พบผลลัพธ์ทั้งหมด 395 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 948/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างเหมา การผิดสัญญา การบอกเลิกสัญญา และสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย
สัญญาจ้างเหมาก่อสร้างอาคาร จำเลยผู้ว่าจ้างมีหน้าที่ต้องมอบพื้นที่และกำหนดแนวเขตพื้นที่ที่โจทก์จะต้องก่อสร้างการที่จำเลยสั่งระงับการก่อสร้างเฉพาะการวางผังและตอกเสาเข็มรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นนั้นเป็นความผิดของจำเลยที่ไม่ตรวจแนวเขตที่ดินให้แน่นอนเสียก่อนจำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาที่ไม่สามารถให้โจทก์ดำเนินการก่อสร้างตามสัญญาต่อไปได้แต่ในสัญญาจ้างเหมาไม่มีข้อสัญญาให้สิทธิในการบอกเลิกสัญญาไว้เลย สิทธิในการบอกเลิกสัญญาจึงย่อมมีอยู่เฉพาะตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้นแม้สัญญาจ้างเหมาจะกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แน่นอน แต่เมื่อมีพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าคู่สัญญาไม่ถือเอากำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญาเป็นข้อสำคัญอีกต่อไป กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 โจทก์จะต้องบอกกล่าวให้จำเลยดำเนินการให้โจทก์ลงมือก่อสร้างต่อไปโดยกำหนดระยะเวลาพอสมควรให้จำเลยแก้ไขข้อขัดข้อง ไม่สามารถแก้ไขภายในระยะเวลาที่กำหนดให้แล้ว โจทก์จึงจะบอกเลิกสัญญาได้ หากโจทก์ยังมิได้ปฏิบัติดังกล่าว โจทก์ก็ยังไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเมื่อโจทก์ยังไม่มีแม้แต่สิทธิที่จะบอกเลิกสัญญา โจทก์ก็ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3456/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาเลิกสัญญาสัญญาเช่าซื้อ: การรับชำระหนี้ต่อเนื่องแม้ผิดนัด ถือเป็นการระงับข้อผูกพันเดิม
การที่ผู้ให้เช่าซื้อไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อเมื่อผู้เช่าซื้อผิดสัญญา แต่ยังคงรับชำระหนี้ค่าเช่าซื้อต่อมา ถือได้ว่าผู้ให้เช่าซื้อและผู้เช่าซื้อต่างมีเจตนามุ่งหมายระงับข้อผูกพันเดิม โดยไม่ถือว่าการไม่ชำระหนี้ตามกำหนดในสัญญาเป็นการผิดสัญญา ฉะนั้นการที่ผู้เช่าซื้อไม่ชำระค่าเช่าซื้อสองงวดติดกัน จึงถือไม่ได้ว่าผู้เช่าซื้อผิดสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2791-2792/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของตัวแทน, หนังสือมอบอำนาจ, สัญญาซื้อขาย, การบอกเลิกสัญญา, ค่าบำเหน็จนายหน้า
นิติบุคคลที่จะเป็นตัวแทนฟ้องความแทนผู้อื่นตามที่ได้รับมอบอำนาจไม่จำต้องมีวัตถุประสงค์เป็นตัวแทนฟ้องความอีกต่างหากถ้าเรื่องที่เป็นความอยู่ในขอบเขตวัตถุประสงค์ของนิติบุคคลนั้น (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 263/2503)
หนังสือมอบอำนาจทำขึ้นในต่างประเทศ มีการรับรองโดยเจ้าหน้าที่ศาลแห่งเมืองนั้นโดยมีสถานกงสุลไทยรับรองมาอีกชั้นหนึ่งว่าตราที่ประทับในหนังสือมอบอำนาจเป็นตราที่ถูกต้องของศาลชั้นสูงใบมอบอำนาจนี้ถือว่าถูกต้องตามกฎหมายของประเทศนั้น จึงไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร
โจทก์และจำเลยมีเจตนาจะให้วัตถุประสงค์แห่งสัญญาซื้อขายเป็นผลสำเร็จได้ก็แต่ด้วยการชำระหนี้ภายในเวลาที่กำหนดไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 388 เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยก็ชอบที่จะบอกเลิกสัญญาเสียได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อนตามมาตรา 387 แต่เมื่อจำเลยมิได้บอกเลิกสัญญากลับขอให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาต่อไปโดยไม่ถือว่าโจทก์ผิดสัญญาถือว่าจำเลยและโจทก์มิได้ถือเอากำหนดเวลาเป็นสาระสำคัญต่อไปต่อมาจำเลยจะบอกเลิกสัญญากับโจทก์ทันทีไม่ได้ต้องกำหนดระยะเวลาพอสมควรบอกกล่าวให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาก่อนเมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ จำเลยจึงบอกเลิกสัญญาได้
เมื่อโจทก์ที่ 2 ได้ชี้ช่องให้โจทก์ที่ 1 และจำเลยได้ทำสัญญากันเสร็จจำเลยก็ต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จให้แก่โจทก์ที่ 2 ตามที่จำเลยกับโจทก์ที่ 2 ได้ตกลงกันไว้โดยไม่ต้องคำนึงว่าคู่สัญญาจะได้ปฏิบัติตามสัญญานั้นในเวลาต่อไปหรือไม่
หนังสือมอบอำนาจทำขึ้นในต่างประเทศ มีการรับรองโดยเจ้าหน้าที่ศาลแห่งเมืองนั้นโดยมีสถานกงสุลไทยรับรองมาอีกชั้นหนึ่งว่าตราที่ประทับในหนังสือมอบอำนาจเป็นตราที่ถูกต้องของศาลชั้นสูงใบมอบอำนาจนี้ถือว่าถูกต้องตามกฎหมายของประเทศนั้น จึงไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร
โจทก์และจำเลยมีเจตนาจะให้วัตถุประสงค์แห่งสัญญาซื้อขายเป็นผลสำเร็จได้ก็แต่ด้วยการชำระหนี้ภายในเวลาที่กำหนดไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 388 เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยก็ชอบที่จะบอกเลิกสัญญาเสียได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อนตามมาตรา 387 แต่เมื่อจำเลยมิได้บอกเลิกสัญญากลับขอให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาต่อไปโดยไม่ถือว่าโจทก์ผิดสัญญาถือว่าจำเลยและโจทก์มิได้ถือเอากำหนดเวลาเป็นสาระสำคัญต่อไปต่อมาจำเลยจะบอกเลิกสัญญากับโจทก์ทันทีไม่ได้ต้องกำหนดระยะเวลาพอสมควรบอกกล่าวให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาก่อนเมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ จำเลยจึงบอกเลิกสัญญาได้
เมื่อโจทก์ที่ 2 ได้ชี้ช่องให้โจทก์ที่ 1 และจำเลยได้ทำสัญญากันเสร็จจำเลยก็ต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จให้แก่โจทก์ที่ 2 ตามที่จำเลยกับโจทก์ที่ 2 ได้ตกลงกันไว้โดยไม่ต้องคำนึงว่าคู่สัญญาจะได้ปฏิบัติตามสัญญานั้นในเวลาต่อไปหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2791-2792/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของตัวแทน, หนังสือมอบอำนาจ, สัญญาซื้อขาย, การบอกเลิกสัญญา, ค่าบำเหน็จนายหน้า
นิติบุคคลที่จะเป็นตัวแทนฟ้องความแทนผู้อื่นตามที่ได้รับมอบอำนาจไม่จำต้องมีวัตถุประสงค์เป็นตัวแทนฟ้องความอีกต่างหากถ้าเรื่องที่เป็นความอยู่ในขอบเขตวัตถุประสงค์ของนิติบุคคลนั้น(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 263/2503)
หนังสือมอบอำนาจทำขึ้นในต่างประเทศ มีการรับรองโดยเจ้าหน้าที่ศาลแห่งเมืองนั้นโดยมีสถานกงสุลไทยรับรองมาอีกชั้นหนึ่งว่าตราที่ประทับในหนังสือมอบอำนาจเป็นตราที่ถูกต้องของศาลชั้นสูงใบมอบอำนาจนี้ถือว่าถูกต้องตามกฎหมายของประเทศนั้น จึงไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร
โจทก์และจำเลยมีเจตนาจะให้วัตถุประสงค์แห่งสัญญาซื้อขายเป็นผลสำเร็จได้ก็แต่ด้วยการชำระหนี้ภายในเวลาที่กำหนดไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 388 เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยก็ชอบที่จะบอกเลิกสัญญาเสียได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อนตามมาตรา 387 แต่เมื่อจำเลยมิได้บอกเลิกสัญญากลับขอให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาต่อไปโดยไม่ถือว่าโจทก์ผิดสัญญา ถือว่าจำเลยและโจทก์มิได้ถือเอากำหนดเวลาเป็นสาระสำคัญต่อไป ต่อมาจำเลยจะบอกเลิกสัญญากับโจทก์ทันทีไม่ได้ต้องกำหนดระยะเวลาพอสมควรบอกกล่าวให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาก่อน เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ จำเลยจึงบอกเลิกสัญญาได้
เมื่อโจทก์ที่ 2 ได้ชี้ช่องให้โจทก์ที่ 1 และจำเลยได้ทำสัญญากันเสร็จจำเลยก็ต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จให้แก่โจทก์ที่ 2 ตามที่จำเลยกับโจทก์ที่ 2 ได้ตกลงกันไว้โดยไม่ต้องคำนึงว่าคู่สัญญาจะได้ปฏิบัติตามสัญญานั้นในเวลาต่อไปหรือไม่
หนังสือมอบอำนาจทำขึ้นในต่างประเทศ มีการรับรองโดยเจ้าหน้าที่ศาลแห่งเมืองนั้นโดยมีสถานกงสุลไทยรับรองมาอีกชั้นหนึ่งว่าตราที่ประทับในหนังสือมอบอำนาจเป็นตราที่ถูกต้องของศาลชั้นสูงใบมอบอำนาจนี้ถือว่าถูกต้องตามกฎหมายของประเทศนั้น จึงไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร
โจทก์และจำเลยมีเจตนาจะให้วัตถุประสงค์แห่งสัญญาซื้อขายเป็นผลสำเร็จได้ก็แต่ด้วยการชำระหนี้ภายในเวลาที่กำหนดไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 388 เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยก็ชอบที่จะบอกเลิกสัญญาเสียได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อนตามมาตรา 387 แต่เมื่อจำเลยมิได้บอกเลิกสัญญากลับขอให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาต่อไปโดยไม่ถือว่าโจทก์ผิดสัญญา ถือว่าจำเลยและโจทก์มิได้ถือเอากำหนดเวลาเป็นสาระสำคัญต่อไป ต่อมาจำเลยจะบอกเลิกสัญญากับโจทก์ทันทีไม่ได้ต้องกำหนดระยะเวลาพอสมควรบอกกล่าวให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาก่อน เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ จำเลยจึงบอกเลิกสัญญาได้
เมื่อโจทก์ที่ 2 ได้ชี้ช่องให้โจทก์ที่ 1 และจำเลยได้ทำสัญญากันเสร็จจำเลยก็ต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จให้แก่โจทก์ที่ 2 ตามที่จำเลยกับโจทก์ที่ 2 ได้ตกลงกันไว้โดยไม่ต้องคำนึงว่าคู่สัญญาจะได้ปฏิบัติตามสัญญานั้นในเวลาต่อไปหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2669/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการบอกเลิกสัญญาและการเรียกร้องค่าปรับรายวันเมื่อผู้ขายผิดสัญญา โดยการยอมผ่อนปรนและไม่ยอมผ่อนปรน
ตามสัญญาข้อ 8 เมื่อผู้ขายผิดสัญญา ผู้ซื้ออาจบอกเลิกสัญญาได้ทันทีโดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้ขายยังอาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้หรือไม่ ส่วนข้อ 9 ถ้าผู้ซื้อเห็นว่าผู้ขายยังอาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ จึงยอมให้ผู้ขายส่งของเมื่อพ้นกำหนดเวลาส่งมอบตามสัญญาได้แต่ผู้ขายจะต้องถูกปรับเป็นรายวัน นับแต่วันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันส่งมอบเรียบร้อยเมื่อผู้ซื้อยอมผ่อนปรนให้เช่นนี้แล้ว ถ้าผู้ขายยังทำให้ผู้ซื้อเห็นว่าผู้ขายไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ ผู้ซื้อก็ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาดังนี้ เมื่อผู้ซื้อผิดสัญญาโดยส่งของไม่ถูกต้อง ผู้ซื้อก็แจ้งให้ผู้ขายนำของไปเปลี่ยนถึง 3 ครั้ง แสดงว่าผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อ 8 แต่ยอมให้ผู้ขายส่งมอบของได้แม้พ้นกำหนดเวลาแล้ว ซึ่งผู้ขายก็ไม่อาจจัดหาของมาส่งมอบได้ ผู้ซื้อจึงบอกเลิกสัญญา รูปคดีต้องปรับด้วยข้อ 9 ผู้ซื้อมีสิทธิริบหลักประกันและเรียกร้องเอาเงินค่าปรับเป็นรายวันจากผู้ขายได้
ส่วนจำนวนเบี้ยปรับนั้น เมื่อผู้ขายได้รับแจ้งว่าส่งของไม่ถูกต้องตามสัญญาก็มีหนังสือถึงผู้ซื้อขอยกเลิกสัญญาและยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญาทุกประการ ผู้ซื้อไม่เลิกสัญญาโดยแจ้งว่าของมีขายในท้องตลาด ให้ปฏิบัติตามสัญญา ผู้ขายขอเลิกสัญญาทุกครั้งที่ผู้ซื้อเตือนดังนี้ผู้ซื้อหาควรฝืนใจผู้ขายให้ปฏิบัติตามสัญญาต่อไปอีกไม่น่าจะอนุมัติเลิกสัญญาตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือ จึงสมควรให้ผู้ซื้อได้รับเบี้ยปรับตั้งแต่วันที่ผู้ขายผิดสัญญาจนถึงวันที่ผู้ซื้อได้รับหนังสือขอยกเลิกสัญญาจากผู้ขาย
ส่วนจำนวนเบี้ยปรับนั้น เมื่อผู้ขายได้รับแจ้งว่าส่งของไม่ถูกต้องตามสัญญาก็มีหนังสือถึงผู้ซื้อขอยกเลิกสัญญาและยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญาทุกประการ ผู้ซื้อไม่เลิกสัญญาโดยแจ้งว่าของมีขายในท้องตลาด ให้ปฏิบัติตามสัญญา ผู้ขายขอเลิกสัญญาทุกครั้งที่ผู้ซื้อเตือนดังนี้ผู้ซื้อหาควรฝืนใจผู้ขายให้ปฏิบัติตามสัญญาต่อไปอีกไม่น่าจะอนุมัติเลิกสัญญาตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือ จึงสมควรให้ผู้ซื้อได้รับเบี้ยปรับตั้งแต่วันที่ผู้ขายผิดสัญญาจนถึงวันที่ผู้ซื้อได้รับหนังสือขอยกเลิกสัญญาจากผู้ขาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2669/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการบอกเลิกสัญญาและการเรียกร้องค่าปรับรายวันเมื่อผู้ขายผิดสัญญา โดยพิจารณาถึงการผ่อนปรนและเหตุสุดวิสัย
ตามสัญญาข้อ 8 เมื่อผู้ขายผิดสัญญา ผู้ซื้ออาจบอกเลิกสัญญาได้ทันทีโดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้ขายยังอาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้หรือไม่ ส่วนข้อ 9 ถ้าผู้ซื้อเห็นว่าผู้ขายยังอาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ จึงยอมให้ผู้ขายส่งของเมื่อพ้นกำหนดเวลาส่งมอบตามสัญญาได้ แต่ผู้ขายจะต้องถูกปรับเป็นรายวัน นับแต่วันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันส่งมอบเรียบร้อยเมื่อผู้ซื้อยอมผ่อนปรนให้เช่นนี้แล้ว ถ้าผู้ขายยังทำให้ผู้ซื้อเห็นว่าผู้ขายไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ ผู้ซื้อก็ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาดังนี้ เมื่อผู้ซื้อผิดสัญญาโดยส่งของไม่ถูกต้อง ผู้ซื้อก็แจ้งให้ผู้ขายนำของไปเปลี่ยนถึง 3 ครั้ง แสดงว่าผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อ 8 แต่ยอมให้ผู้ขายส่งมอบของได้แม้พ้นกำหนดเวลาแล้ว ซึ่งผู้ขายก็ไม่อาจจัดหาของมาส่งมอบได้ ผู้ซื้อจึงบอกเลิกสัญญา รูปคดีต้องปรับด้วยข้อ 9 ผู้ซื้อมีสิทธิริบหลักประกันและเรียกร้องเอาเงินค่าปรับเป็นรายวันจากผู้ขายได้
ส่วนจำนวนเบี้ยปรับนั้น เมื่อผู้ขายได้รับแจ้งว่าส่งของไม่ถูกต้องตามสัญญาก็มีหนังสือถึงผู้ซื้อขอยกเลิกสัญญาและยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญาทุกประการ ผู้ซื้อไม่เลิกสัญญาโดยแจ้งว่าของมีขายในท้องตลาด ให้ปฏิบัติตามสัญญา ผู้ขายขอเลิกสัญญาทุกครั้งที่ผู้ซื้อเตือนดังนี้ผู้ซื้อหาควรฝืนใจผู้ขายให้ปฏิบัติตามสัญญาต่อไปอีกไม่น่าจะอนุมัติเลิกสัญญาตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือ จึงสมควรให้ผู้ซื้อได้รับเบี้ยปรับตั้งแต่วันที่ผู้ขายผิดสัญญาจนถึงวันที่ผู้ซื้อได้รับหนังสือขอยกเลิกสัญญาจากผู้ขาย
ส่วนจำนวนเบี้ยปรับนั้น เมื่อผู้ขายได้รับแจ้งว่าส่งของไม่ถูกต้องตามสัญญาก็มีหนังสือถึงผู้ซื้อขอยกเลิกสัญญาและยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญาทุกประการ ผู้ซื้อไม่เลิกสัญญาโดยแจ้งว่าของมีขายในท้องตลาด ให้ปฏิบัติตามสัญญา ผู้ขายขอเลิกสัญญาทุกครั้งที่ผู้ซื้อเตือนดังนี้ผู้ซื้อหาควรฝืนใจผู้ขายให้ปฏิบัติตามสัญญาต่อไปอีกไม่น่าจะอนุมัติเลิกสัญญาตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือ จึงสมควรให้ผู้ซื้อได้รับเบี้ยปรับตั้งแต่วันที่ผู้ขายผิดสัญญาจนถึงวันที่ผู้ซื้อได้รับหนังสือขอยกเลิกสัญญาจากผู้ขาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2014/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย่งกรรมสิทธิ์ที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญ: ศาลพิพากษาให้สิทธิครอบครองได้ ไม่เกินคำขอ
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ยังไม่มีกรรมสิทธิ์เหนือที่พิพาท เพราะไม่มีหลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ดังนี้จำเลยจะฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ระบุแสดงสภาพที่ดินว่าติดที่ดินผู้ใด แต่ละด้านกว้างยาวเท่าใดและแจ้งการครอบครองเมื่อใด ไม่ได้ เพราะเหตุที่จำเลยยกขึ้นอ้างว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนี้เป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าที่พิพาทเป็นที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน ศาลก็พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าที่พิพาทเป็นที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน ศาลก็พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2009/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อสัญญาจะซื้อขาย การผิดสัญญา และสิทธิของคู่กรณีเมื่อมีการเลิกสัญญา
โจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากจำเลยโดยกำหนดเงื่อนไขการชำระเงินไว้ว่า โจทก์จะต้องชำระราคาซื้อขายทั้งหมดให้แก่จำเลยในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ก่อนถึงวันนัดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ทนายจำเลยมีหนังสือถึงทนายโจทก์ยืนยันเงื่อนไขดังกล่าว มิฉะนั้นจำเลยขอบอกเลิกสัญญา อันเป็นการบอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์ชำระหนี้ไว้แล้ว เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติการชำระหนี้ให้ถูกต้องตามสัญญาในวันนัดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์โดยยืนยันจะชำระราคาซื้อขายเป็นสองงวด ย่อมถือได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจึงมีสิทธิเลิกสัญญาและริบมัดจำเสียได้
เมื่อจำเลยใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้วโดยชอบ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนขายที่ดินรายพิพาทพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์ และย่อมไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลย
จำเลยจะเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาก่อนวันที่โจทก์ผิดสัญญาไม่ได้และเมื่อจำเลยใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว จำเลยก็ไม่มีสิทธิเรียกให้โจทก์ชำระค่าที่ดินเป็นการชำระหนี้ตามสัญญาอีก ดอกเบี้ยจึงไม่ใช่ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้นั้น
เมื่อจำเลยใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้วโดยชอบ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนขายที่ดินรายพิพาทพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์ และย่อมไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลย
จำเลยจะเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาก่อนวันที่โจทก์ผิดสัญญาไม่ได้และเมื่อจำเลยใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว จำเลยก็ไม่มีสิทธิเรียกให้โจทก์ชำระค่าที่ดินเป็นการชำระหนี้ตามสัญญาอีก ดอกเบี้ยจึงไม่ใช่ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้นั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2240/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เลิกสัญญาก่อนโอนกรรมสิทธิ์: เจตนาทั้งสองฝ่าย & การคืนเงินมัดจำ
ในขณะที่โจทก์จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกัน ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ทราบว่ามีผู้ยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงที่จะซื้อขายกันนี้ และตามสัญญาดังกล่าวโจทก์จะต้องชำระเงินค่าที่ดินงวดสุดท้ายในวันที่ 30 เมษายน 2517แล้วจำเลยจะต้องโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ทันที แต่ในระหว่างนั้นปรากฏว่าจำเลยกำลังเป็นความอยู่กับผู้ร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ จำเลยจึงไม่มีทางที่จะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้โจทก์ได้ไม่ว่าโจทก์จะชำระหนี้ตามกำหนดหรือไม่ ทั้งต่อมาเมื่อพ้นกำหนดเวลาที่จะต้องชำระเงินงวดสุดท้ายแล้วต่างฝ่ายต่างก็เพิกเฉยต่อกัน โดยโจทก์ไม่ได้ขอชำระหนี้และให้จำเลยโอนที่ดินให้ ส่วนจำเลยก็ไม่ได้บอกกล่าวให้โจทก์ชำระหนี้ตามกำหนดต่างฝ่ายต่างปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปนับแต่วันครบกำหนดตามสัญญาเป็นเวลา 3 ปีเศษ โจทก์จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและให้จำเลยคืนเงินมัดจำแก่โจทก์พฤติการณ์ดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์จำเลยว่าต่างฝ่ายต่างสมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยายแล้ว สัญญาจะซื้อขายที่ดินที่โจทก์จำเลยทำกันไว้จึงไม่มีผลผูกพันต่อไปโจทก์จำเลยต่างต้องคืนสู่ฐานะที่เป็นอยู่เดิม จำเลยจึงต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2240/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกสัญญากันโดยปริยายจากพฤติการณ์ปล่อยเวลาล่วงเลย และการคืนเงินมัดจำ
ในขณะที่โจทก์จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกัน ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ทราบว่ามีผู้ยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงที่จะซื้อขายกันนี้ และตามสัญญาดังกล่าวโจทก์จะต้องชำระเงินค่าที่ดินงวดสุดท้ายในวันที่ 30 เมษายน 2517 แล้วจำเลยจะต้องโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ทันที แต่ในระหว่างนั้นปรากฏว่าจำเลยกำลังเป็นความอยู่กับผู้ร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ จำเลยจึงไม่มีทางที่จะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้โจทก์ได้ไม่ว่าโจทก์จะชำระหนี้ตามกำหนดหรือไม่ ทั้งต่อมาเมื่อพ้นกำหนดเวลาที่จะต้องชำระเงินงวดสุดท้ายแล้วต่างฝ่ายต่างก็เพิกเฉยต่อกัน โดยโจทก์ไม่ได้ขอชำระหนี้และให้จำเลยโอนที่ดินให้ ส่วนจำเลยก็ไม่ได้บอกกล่าวให้โจทก์ชำระหนี้ตามกำหนด ต่างฝ่ายต่างปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปนับแต่วันครบกำหนดตามสัญญาเป็นเวลา 3 ปีเศษ โจทก์จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและให้จำเลยคืนเงินมัดจำแก่โจทก์ พฤติการณ์ดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์จำเลยว่าต่างฝ่ายต่างสมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยายแล้ว สัญญาจะซื้อขายที่ดินที่โจทก์จำเลยทำกันไว้จึงไม่มีผลผูกพันต่อไป โจทก์จำเลยต่างต้องคืนสู่ฐานะที่เป็นอยู่เดิม จำเลยจึงต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์