พบผลลัพธ์ทั้งหมด 307 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2783/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายเนื่องจากไม่ชำระค่างวด และสิทธิในการคืนเงินมัดจำ
การที่โจทก์ไม่ชำระค่างวดรายเดือนตามสัญญาจะซื้อจะขายอาคารพาณิชย์แก่จำเลยติดต่อกันมาเป็นเวลา8เดือนซึ่งจำเลยไม่ถือเป็นข้อผิดสัญญาสัญญาจะซื้อจะขายยังมีผลผูกพันกันอยู่โจทก์มิได้ผิดสัญญาเมื่อหนังสือแจ้งให้โจทก์ชำระเงินค่างวดที่ค้างมีข้อความว่ามิฉะนั้นทางบริษัทจะถือว่าท่านสละสิทธิในการจองซื้อจึงเป็นข้อความที่จำเลยแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาต่อโจทก์โดยมีเงื่อนไขว่าถ้าโจทก์ไม่ชำระค่างวดที่ค้างภายในกำหนดหรือไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้จำเลยทราบเมื่อเป็นเช่นนี้การที่โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยและให้จำเลยคืนเงินมัดจำย่อมมีสิทธิทำได้และกรณีเป็นเรื่องต่างฝ่ายต่างยอมเลิกสัญญาต่อกันโดยไม่มีฝ่ายใดผิดสัญญาโจทก์และจำเลยต่างต้องคืนสู่ฐานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา391จำเลยต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2783/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายเนื่องจากไม่ชำระค่างวดและการคืนเงินมัดจำ
การที่โจทก์ไม่ชำระค่างวดรายเดือนตามสัญญาจะซื้อจะขายอาคารพาณิชย์แก่จำเลยติดต่อกันมาเป็นเวลา 8 เดือนซึ่งจำเลยไม่ถือเป็นข้อผิดสัญญา สัญญาจะซื้อจะขายยังมีผลผูกพันกันอยู่ โจทก์มิได้ผิดสัญญาเมื่อหนังสือแจ้งให้โจทก์ ชำระเงินค่างวดที่ค้างมีข้อความว่า มิฉะนั้นทางบริษัทจะถือว่า ท่านสละสิทธิในการจองซื้อ จึงเป็นข้อความที่จำเลยแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาต่อโจทก์ โดยมีเงื่อนไขว่าถ้าโจทก์ไม่ชำระค่างวดที่ค้างภายในกำหนด หรือไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้จำเลยทราบเมื่อเป็นเช่นนี้การที่โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลย และให้จำเลยคืนเงินมัดจำย่อมมีสิทธิทำได้ และกรณีเป็นเรื่อง ต่างฝ่ายต่างยอมเลิกสัญญาต่อกันโดยไม่มีฝ่ายใดผิดสัญญา โจทก์และจำเลยต่างต้องคืนสู่ฐานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 จำเลยต้อง คืนเงินมัดจำแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2722/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาประเด็นค่าเสียหายแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเพราะขาดประโยชน์จากค่าเช่าในบ้านพิพาทให้แก่โจทก์เดือนละ10,000บาทโจทก์ไม่อุทธรณ์จึงเป็นอันยุติว่าขณะโจทก์ยื่นฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาทบ้านพิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ10,000บาทคู่ความต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคสองที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทและโจทก์ได้รับความเสียหายถึงเดือนละ30,000บาทเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงทั้งสิ้นจึงต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2722/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในประเด็นข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเพราะขาดประโยชน์จากค่าเช่าในบ้านพิพาทให้แก่โจทก์เดือนละ 10,000 บาท โจทก์ไม่อุทธรณ์ จึงเป็นอันยุติว่า ขณะโจทก์ยื่นฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาท บ้านพิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท คู่ความต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ.มาตรา248 วรรคสอง ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาท และโจทก์ได้รับความเสียหายถึงเดือนละ 30,000 บาท เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงทั้งสิ้น จึงต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2660/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคุ้มครองสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทระหว่างการพิจารณาคดี
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ขอให้ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องและรบกวนการครอบครอง จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองเหนือที่ดินพิพาท จึงมีประเด็นพิพาทกันว่าฝ่ายใดเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณา จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะให้จำเลยและบริวารเข้าไปปลูกสร้างอาคารในที่ดินพิพาทก่อนคดีถึงที่สุด กรณีมีเหตุสมควรและเพียงพอที่จะนำวิธีการคุ้มครองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 254 (2) มาใช้ โดยห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปดำเนินการใด ๆ ในที่ดินพิพาทจนกว่าคดีถึงที่สุด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2660/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคุ้มครองสิทธิครอบครองที่ดินระหว่างพิจารณาคดี: ห้ามจำเลยก่อสร้างอาคารจนกว่าคดีถึงที่สุด
โจทก์ฟ้องว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ขอให้ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องและรบกวนการครอบครองจำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองเหนือที่ดินพิพาทจึงมีประเด็นพิพาทกันว่าฝ่ายใดเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะให้จำเลยและบริวารเข้าไปปลูกสร้างอาคารในที่ดินพิพาทก่อนคดีถึงที่สุดกรณีมีเหตุสมควรและเพียงพอที่จะนำวิธีการคุ้มครองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา254(2)มาใช้โดยห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปดำเนินการใดๆในที่ดินพิพาทจนกว่าคดีถึงที่สุด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2660/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคุ้มครองชั่วคราวเพื่อห้ามการก่อสร้างบนที่ดินพิพาทที่มีข้อโต้แย้งเรื่องสิทธิครอบครอง
แม้คำฟ้องอ้างเพียงว่าจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทของโจทก์ทั้งหกกับพวกด้วยการยื่นคำคัดค้านขอรังวัดออกโฉนดที่ดินขอให้ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องและรบกวนการครอบครองแต่เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองจึงมีประเด็นพิพาทว่าฝ่ายใดมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทการที่จำเลยยินยอมให้ผู้อื่นเช่าที่ดินพิพาทส่วนหนึ่งปลูกสร้างอาคารร้านค้าในเวลาต่อมาอันเป็นการกระทำขึ้นใหม่ซึ่งอาจเกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งหกได้หากศาลพิพากษาให้โจทก์ทั้งหกเป็นฝ่ายชนะคดีจึงมีเหตุสมควรและเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา254(2)มาใช้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2640/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำท้าพิสูจน์ลายมือชื่อและการดำเนินกระบวนพิจารณาตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ การสละประเด็นข้อพิพาท
ปัญหาว่าจำเลยแต่ฝ่ายเดียวจะถอนคำท้าที่ให้ส่งสัญญากู้ไปตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้โดยโจทก์ไม่ยินยอมได้หรือไม่นั้นจำเลยเคยยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค1มาครั้งหนึ่งแล้วซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค1ได้วินิจฉัยว่าคำท้าดังกล่าวเป็นการที่คู่ความสละประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานไว้โดยยึดเอาผลตามคำท้าเป็นข้อยุติจำเลยหาอาจยกเลิกคำท้าแต่ฝ่ายเดียวได้ไม่แต่เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้ดำเนินกระบวนพิจารณาตามคำท้าแล้วศาลชั้นต้นจะต้องพิพากษาไปตามข้อตกลงนั้นให้ตรงตามคำท้าทุกประการจึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีจำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้งปัญหาดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค1เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่แล้วจำเลยอุทธรณ์โต้แย้งในปัญหาดังกล่าวอีกจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา144แม้ศาลอุทธรณ์ภาค1จะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้อีกก็เป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย การพิพากษาให้ตรงตามคำท้าตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค1นั้นหมายถึงการที่จะต้องส่งสัญญากู้ไปตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้ว่าเป็นลายมือชื่อคนเดียวกับลายมือชื่อของจำเลยหรือไม่แล้วพิพากษาไปตามคำท้าอันมีผลเป็นการสละประเด็นข้อพิพาทอื่นด้วยเมื่อศาลชั้นต้นได้ส่งเอกสารที่มีลายมือชื่อของจำเลยไปตรวจพิสูจน์ตามคำท้าและพิพากษาใหม่แล้วจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาตรงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค1แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2640/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละประเด็นข้อพิพาททางคำท้าและข้อจำกัดการอุทธรณ์ซ้ำ การดำเนินกระบวนพิจารณาตามคำท้า
ปัญหาว่าจำเลยแต่ฝ่ายเดียวจะถอนคำท้าที่ให้ส่งสัญญากู้ไปตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้โดยโจทก์ไม่ยินยอมได้หรือไม่นั้น จำเลยเคยยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 มาครั้งหนึ่งแล้ว ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยว่า คำท้าดังกล่าวเป็นการที่คู่ความสละประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานไว้โดยยึดเอาผลตามคำท้าเป็นข้อยุติ จำเลยหาอาจยกเลิกคำท้าแต่ฝ่ายเดียวได้ไม่ แต่เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้ดำเนินกระบวนพิจารณาตามคำท้าแล้ว ศาลชั้นต้นจะต้องพพากษาไปตามข้อตกลงนั้นให้ตรงตามคำท้าทุกประการ จึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้ง ปัญหาดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่แล้ว จำเลยอุทธรณ์โต้แย้งในปัญหาดังกล่าวอีก จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 144 แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้อีกก็เป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
การพิพากษาให้ตรงตามคำท้าตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1นั้น หมายถึงการที่จะต้องส่งสัญญากู้ไปตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้ว่าเป็นลายมือชื่อคนเดียวกับลายมือชื่อของจำเลยหรือไม่ แล้วพิพากษาไปตามคำท้าอันมีผลเป็นการสละประเด็นข้อพิพาทอื่นด้วย เมื่อศาลชั้นต้นได้ส่งเอกสารที่มีลายมือชื่อของจำเลยไปตรวจพิสูจน์ตามคำท้าและพิพากษาใหม่แล้ว จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาตรงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 แล้ว
การพิพากษาให้ตรงตามคำท้าตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1นั้น หมายถึงการที่จะต้องส่งสัญญากู้ไปตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้ว่าเป็นลายมือชื่อคนเดียวกับลายมือชื่อของจำเลยหรือไม่ แล้วพิพากษาไปตามคำท้าอันมีผลเป็นการสละประเด็นข้อพิพาทอื่นด้วย เมื่อศาลชั้นต้นได้ส่งเอกสารที่มีลายมือชื่อของจำเลยไปตรวจพิสูจน์ตามคำท้าและพิพากษาใหม่แล้ว จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาตรงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2640/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำหลังศาลอุทธรณ์พิพากษาให้พิจารณาใหม่ และผลของการท้าพิสูจน์ลายมือชื่อที่ผูกพันคู่ความ
จำเลยเคยยื่นอุทธรณ์มาครั้งหนึ่งซึ่งศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยแล้วและพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จำเลย มิได้ฎีกาโต้แย้ง ปัญหาดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่แล้ว จำเลยอุทธรณ์โต้แย้งในปัญหาเดียวกันนั้นอีกจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 144 นอกจากศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้ในอุทธรณ์เดิมว่าจำเลยฝ่ายเดียวไม่อาจถอนคำท้าได้ ยังวินิจฉัยต่อไปว่า ศาลจะต้องพิพากษาไปตามข้อตกลงให้ตรงตามคำท้าทุกประการแม้จำเลยจะแถลงรับว่าลายมือชื่อผู้กู้ในสัญญากู้เป็นของตนก็ไม่ทำให้คำท้าสิ้นผลไป ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นได้ส่งเอกสารที่มีลายมือชื่อของจำเลยไปตรวจพิสูจน์ตามคำท้าและคำพิพากษาใหม่ ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาตรงตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แล้ว ไม่จำเป็นต้องนำสืบในประเด็นว่าข้อความในสัญญากู้ปลอมหรือไม่อีกต่อไปเพราะจำเลยสละประเด็นข้อพิพาทนี้แล้ว