเลยร่วมกัน และค่าธรรมเนียมศาลกับการวางเงินค่าธรรมเนียมเป็นคนละส่วนกัน
การยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลรวมทั้งเงินวางศาลในการยื่นฟ้องอุทธรณ์แก่จำเลยที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 157 นั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยแต่ละคน แม้ศาลจะอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ดำเนินคดีชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถาก็ไม่มีผลถึงจำเลยที่ 2 ด้วยแต่อย่างใด ค่าขึ้นศาลเป็นค่าธรรมเนียมอย่างหนึ่งซึ่งกฎหมายบังคับให้คู่ความที่ยื่นคำฟ้อง ฟ้องอุทธรณ์หรือฎีกา จะต้องเสียในขณะยื่นคำฟ้อง กับการวางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งในการยื่นอุทธรณ์หรือฎีกานั้น เป็นเงินคนละส่วนกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8188/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินคดีอย่างคนอนาถาและการรับผิดร่วมในค่าฤชาธรรมเนียม: สิทธิเฉพาะตัวของจำเลยแต่ละราย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ จำเลยที่ 1อุทธรณ์พร้อมกับขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา แต่การยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลรวมทั้งเงินวางศาลในการยื่นฟ้องอุทธรณ์แก่จำเลยที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถานั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยแต่ละคน แม้ศาลจะอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ดำเนินคดีชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถาก็ไม่มีผลถึงจำเลยที่ 2 ด้วย ดังนั้นจำเลยที่ 2 ซึ่งยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ งดสืบพยานจำเลยที่ 2 โดยเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท จะขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 งดการวางเงินค่าธรรมเนียมและค่าทนายความซึ่งต้องใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้นจนกว่าศาลจะมีคำสั่งคำร้องขอดำเนินคดีอย่าง คนอนาถาของจำเลยที่ 1 แล้วไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8188/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินคดีอย่างคนอนาถาไม่ส่งผลถึงลูกหนี้ร่วมกัน และค่าธรรมเนียมศาลกับการวางเงินค่าธรรมเนียมเป็นคนละส่วนกัน
การยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลรวมทั้งเงินวางศาลในการยื่นฟ้องอุทธรณ์แก่จำเลยที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา157นั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยแต่ละคนแม้ศาลจะอนุญาตให้จำเลยที่1ดำเนินคดีชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถาก็ไม่มีผลถึงจำเลยที่2ด้วยแต่อย่างใด ค่าขึ้นศาลเป็นค่าธรรมเนียมอย่างหนึ่งซึ่งกฎหมายบังคับให้คู่ความที่ยื่นคำฟ้องฟ้องอุทธรณ์หรือฎีกาจะต้องเสียในขณะยื่นคำฟ้องกับการวางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งในการยื่นอุทธรณ์หรือฎีกานั้นเป็นเงินคนละส่วนกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8188/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลสำหรับจำเลยอนาถาเป็นสิทธิเฉพาะตัว ไม่ขยายผลถึงจำเลยร่วม
การยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลรวมทั้งเงินวางศาลในการยื่นฟ้องอุทธรณ์แก่จำเลยที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 157นั้น เป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยแต่ละคน แม้ศาลจะอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ดำเนินคดีชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถาก็ไม่มีผลถึงจำเลยที่ 2 ด้วยแต่อย่างใด
ค่าขึ้นศาลเป็นค่าธรรมเนียมอย่างหนึ่งซึ่งกฎหมายบังคับให้คู่ความที่ยื่นคำฟ้อง ฟ้องอุทธรณ์หรือฎีกา จะต้องเสียในขณะยื่นคำฟ้อง กับการวางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งในการยื่นอุทธรณ์หรือฎีกานั้น เป็นเงินคนละส่วนกัน
ค่าขึ้นศาลเป็นค่าธรรมเนียมอย่างหนึ่งซึ่งกฎหมายบังคับให้คู่ความที่ยื่นคำฟ้อง ฟ้องอุทธรณ์หรือฎีกา จะต้องเสียในขณะยื่นคำฟ้อง กับการวางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งในการยื่นอุทธรณ์หรือฎีกานั้น เป็นเงินคนละส่วนกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8077/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องและการสันนิษฐานตามกฎหมาย: การที่จำเลยไม่คัดค้านการได้รับอนุญาตให้ฟ้องของโจทก์ในชั้นต้น ทำให้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พนักงานอัยการโจทก์ได้บรรยายฟ้องมาแล้วว่าได้รับอนุญาตให้ฟ้องคดีจากอัยการสูงสุดแล้วตามหนังสืออนุญาตท้ายฟ้องย่อมสันนิษฐานได้ว่าพนักงานอัยการโจทก์ได้รับอนุญาตให้ฟ้องคดีจากอัยการสูงสุดแล้วเมื่อจำเลยไม่คัดค้านโดยเสนอหรือนำสืบเป็นข้อต่อสู้ไว้ก็ถือว่าไม่มีข้อโต้แย้งกันและตามสำนวนไม่มีข้อเท็จจริงใดที่แสดงว่าพนักงานอัยการโจทก์ได้รับอนุญาตให้ฟ้องคดีจากอัยการสูงสุดนั้นไม่ชอบจำเลยเพิ่งมาคัดค้านในชั้นอุทธรณ์และฎีกาย่อมไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8077/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอนุญาตฟ้องคดี: การสันนิษฐานตามหนังสืออนุญาตและการไม่คัดค้านในชั้นศาล
พนักงานอัยการโจทก์ได้บรรยายฟ้องมาแล้วว่าได้รับอนุญาตให้ฟ้องคดีจากอัยการสูงสุดแล้วตามหนังสืออนุญาตท้ายฟ้อง ย่อมสันนิษฐานได้ว่าพนักงานอัยการโจทก์ได้รับอนุญาตให้ฟ้องคดีจากอัยการสูงสุดแล้ว เมื่อจำเลยไม่คัดค้านโดยเสนอหรือนำสืบเป็นข้อต่อสู้ไว้ก็ถือว่าไม่มีข้อโต้เถียงกัน และตามสำนวนไม่มีข้อเท็จจริงใดที่แสดงว่าพนักงานอัยการโจทก์ได้รับอนุญาตให้ฟ้องคดีจากอัยการ-สูงสุดนั้นไม่ชอบ จำเลยเพิ่งมาคัดค้านในชั้นอุทธรณ์และฎีกา ย่อมไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8070/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องเช็ค – ผู้ทรงเช็ค vs. ผู้รับเช็ค - การโอนเช็คมีผลต่ออำนาจฟ้องหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 8 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 3 เดือน เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์มิได้ฝากเช็คพิพาทให้ ก.ไปเบิกเงินแทน แต่เป็นการโอนเช็คพิพาทให้แก่ ก.เพราะ ก.ได้ครอบครองเช็คพิพาท และได้ใช้สิทธิทวงถามให้จำเลยชำระหนี้เรื่อยมาเป็นเวลานาน ก.จึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาท โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7949/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีมีทุนทรัพย์เกิน 2 แสนบาท ศาลฎีกาไม่รับฎีกาในข้อเท็จจริง
คดีนี้โจทก์ในฐานะทายาทของ ถ. ผู้เช่าซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 ฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้ว่า ถ.หรือจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญา แม้โจทก์จะฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมโอนที่ดินพิพาทตามสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2 และระหว่างจำเลยที่ 2 กับที่ 3 มาด้วยก็เป็นเพียงผลต่อเนื่องในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทอันเป็นส่วนหนึ่งของคำขอที่ให้จำเลยที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์นั่นเอง จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์