คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 448

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 769 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4126/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การใช้อายุความทางอาญาบังคับเมื่อมูลเหตุเกิดจากความผิดอาญา
จำเลยถูกพนักงานอัยการฟ้องเป็นคดีอาญาในข้อหาร่วมกับพวกบุกรุกตึกแถวพิพาท และทำให้เสียทรัพย์โดยทุบทำลายส่วนต่าง ๆ ของตึกแถวพิพาทได้รับความเสียหายซึ่งโจทก์ในฐานะผู้เสียหายได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการด้วย ส่วนคดีแพ่งโจทก์ฟ้องอ้างว่า จำเลยกระทำละเมิดโดยเข้าไปครอบครองและทุบทำลายตึกแถวพิพาทได้รับความเสียหาย จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าว เมื่อคดีอาญามีคำพิพากษาถึงที่สุดโดยวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง คดีแพ่งจึงต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 จึงฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์
เมื่อคดีแพ่งเป็นการฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายในมูลอันเป็นความผิดมีโทษตามประมวลกฎหมายอาญาจึงต้องใช้อายุความทางอาญาซึ่งยาวกว่ามาบังคับ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสอง ซึ่งตามบทมาตราที่จำเลยถูกฟ้องว่ากระทำผิดฐานบุกรุกโดยมีเหตุฉกรรจ์และทำให้เสียทรัพย์มีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกินห้าปี จึงมีอายุความสิบปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3668/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีทางปกครอง: คำสั่งปลดออกจากราชการและการเทียบเคียงกับละเมิด
คำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ให้ปลดโจทก์ออกจากราชการเป็นคำสั่งตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2495 มาตรา 103 ประกอบพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2485 มาตรา 60(2) และ 62 เป็นคำสั่งทางปกครองมิใช่นิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ต้องใช้กำหนดเวลาทางปกครองปรับแก่คดี เมื่อตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนดังกล่าวไม่มีกำหนดเวลาในการที่จะนำคดีมาฟ้องศาลขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว จึงต้องอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง คือ ลักษณะละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 วรรคสอง ประกอบมาตรา 448 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3048/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การแจ้งความเท็จ การกำหนดประเด็นและภาระการพิสูจน์
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยแจ้งขอความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับคดีอาญาแก่พนักงานสอบสวนว่าโจทก์ร่วมกันขุดถนนริมคลองไหหลำอันเป็นถนนสาธารณะทำให้ถนนอยู่ในลักษณะอันน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่การจราจรอันเป็นความผิดและมีโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา172ทำให้โจทก์ทั้งสี่เสียหายเพราะถูกฟ้องคดีอาญาคำฟ้องของโจทก์ทั้งสี่จึงเป็นการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาซึ่งมีกำหนดอายุความทางอาญา10ปีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา95(3)โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งภายในกำหนด10ปีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา51วรรคหนึ่ง โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่าจำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ทั้งสี่ร่วมกันขุดถนนสาธารณะความจริงโจทก์ทั้งสี่ขุดรางน้ำในที่ดินโฉนดเลขที่260ของโจทก์ที่1กับบ.ทำให้โจทก์ทั้งสี่ถูกดำเนินคดีอาญาได้รับความเสียหายเป็นเงิน400,000บาทจำเลยให้การว่าที่ดินที่โจทก์ทั้งสี่ขุดเป็นที่ดินสาธารณะไม่ใช่ที่ดินในโฉนดเลขที่260โจทก์ทั้งสี่ไม่ได้รับความเสียหายประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่าข้อความที่จำเลยแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ทั้งสี่ขุดถนนสาธารณะนั้นเป็นความเท็จอันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสี่หรือไม่โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยเพียงใดโจทก์ทั้งสี่เป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงว่าข้อความที่จำเลยแจ้งต่อพนักงานสอบสวนเป็นความเท็จการกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงิน400,000 บาทหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นจึงตกอยู่แก่โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้กล่าวอ้างตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา84ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยกระทำละเมิดโจทก์ทั้งสี่หรือไม่ค่าเสียหายเพียงใดและกำหนดว่าภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์ทั้งสี่จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3048/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดจากแจ้งความเท็จทำให้ถูกดำเนินคดีอาญา และภาระการพิสูจน์ของโจทก์
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับคดีอาญาแก่พนักงานสอบสวนว่าโจทก์ร่วมกันขุดถนนริมคลองไหหลำอันเป็นถนนสาธารณะทำให้ถนนอยู่ในลักษณะอันน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่การจราจร อันเป็นความผิดและมีโทษตาม ป.อ.มาตรา 172 ทำให้โจทก์ทั้งสี่เสียหายเพราะถูกฟ้องคดีอาญา คำฟ้องของโจทก์ทั้งสี่จึงเป็นการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาซึ่งมีกำหนดอายุความทางอาญา 10 ปี ตาม ป.อ.มาตรา 95 (3) โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งภายในกำหนด 10 ปี ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 51วรรคหนึ่ง
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่า จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ทั้งสี่ร่วมกันขุดถนนสาธารณะ ความจริงโจทก์ทั้งสี่ขุดรางน้ำในที่ดินโฉนดเลขที่ 260 ของโจทก์ที่ 1 กับ บ.ทำให้โจทก์ทั้งสี่ถูกดำเนินคดีอาญา ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 400,000 บาท จำเลยให้การว่า ที่ดินที่โจทก์ทั้งสี่ขุดเป็นที่ดินสาธารณะ ไม่ใช่ที่ดินในโฉนดเลขที่ 260โจทก์ทั้งสี่ไม่ได้รับความเสียหาย ประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่าข้อความที่จำเลยแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ทั้งสี่ขุดถนนสาธารณะนั้นเป็นความเท็จอันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสี่หรือไม่ โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยเพียงใด โจทก์ทั้งสี่เป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงว่าข้อความที่จำเลยแจ้งต่อพนักงานสอบสวนเป็นความเท็จ การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 400,000 บาท หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นจึงตกอยู่แก่โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้กล่าวอ้าง ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 84 ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยกระทำละเมิดโจทก์ทั้งสี่หรือไม่ ค่าเสียหายเพียงใด และกำหนดว่าภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์ทั้งสี่ จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3048/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา และภาระการพิสูจน์ในคดีละเมิด
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแจ้งขอความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับคดีอาญาแก่พนักงานสอบสวนว่าโจทก์ร่วมกันขุดถนนริมคลองไหหลำอันเป็นถนนสาธารณะทำให้ถนนอยู่ในลักษณะอันน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่การจราจร อันเป็นความผิดและมีโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ทำให้โจทก์ทั้งสี่เสียหายเพราะถูกฟ้องคดีอาญา คำฟ้องของโจทก์ทั้งสี่จึงเป็นการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ซึ่งมีกำหนดอายุความทางอาญา 10 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(3) โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งภายในกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคหนึ่ง โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่า จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ทั้งสี่ร่วมกันขุดถนนสาธารณะ ความจริงโจทก์ทั้งสี่ขุดรางน้ำในที่ดินโฉนดเลขที่ 260 ของโจทก์ที่ 1 กับ บ.ทำให้โจทก์ทั้งสี่ถูกดำเนินคดีอาญา ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 400,000 บาทจำเลยให้การว่า ที่ดินที่โจทก์ทั้งสี่ขุดเป็นที่ดินสาธารณะไม่ใช่ที่ดินในโฉนดเลขที่ 260 โจทก์ทั้งสี่ไม่ได้รับความเสียหายประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่าข้อความที่จำเลยแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ทั้งสี่ขุดถนนสาธารณะนั้นเป็นความเท็จอันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสี่หรือไม่ โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยเพียงใด โจทก์ทั้งสี่เป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงว่าข้อความที่จำเลยแจ้งต่อพนักงานสอบสวนเป็นความเท็จ การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 400,000 บาท หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นจึงตกอยู่แก่โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้กล่าวอ้าง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยกระทำละเมิดโจทก์ทั้งสี่หรือไม่ ค่าเสียหายเพียงใด และกำหนดว่าภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์ทั้งสี่ จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2918/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ธนาคารต้องรับผิดคืนเงินเช็คขีดคร่อมที่นำเข้าบัญชีบุคคลอื่นโดยมิชอบแก่ผู้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ท. ได้สั่งจ่ายเช็คขีดคร่อมเฉพาะสั่งจ่ายเงินฉบับละ 2,000,000 บาท ระบุชื่อให้แก่โจทก์ที่ 1และโจทก์ที่ 2 ตามลำดับโดยขีดฆ่าคำว่า "หรือผู้ถือ"โดยห้ามเปลี่ยนมือทั้งสองฉบับ พ. บิดาของโจทก์ทั้งสองรับเช็คดังกล่าวไว้แล้วนำไปเข้าบัญชีเงินฝากของ พ.ที่ธนาคารสาขาของจำเลยที่ 1 เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ได้นำเช็คดังกล่าวเข้าบัญชี พ. โดยไม่มีอำนาจที่จะกระทำเช่นนั้นได้ เพราะเช็คดังกล่าวทั้งสองฉบับเป็นเช็คขีดคร่อมระบุชื่อโจทก์ทั้งสองเป็นผู้รับเงินตามเช็คและเจ้าหน้าที่ของจำเลยจะต้องนำเช็คทั้งสองฉบับเข้าบัญชีเฉพาะของโจทก์ทั้งสอง หากโจทก์ทั้งสองยังไม่มีบัญชีกับธนาคารจำเลยที่ 1 เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ก็ต้องปิดบัญชีให้แก่โจทก์ทั้งสองเพื่อจะได้นำเงินตามเช็คทั้งสองฉบับเข้าบัญชีของโจทก์ทั้งสอง อันเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายและธรรมเนียมประเพณีของธนาคารพาณิชย์ การกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย การกระทำของเจ้าหน้าที่จำเลยที่ 1 จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสองแล้วจำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างย่อมต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองโจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้อง ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าโจทก์ทั้งสองใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเป็นข้อเท็จจริงที่นำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้องแต่เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันโดยชอบในศาลล่างทั้งสองศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย แม้โจทก์จะกล่าวในคำฟ้องว่า ด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่จำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ซึ่งเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์มีมูลหนี้มาจากการละเมิด อันจะต้องฟ้องเรียกค่าเสียหายภายในอายุความ 1 ปี ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาคำฟ้องเป็นการฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1000 เพื่อยกเว้นความรับผิดทั้งเป็นการเรียกเอาทรัพย์จากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้คืน ตามมาตรา 1336 ซึ่งไม่มีกำหนดอายุความดังนี้จะนำอายุความเรื่องละเมิด 1 ปี มาใช้บังคับไม่ได้ฟ้องโจทก์ทั้งสองจึงไม่ขาดอายุความ แม้ขณะเกิดเหตุโจทก์ทั้งสองยังเป็นผู้เยาว์ พ.บิดาในฐานะผู้ใช้อำนาจปกครองของโจทก์ทั้งสองในขณะนั้นย่อมมีอำนาจจัดการแทนโจทก์ทั้งสองได้ก็ตาม แต่เมื่อเงินได้ตามเช็คพิพาทเป็นเงินได้ที่ต้องนำบัญชีส่วนตัวของโจทก์ทั้งสองเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ก็ชอบที่จะจัดการนำเช็คดังกล่าวของโจทก์ทั้งสองเข้าบัญชีโจทก์ทั้งสอง และในทางปฏิบัติหากโจทก์ทั้งสองไม่มีบัญชีในธนาคารจำเลยที่ 1 เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ก็ย่อมดำเนินการเปิดบัญชีใหม่ให้โจทก์ทั้งสองได้เมื่อความเป็นผู้เยาว์ของโจทก์ทั้งสองไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการเปิดบัญชีใหม่แต่ประการใด ดังนั้น การที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 นำเช็คขีดคร่อมของโจทก์ทั้งสองเข้าบัญชีส่วนตัวของ พ.แล้วเป็นเหตุให้พ. ถอนเงินจำนวนดังกล่าวไปได้นั้นเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างย่อมต้องรับผิดคืนเงินพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ทั้งสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2918/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ธนาคารต้องรับผิดชอบการนำเช็คขีดคร่อมเข้าบัญชีบุคคลอื่นโดยไม่ชอบ แม้ผู้รับผลประโยชน์เป็นผู้เยาว์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ท.ได้สั่งจ่ายเช็คขีดคร่อมเฉพาะ สั่งจ่ายเงินฉบับละ 2,000,000 บาท ระบุชื่อให้แก่โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ตามลำดับโดยขีดฆ่าคำว่า "หรือผู้ถือ" โดยห้ามเปลี่ยนมือทั้งสองฉบับ พ.บิดาของโจทก์ทั้งสองรับเช็คดังกล่าวไว้แล้วนำไปเข้าบัญชีเงินฝากของ พ.ที่ธนาคารสาขาของจำเลยที่ 1เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ได้นำเช็คดังกล่าวเข้าบัญชี พ.โดยไม่มีอำนาจที่จะกระทำเช่นนั้นได้ เพราะเช็คดังกล่าวทั้งสองฉบับเป็นเช็คขีดคร่อมระบุชื่อโจทก์ทั้งสองเป็นผู้รับเงินตามเช็ค และเจ้าหน้าที่ของจำเลยจะต้องนำเช็คทั้งสองฉบับเข้าบัญชีเฉพาะของโจทก์ทั้งสอง หากโจทก์ทั้งสองยังไม่มีบัญชีกับธนาคารจำเลยที่ 1เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ก็ต้องเปิดบัญชีให้แก่โจทก์ทั้งสองเพื่อจะได้นำเงินตามเช็คทั้งสองฉบับเข้าบัญชีของโจทก์ทั้งสอง อันเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายและธรรมเนียมประเพณีของธนาคารพาณิชย์ การกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย การกระทำของเจ้าหน้าที่จำเลยที่ 1 จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสองแล้ว จำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างย่อมต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้อง
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าโจทก์ทั้งสองใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เป็นข้อเท็จจริงที่นำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้อง แต่เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
แม้โจทก์จะกล่าวในคำฟ้องว่า ด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่จำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ซึ่งเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์มีมูลหนี้มาจากการละเมิด อันจะต้องฟ้องเรียกค่าเสียหายภายในอายุความ 1 ปี ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาคำฟ้องเป็นการฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิอ้าง ป.พ.พ.มาตรา 1000 เพื่อยกเว้นความรับผิดทั้งเป็นการเรียกเอาทรัพย์จากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้คืน ตามมาตรา 1336ซึ่งไม่มีกำหนดอายุความ ดังนี้จะนำอายุความเรื่องละเมิด 1 ปี มาใช้บังคับไม่ได้ฟ้องโจทก์ทั้งสองจึงไม่ขาดอายุความ
แม้ขณะเกิดเหตุโจทก์ทั้งสองยังเป็นผู้เยาว์ พ.บิดาในฐานะผู้ใช้อำนาจปกครองของโจทก์ทั้งสองในขณะนั้นย่อมมีอำนาจจัดการแทนโจทก์ทั้งสองได้ก็ตาม แต่เมื่อเงินได้ตามเช็คพิพาทเป็นเงินได้ที่ต้องนำเข้าบัญชีส่วนตัวของโจทก์ทั้งสองเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ก็ชอบที่จะจัดการนำเช็คดังกล่าวของโจทก์ทั้งสองเข้าบัญชีโจทก์ทั้งสอง และในทางปฏิบัติ หากโจทก์ทั้งสองไม่มีบัญชีในธนาคารจำเลยที่ 1เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ก็ย่อมดำเนินการเปิดบัญชีใหม่ให้โจทก์ทั้งสองได้ เมื่อความเป็นผู้เยาว์ของโจทก์ทั้งสองไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการเปิดบัญชีใหม่แต่ประการใด ดังนั้น การที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 นำเช็คขีดคร่อมของโจทก์ทั้งสองเข้าบัญชีส่วนตัวของ พ.แล้วเป็นเหตุให้ พ.ถอนเงินจำนวนดังกล่าวไปได้นั้นเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างย่อมต้องรับผิดคืนเงินพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ทั้งสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2918/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ธนาคารต้องรับผิดชดใช้เงินเช็คขีดคร่อมที่เข้าบัญชีผิดพลาด แม้บิดาผู้เยาว์มีอำนาจจัดการได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าท. ได้สั่งจ่ายเช็คขีดคร่อมเฉพาะสั่งจ่ายเงินฉบับละ2,000,000บาทระบุชื่อให้แก่โจทก์ที่1และโจทก์ที่2ตามลำดับโดยขีดฆ่าคำว่า"หรือผู้ถือ"โดยห้ามเปลี่ยนมือทั้งสองฉบับพ. บิดาของโจทก์ทั้งสองรับเช็คดังกล่าวไว้แล้วนำไปเข้าบัญชีเงินฝากของพ.ที่ธนาคารสาขาของจำเลยที่1เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่1ได้นำเช็คดังกล่าวเข้าบัญชีพ. โดยไม่มีอำนาจที่จะกระทำเช่นนั้นได้เพราะเช็คดังกล่าวทั้งสองฉบับเป็นเช็คขีดคร่อมระบุชื่อโจทก์ทั้งสองเป็นผู้รับเงินตามเช็คและเจ้าหน้าที่ของจำเลยจะต้องนำเช็คทั้งสองฉบับเข้าบัญชีเฉพาะของโจทก์ทั้งสองหากโจทก์ทั้งสองยังไม่มีบัญชีกับธนาคารจำเลยที่1เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่1ก็ต้องปิดบัญชีให้แก่โจทก์ทั้งสองเพื่อจะได้นำเงินตามเช็คทั้งสองฉบับเข้าบัญชีของโจทก์ทั้งสองอันเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายและธรรมเนียมประเพณีของธนาคารพาณิชย์การกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายการกระทำของเจ้าหน้าที่จำเลยที่1จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสองแล้วจำเลยที่1ในฐานะนายจ้างย่อมต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองโจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้อง ที่จำเลยที่1ฎีกาว่าโจทก์ทั้งสองใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเป็นข้อเท็จจริงที่นำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้องแต่เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันโดยชอบในศาลล่างทั้งสองศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย แม้โจทก์จะกล่าวในคำฟ้องว่าด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่จำเลยที่1เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายซึ่งเป็นเหตุให้จำเลยที่1ต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์มีมูลหนี้มาจากการละเมิดอันจะต้องฟ้องเรียกค่าเสียหายภายในอายุความ1ปีก็ตามแต่เมื่อพิจารณาคำฟ้องเป็นการฟ้องว่าจำเลยที่1ไม่มีสิทธิอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1000เพื่อยกเว้นความรับผิดทั้งเป็นการเรียกเอาทรัพย์จากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้คืนตามมาตรา1336ซึ่งไม่มีกำหนดอายุความดังนี้จะนำอายุความเรื่องละเมิด1ปีมาใช้บังคับไม่ได้ฟ้องโจทก์ทั้งสองจึงไม่ขาดอายุความ แม้ขณะเกิดเหตุโจทก์ทั้งสองยังเป็นผู้เยาว์พ.บิดาในฐานะผู้ใช้อำนาจปกครองของโจทก์ทั้งสองในขณะนั้นย่อมมีอำนาจจัดการแทนโจทก์ทั้งสองได้ก็ตามแต่เมื่อเงินได้ตามเช็คพิพาทเป็นเงินได้ที่ต้องนำบัญชีส่วนตัวของโจทก์ทั้งสองเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่1ก็ชอบที่จะจัดการนำเช็คดังกล่าวของโจทก์ทั้งสองเข้าบัญชีโจทก์ทั้งสองและในทางปฏิบัติหากโจทก์ทั้งสองไม่มีบัญชีในธนาคารจำเลยที่1เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่1ก็ย่อมดำเนินการเปิดบัญชีใหม่ให้โจทก์ทั้งสองได้เมื่อความเป็นผู้เยาว์ของโจทก์ทั้งสองไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการเปิดบัญชีใหม่แต่ประการใดดังนั้นการที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่1นำเช็คขีดคร่อมของโจทก์ทั้งสองเข้าบัญชีส่วนตัวของพ. แล้วเป็นเหตุให้พ. ถอนเงินจำนวนดังกล่าวไปได้นั้นเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อจำเลยที่1ในฐานะนายจ้างย่อมต้องรับผิดคืนเงินพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ทั้งสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1578/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความประกันภัย: การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเกินกำหนดตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นสั่งฎีกาของจำเลยร่วมทั้งสองสำนวนในวันที่ 30เมษายน 2539 ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่จำเลยร่วมยื่นฎีกาว่า รับฎีกาจำเลยร่วมสำเนาให้โจทก์ทั้งสี่ให้จำเลยร่วมส่งภายใน 7 วัน หากส่งไม่ได้ให้แถลงให้ทราบภายใน 7 วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งฎีกา จำเลยร่วมจึงทราบคำสั่งดังกล่าวแล้ว ต่อมาปรากฏว่าส่งสำเนาฎีกาให้แก่โจทก์ที่ 1 ไม่ได้ตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคม 2539ตามรายงานเจ้าหน้าที่ลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2539 หลังจากนั้นจำเลยร่วมไม่ได้แถลงให้ศาลชั้นต้นทราบเพื่อดำเนินการต่อไปแต่อย่างใด ถือว่าจำเลยร่วมทิ้งฎีกาสำนวนแรกตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174
จำเลยร่วมผู้รับประกันภัยให้การเกี่ยวกับอายุความว่า โจทก์นำคดีมาฟ้องในมูลละเมิดเหตุเกิดเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2526 โจทก์ไม่ติดใจใช้สิทธิเรียกร้องบังคับเอาจากจำเลยร่วมมาแต่แรก คงมีจำเลยที่ 3 เท่านั้นที่ใช้สิทธิเรียกให้จำเลยร่วมเข้ามารับผิด แต่ก็เพิ่งเรียกเข้ามาเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2531อันเป็นเวลาล่วงเลยจากวันเกิดเหตุถึง 5 ปี คดีย่อมขาดอายุความตาม ป.พ.พ.มาตรา 448 ดังนี้ จำเลยร่วมให้การโดยชัดแจ้งและแสดงเหตุแห่งการขาดอายุความเรื่องการเรียกให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยแล้ว แม้จำเลยร่วมจะยกบทกฎหมายขึ้นอ้างว่าขาดอายุความละเมิดตามมาตรา 448 ก็ตาม แต่ถ้าตัดข้อความคำว่า "ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448" ออกเสียคำให้การของจำเลยร่วมเกี่ยวกับอายุความในส่วนที่เหลือก็ยังพออนุมานได้ว่าจำเลยร่วมได้ยกอายุความตามมาตรา 882 ขึ้นต่อสู้แล้ว และการจะปรับบทมาตราใดเป็นหน้าที่ของศาลจะยกขึ้นปรับแก่คดี คำให้การของจำเลยร่วมจึงมีประเด็นเรื่องอายุความการเรียกให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยตาม ป.พ.พ.มาตรา 882 วรรคแรก
คดีนี้เหตุวินาศภัยเกิดในวันที่ 5 กันยายน 2526 จำเลยร่วมผู้รับประกันภัยถูกเรียกเข้ามาในคดีเพื่อให้รับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย เมื่อวันที่7 มิถุนายน 2531 เป็นเวลาล่วงเลยจากวันเกิดเหตุกว่า 2 ปี คดีจึงขาดอายุความตาม ป.พ.พ.มาตรา 882 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1199/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีละเมิด: การรู้ถึงการละเมิดและตัวผู้กระทำละเมิดเป็นจุดเริ่มต้นนับอายุความ
จำเลยปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอันเป็นการละเมิดต่อกรมโจทก์ โจทก์ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงทำการสอบสวนแล้วได้รายงานให้โจทก์ทราบว่าจำเลยทำละเมิดและจะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ซึ่ง ธ. รองอธิบดีปฏิบัติราชการแทนอธิบดีโจทก์ได้บันทึกลงในรายงานฉบับนี้เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2535 ให้กองนิติการพิจารณาเสนอด้วย ธ. จึงทราบตามรายงานแล้วว่า จำเลยทำละเมิดและจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ตั้งแต่วันดังกล่าว เมื่อ ธ. เป็นผู้แทนของโจทก์จึงต้องถือว่าโจทก์ได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้ที่จะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2536 แล้ว โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2536 เกิน 1 ปี จึงขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง
of 77