คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 448

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 769 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2183/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความค่าเสียหาย: การรู้ถึงการละเมิดและตัวผู้รับผิดชอบ
การที่โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยนำส่งเงินที่ขาดบัญชีต่อโจทก์มิใช่เป็นการแจ้งให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เพราะขณะนั้นโจทก์ยังไม่ทราบว่าผู้ใดประมาทเลินเล่อและต้องรับผิดชอบบ้าง แต่เมื่อโจทก์มีคำสั่งแต่งตั้งคณะ-กรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดชอบทางแพ่งแล้วคณะกรรมการทำรายงานเสนอโจทก์ว่าจำเลยต้องรับผิดร่วมกับ ส. โดยโจทก์ลงนามทราบรายงานของคณะกรรมการดังกล่าวเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2529 แล้วมีหนังสือแจ้งให้จำเลยชดใช้เงินตามฟ้องให้แก่โจทก์นั้น ถือว่าโจทก์ได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2529 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 30กันยายน 2530 คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1398/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดจากเจ้าหน้าที่รัฐ: ความประมาทเลินเล่อในการตรวจสอบทรัพย์สินและการรับผิดร่วม
จำเลยที่ 1 ได้รับแต่งตั้งจากโจทก์ให้ร่วมเป็นอนุกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของราษฎรที่ถูกเขตชลประทาน จึงมีหน้าที่ต้องไปดูบริเวณที่ดินและตรวจสอบทรัพย์สินของราษฎรเพื่อให้ทราบถึงจำนวนเงินที่แท้จริงที่โจทก์จะต้องจ่ายค่าทดแทนและค่ารื้อย้ายทรัพย์สินการที่จำเลยที่ 1 เพียงแต่ตรวจดูรายงานของเจ้าหน้าที่คนอื่นแล้วร่วมลงชื่อ โดยมิได้ออกไปปฏิบัติหน้าที่ด้วยตนเอง จึงเป็นความบกพร่องของจำเลยที่ 1 และเป็นสาเหตุให้โจทก์จ่ายเงินค่าทดแทนทรัพย์สินของราษฎรตามที่คณะอนุกรรมการเสนอเรื่องไป ความเสียหายที่โจทก์จ่ายเงินทดแทนเกินกว่ามูลค่าทรัพย์สินตามความเป็นจริงจึงเกิดจากการกระทำโดยประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ร่วมกับบุคคลอื่นกระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องให้จำเลยที่ 1 กับบุคคลอื่นดังกล่าวร่วมกันรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นหรือฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในความเสียหายทั้งหมดแต่เพียงคนเดียวก็ได้ คณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดในการกระทำละเมิดต่อโจทก์คดีนี้ได้สอบสวนมีความเห็นว่า จำเลยทั้งหกเป็นผู้กระทำละเมิด ควรลงโทษทางวินัยและเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งหก ได้เสนอเรื่องราวตามลำดับชั้นจนถึงอธิบดีกรมโจทก์เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2527 ในวันเดียวกันอธิบดีกรมโจทก์เห็นว่ายังไม่มีการเสนอเรื่องผ่านรองอธิบดีเป็นการผิดขั้นตอน จึงมีคำสั่งให้เสนอรองอธิบดีพิจารณาเรื่องก่อน รองอธิบดีเสนอความเห็นต่ออธิบดีกรมโจทก์เมื่อวันที่3 กุมภาพันธ์ 2527 และอธิบดีกรมโจทก์มีบันทึกเห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2527 เมื่อปรากฏว่าในวันที่อธิบดีกรมโจทก์มีคำสั่งให้เสนอเรื่องต่อรองอธิบดีก่อนนั้นอธิบดีกรมโจทก์เพียงแต่อ่านหัวเรื่องและทราบว่ามีการสอบสวนเรื่องนี้เท่านั้น จึงยังฟังไม่ได้ว่า อธิบดีกรมโจทก์รู้การละเมิดและรู้ตัวผู้ต้องรับผิดต่อโจทก์ในวันที่ 27 มกราคม 2527 กรณีต้องถือว่ากรมโจทก์รู้การละเมิดและรู้ตัวผู้ต้องรับผิดในวันที่ 6 กุมภาพันธ์2527 ซึ่งเป็นวันที่อธิบดีกรมโจทก์พิจารณาเรื่องราวและความเห็นของเจ้าหน้าที่แล้ว เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้ในวันที่ 28 มกราคม 2528ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1141/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความละเมิด: เริ่มนับเมื่อโจทก์รู้ตัวผู้รับผิดชอบ แม้มีการสอบสวนเพิ่มเติม
อธิบดีกรมโจทก์ได้รับรายงานผลการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งว่าคือจำเลยทั้งสอง ตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2528 ถือว่าโจทก์ได้รู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้ว แม้ต่อมาจะมีการสอบสวนเพิ่มเติมแต่ผลการสอบสวนก็หาได้เปลี่ยนตัวผู้รับผิดชอบไม่ และแม้จะได้มีการนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมอ.ก.พ. ของโจทก์ ซึ่งมีอธิบดีกรมโจทก์เป็นประธานในที่ประชุมหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายในวันที่ 16 กันยายน 2529 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้จำเลยทั้งสองรับผิดก็ตาม ก็หาทำให้อายุความในมูลละเมิดหนึ่งปีที่กฎหมายกำหนดไว้ในการเรียกร้องค่าเสียหายขยายตามไม่เพราะมิฉะนั้นแล้วอายุความดังกล่าวก็จะขยายออกไปได้เรื่อย ๆแล้วแต่ความล่าช้าในการดำเนินการของโจทก์ ดังนั้นเมื่อโจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2530 คดีโจทก์จึงขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1041/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องรื้อถอนอาคารผิดกฎหมาย: อำนาจฟ้อง, การก่อสร้างผิดแบบ, และอายุความที่ไม่ใช่ละเมิด
โจทก์กล่าวไว้ในฟ้องว่าโจทก์มอบอำนาจของโจทก์ไว้ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 จำเลยได้รับสำเนาเอกสารดังกล่าวไปพร้อมฟ้องแล้วไม่ได้โต้แย้งคัดค้านการนำเอกสารมาสืบก่อนวันสืบพยานว่าไม่มีต้นฉบับหรือว่าต้นฉบับปลอมทั้งฉบับหรือบางส่วน สำเนานั้นไม่ถูกต้องกับต้นฉบับและไม่ได้ขออนุญาตคัดค้านในภายหลัง ถือได้ว่าจำเลยยอมรับถึงการมีอยู่ของต้นฉบับและความถูกต้องแท้จริงของต้นฉบับเอกสารนั้นรวมทั้งยอมรับว่าสำเนานั้นตรงกับต้นฉบับ ศาลมีอำนาจรับฟังสำเนาเอกสารนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 125 ตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร ข้อ 72 วรรคสาม บัญญัติให้แนวอาคารที่ปลูกสร้างริมทางสาธารณะที่มีความกว้างตั้งแต่ 10 เมตรขึ้นไปให้ร่นแนวอาคารห่างจากแนวถนนอย่างน้อย 1 ใน 10 ของความกว้างของแนวถนนนั้น คำว่า "แนวถนน" หมายความว่ารวมความกว้างของถนนและทางเท้าเข้าด้วยกัน ความผิดฐานก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายมิใช่ความผิดละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โจทก์จึงฟ้องขอให้รื้อถอนได้เสมอตราบที่อาคารซึ่งฝ่าฝืนกฎหมายยังคงอยู่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 699/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีจากการผิดสัญญาจ้างและละเมิด การสะดุดหยุดของอายุความด้วยการรับสภาพหนี้
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาจ้างจำเลยที่ 1 ให้เป็นผู้ช่วยผู้จัดการร้านโจทก์ตามสัญญาจ้างท้ายฟ้อง ตามสัญญาดังกล่าวจำเลยที่ 1 จะต้องปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับ และคำสั่งของโจทก์หรือบุคคลที่โจทก์มอบหมาย หากจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่ด้วยประการใด ๆ จนเกิดความเสียหายขึ้นในภายหน้าแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ยอมใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จนครบ และต่อมาในระหว่างสัญญาจ้างจำเลยที่ 1 ในฐานะหัวหน้าฝ่ายบัญชีได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้สินค้าของโจทก์ขาดบัญชีและลูกหนี้การค้าทั่วไปคลาดเคลื่อน โจทก์ได้รับความเสียหายเช่นนี้เห็นได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รับผิดทั้งตามสัญญาจ้างแรงงานและในมูลละเมิดที่โจทก์อ้างในฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งที่จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่ผิดสัญญาจ้างแรงงานและทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ในกรณีเช่นนี้โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องได้ทั้งสองทาง สำหรับสิทธิเรียกร้องอันเกิดจากการผิดสัญญาจ้างแรงงานไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่นจึงต้องถืออายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164(เดิม) ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ทำหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวอันเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม2528 จึงต้องเริ่มนับอายุความ 10 ปีใหม่ตั้งแต่วันดังกล่าวตามมาตรา 181(เดิม) โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2529คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 593/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีความรับผิดทางละเมิด: การนับระยะเวลาเริ่มจากวันที่โจทก์ทราบความเสียหายและตัวผู้กระทำละเมิด
จำเลยซึ่งเป็นข้าราชการปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัดเสียหาย มีการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งขึ้น 2 ชุดคณะกรรมการสอบสวนชุดแรกทำบันทึกเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัดและ ย. ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดมีคำสั่งให้ดำเนินการต่อผู้ที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2527 ส่วนรายงานของคณะกรรมการชุดหลังได้มีการบันทึกเสนอ และ ย.ผู้ว่าราชการจังหวัดมีคำสั่งให้ดำเนินการหลังจากนั้น ถือได้ว่าโจทก์ที่ 1 ทราบความเสียหายและรู้ตัวผู้ต้องรับผิดเมื่อวันที่ 13 กันยายน2527 ต่อมา ย. ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดแจ้งให้กรมการปกครองโจทก์ที่ 2 ทราบความเสียหายและบุคคลผู้ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2527 ส่วนโจทก์ที่ 3 ไม่ปรากฏว่าทราบตัวต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเมื่อใด แต่ได้ความว่า ย.ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้แจ้งผลการสอบสวนให้โจทก์ที่ 3 ทราบ จึงฟังได้ว่าโจทก์ที่ 3 ทราบตัวผู้ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายหลังจากวันที่13 กันยายน 2527 โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2528จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 593/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีชดใช้ค่าเสียหาย: เริ่มนับเมื่อทราบตัวผู้ต้องรับผิด
จำเลยซึ่งเป็นข้าราชการปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัดเสียหาย มีการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งขึ้น 2 ชุด คณะกรรมการสอบสวนชุดแรกทำบันทึกเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัด และ ย.ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดมีคำสั่งให้ดำเนินการต่อผู้ที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2527ส่วนรายงานของคณะกรรมการชุดหลังได้มีการบันทึกเสนอ และ ย.ผู้ว่าราชการ-จังหวัดมีคำสั่งให้ดำเนินการหลังจากนั้น ถือได้ว่าโจทก์ที่ 1 ทราบความเสียหายและรู้ตัวผู้ต้องรับผิดเมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2527 ต่อมา ย.ในฐานะผู้ว่าราชการ-จังหวัดแจ้งให้กรมการปกครองโจทก์ที่ 2 ทราบความเสียหายและบุคคลผู้ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2527 ส่วนโจทก์ที่ 3 ไม่ปรากฏว่าทราบตัวผู้ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเมื่อใด แต่ได้ความว่า ย.ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้แจ้งผลการสอบสวนให้โจทก์ที่ 3 ทราบ จึงฟังได้ว่าโจทก์ที่ 3 ทราบตัวผู้ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายหลังจากวันที่ 13 ก.ย. 2527 โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีเมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2528 จึงไม่ขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 448

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 541/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีละเมิด: การรับรู้การละเมิดและตัวผู้รับผิด, ผลกระทบคำพิพากษาคดีอาญาต่อคดีแพ่ง
ข้อเท็จจริงในคดีอาญาซึ่งมูลกรณีเป็นเรื่องเดียวกันกับคดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดได้วินิจฉัยไว้ว่าข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้เบียดบังเอาทรัพย์ตามฟ้องไป ดังนั้นย่อมเห็นได้ว่าคำพิพากษาคดีส่วนอาญาได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงไว้แล้วว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้เบียดบังหรือยักยอกทรัพย์ของโจทก์ไป ฉะนั้นในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจึงต้องถือตามข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 บัญญัติไว้กรณีหาจำต้องคำนึงถึงว่า คำพิพากษาคดีส่วนอาญาศาลได้วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดแล้วหรือไม่ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนได้มีเอกสารรายงานให้กรมตำรวจโจทก์ทราบถึงการละเมิดและตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วว่าคือจำเลยทั้งสาม เอกสารดังกล่าวส่งถึงกรมตำรวจเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2529 แม้ไม่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ได้เสนอให้อธิบดีกรมตำรวจทราบเมื่อใด แต่พลตำรวจโท ป. ผู้ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมตำรวจได้มีคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวนจำเลยที่ 1ทางวินัยเกี่ยวกับการละเมิดดังกล่าวเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2529เนื่องจากผู้ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมตำรวจได้รับรายงานข้อเท็จจริงเอกสารจากกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน จึงฟังได้ว่าโจทก์ได้ทราบถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนว่าคือจำเลยที่ 2 และที่ 3 แล้วตั้งแต่วันที่ 16ธันวาคม 2529 เป็นอย่างช้า เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดในวันที่ 2 พฤษภาคม 2531 พ้น 1 ปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน คดีโจทก์จึงขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องค่าเสียหายจากละเมิด: เริ่มนับเมื่อรู้ตัวผู้ทำละเมิดและรู้ถึงความเสียหาย
คณะกรรมการได้ทำการสอบสวนและสรุปผลการสอบสวนเสนออธิบดีกรมการแพทย์เมื่อปลายเดือนเมษายน 2528 ว่าจำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ต้องถือว่ากรมการแพทย์โจทก์รู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน2528 แม้อธิบดีกรมการแพทย์จะยังไม่ได้พิจารณาเรื่องราวตามสำนวนการสอบสวนในวันดังกล่าว แต่ได้ลงนามในรายงานการสอบสวนและมีคำสั่งเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2528 ก็หามีผลทำให้การรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนของโจทก์เปลี่ยนแปลงไปไม่ โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2529 จึงเกิน 1 ปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ตัวว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ทำละเมิดต่อโจทก์คดีโจทก์จึงขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีละเมิด: รู้ตัวผู้กระทำละเมิดเมื่อใด
การที่อธิบดีของกรมโจทก์มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดทางแพ่ง ก็เพื่อให้คณะกรรมการสอบสวนทำการสอบสวนเพื่อรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อคณะกรรมการสอบสวนรายงานให้อธิบดีของกรมโจทก์วันใดว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ซึ่งจะต้องรับผิดในทางแพ่งก็ต้องถือเอาวันนั้นเป็นวันที่โจทก์ผู้ต้องเสียหายรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้ว แม้อธิบดีของกรมโจทก์จะยังไม่ได้พิจารณาเรื่องราวตามสำนวนการสอบสวนในวันดังกล่าว ดังนั้นการที่อธิบดีของกรมโจทก์ลงนามในรายงานการสอบสวนและมีคำสั่งในภายหลัง หามีผลทำให้การรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนของโจทก์เปลี่ยนแปลงไปไม่
of 77