พบผลลัพธ์ทั้งหมด 556 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3528/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้เงินไม่เป็นนิติกรรมอำพรางสัญญาซื้อขาย หากมีเจตนาชำระหนี้ค่าที่ดิน และการแปลงหนี้ระหว่างสัญญากู้
จำเลยทำสัญญากู้เงินให้โจทก์แทนการชำระราคาที่ดินบางส่วนที่โจทก์กับพวกขายให้แก่จำเลยหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้เงินจึงเป็นหนี้ที่แปลงมาจากค่าที่ดินที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์สัญญากู้เงินจึงมีผลบังคับได้ตามกฎหมายมิใช่เป็นนิติกรรมอำพรางสัญญาขายที่ดิน โจทก์เอาหนี้เงินกู้ที่จำเลยค้างชำระตามสัญญากู้เงินฉบับเดิมมาเป็นต้นเงินกู้ตามสัญญากู้เงินฉบับใหม่เป็นการแปลงหนี้จากสัญญากู้เงินฉบับเดิมมาเป็นสัญญากู้เงินฉบับใหม่สัญญากู้เงินฉบับใหม่ใช้บังคับกันได้ตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3528/2539 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาแปลงหนี้: สัญญากู้เงินที่แปลงจากค่าที่ดินและแปลงหนี้เงินกู้เดิม ย่อมมีผลบังคับใช้ได้
จำเลยทำสัญญากู้เงินให้โจทก์แทนการชำระราคาที่ดินบางส่วนที่โจทก์กับพวกขายให้แก่จำเลย หนี้เงินกู้ตามสัญญากู้เงินจึงเป็นหนี้ที่แปลงมาจากค่าที่ดินที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ สัญญากู้เงินจึงมีผลบังคับได้ตามกฎหมาย มิใช่เป็นนิติกรรมอำพรางสัญญาขายที่ดิน
โจทก์เอาหนี้เงินกู้ที่จำเลยค้างชำระตามสัญญากู้เงินฉบับเดิมมาเป็นต้นเงินกู้ตามสัญญากู้เงินฉบับใหม่ เป็นการแปลงหนี้จากสัญญากู้เงินฉบับเดิมมาเป็นสัญญากู้เงินฉบับใหม่ สัญญากู้เงินฉบับใหม่ใช้บังคับกันได้ตามกฎหมาย
โจทก์เอาหนี้เงินกู้ที่จำเลยค้างชำระตามสัญญากู้เงินฉบับเดิมมาเป็นต้นเงินกู้ตามสัญญากู้เงินฉบับใหม่ เป็นการแปลงหนี้จากสัญญากู้เงินฉบับเดิมมาเป็นสัญญากู้เงินฉบับใหม่ สัญญากู้เงินฉบับใหม่ใช้บังคับกันได้ตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3528/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้แปลงจากค่าที่ดิน-สัญญาเงินกู้ สัญญาเงินกู้ไม่เป็นนิติกรรมอำพราง
จำเลยทำสัญญากู้เงินให้โจทก์แทนการชำระราคาที่ดินบางส่วนที่โจทก์กับพวกขายให้แก่จำเลย หนี้เงินกู้ตามสัญญากู้เงินจึงเป็นหนี้ที่แปลงมาจากค่าที่ดินที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์สัญญากู้เงินจึงมีผลบังคับได้ตามกฎหมายมิใช่เป็นนิติกรรมอำพรางสัญญาขายที่ดิน โจทก์เอาหนี้เงินกู้ที่จำเลยค้างชำระตามสัญญากู้เงินฉบับเดิมมาเป็นต้นเงินกู้ตามสัญญากู้เงินฉบับใหม่ เป็นการแปลงหนี้จากสัญญากู้เงินฉบับเดิมมาเป็นสัญญากู้เงินฉบับใหม่ สัญญากู้เงินฉบับใหม่ใช้บังคับกันได้ตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3528/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแปลงหนี้จากค่าที่ดินเป็นหนี้กู้เงิน สัญญาไม่เป็นนิติกรรมอำพราง
จำเลยทำสัญญากู้เงินให้โจทก์แทนการชำระราคาที่ดินบางส่วนที่โจทก์กับพวกขายให้แก่จำเลยหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้เงินจึงเป็นหนี้ที่แปลงมาจากค่าที่ดินที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์สัญญากู้เงินจึงมีผลบังคับได้ตามกฎหมายมิใช่เป็นนิติกรรมอำพรางสัญญาขายที่ดิน โจทก์เอาหนี้เงินกู้ที่จำเลยค้างชำระตามสัญญากู้เงินฉบับเดิมมาเป็นต้นเงินกู้ตามสัญญากู้เงินฉบับใหม่เป็นการแปลงหนี้จากสัญญากู้เงินฉบับเดิมมาเป็นสัญญากู้เงินฉบับใหม่สัญญากู้เงินฉบับใหม่ใช้บังคับกันได้ตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2807/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินต่อเนื่องและการโอนสิทธิครอบครองจากผู้ครอบครองเดิมเพื่อใช้เป็นหลักฐานสิทธิ
ในคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทซึ่งจำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยจำเลยซื้อมาจากบุคคลภายนอกนั้นประเด็นข้อพิพาทมีว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาทไม่มีปัญหาเรื่องแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1375วรรคสองทั้งศาลจะยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยเองไม่ได้เพราะขัดแย้งกับที่จำเลยต่อสู้ไว้ในคำให้การและไม่ใช่ปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2077/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนฟ้องทำให้ฎีกาคดีคุ้มครองชั่วคราวสิ้นผลบังคับ
เมื่อโจทก์ได้ขอถอนฟ้องและศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องไปแล้วฎีกาในชั้นการคุ้มครองชั่วคราวระหว่างพิจารณาซึ่งเป็นคดีสาขาเป็นอันสิ้นผลบังคับไปโดยปริยายคดีไม่มีประโยชน์ที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยปัญหาตามที่โจทก์ฎีกาต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2077/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนฟ้องทำให้ฎีกาคดีคุ้มครองชั่วคราวเป็นอันสิ้นผล
เมื่อโจทก์ได้ขอถอนฟ้องและศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องไปแล้ว ฎีกาในชั้นการคุ้มครองชั่วคราวระหว่างพิจารณาซึ่งเป็นคดีสาขาเป็นอันสิ้นผลบังคับไปโดยปริยาย คดีไม่มีประโยชน์ที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยปัญหาตามที่โจทก์ฎีกาต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1937/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้พิจารณาใหม่ และการขาดน้ำหนักพยานหลักฐานการซื้อขายที่ดิน
คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา208เป็นคำสั่งภายหลังเมื่อศาลได้พิพากษาคดีแล้วจึงไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวภายใน1เดือนนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งคำสั่งดังกล่าวจึงถึงที่สุดแม้ศาลอุทธรณ์ภาค3จะวินิจฉัยให้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์กล่าวอ้างว่าซื้อที่ดินพิพาทจาก ป. แล้วครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382ซึ่งเป็นเพียงคำเบิกความลอยๆง่ายแก่การกล่าวอ้างทั้งโจทก์เป็นคนยากจนไม่มีเงินเก็บไว้พอที่จะนำมาชำระค่าที่ดินส่วนที่เหลือให้ ป. และในการซื้อขายก็ไม่ปรากฏว่ามีการทำหลักฐานไว้เป็นหนังสือแม้โฉนดที่ดินโจทก์ก็ไม่ได้เป็นผู้เก็บรักษาไว้ซึ่งราคาที่ซื้อขายกันขณะนั้นก็เป็นราคาที่ค่อนข้างสูงประกอบกับหากโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจาก ป. จริงก็น่าจะครอบครองทำประโยชน์เต็มเนื้อที่แต่โจทก์กลับครอบครองทำประโยชน์แต่เพียงบางส่วนเหมือนครั้งป. ยังมีชีวิตอยู่พยานหลักฐานโจทก์จึงขาดน้ำหนักขัดต่อเหตุผลไม่น่าเชื่อว่าโจทก์ได้ซื้อที่ดินพิพาทจาก ป. จริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1937/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาใหม่และการอุทธรณ์คำสั่งศาล: คำสั่งพิจารณาใหม่หลังพิพากษาถึงที่สุดแล้วไม่อาจอุทธรณ์ได้
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้พิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา208เป็นคำสั่งภายหลังเมื่อศาลชั้นต้นได้พิพากษาคดีแล้วไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาแต่เป็นคำสั่งชี้ขาดใดๆซึ่งอยู่ในบังคับของการอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดซึ่งต้องยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนด1เดือนนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งดังกล่าวให้คู่ความฟังตามมาตรา223และ229เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้พิจารณาใหม่ภายใน1เดือนนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงถึงที่สุดแล้วโจทก์ไม่มีสิทธิหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นอุทธรณ์อีกแม้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์โดยชอบโจทก์จะยกขึ้นฎีกาต่อมาไม่ได้มาตรา249วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1937/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งพิจารณาใหม่หลังพิพากษา: อุทธรณ์ไม่ทันเวลา ไม่อาจฎีกาได้
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้พิจารณาใหม่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา208 เป็นคำสั่งภายหลังเมื่อศาลชั้นต้นได้พิพากษาคดีแล้ว ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา แต่เป็นคำสั่งชี้ขาดใด ๆ ซึ่งอยู่ในบังคับของการอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดซึ่งต้องยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งดังกล่าวให้คู่ความฟังตามมาตรา 223 และ 229 เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้พิจารณาใหม่ ภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงถึงที่สุดแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นอุทธรณ์อีก แม้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์โดยชอบ โจทก์จะยกขึ้นฎีกาต่อมาไม่ได้ มาตรา 249 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย