พบผลลัพธ์ทั้งหมด 192 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9681/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงแบ่งมรดกไม่เป็นโมฆียะ แม้ดำเนินการล่าช้า แต่สิทธิในส่วนแบ่งที่ดินยังคงมีอยู่
โจทก์จำเลยเป็นบุตรของ ศ. มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันอีก 5 คน เดิมที่ดินพิพาทเป็นของ ศ. และขณะที่ ศ.ถึงแก่ความตายที่ดินพิพาทยังเป็นที่ดินมีหลักฐานเพียงหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เมื่อ ศ.ถึงแก่ความตายแล้วโจทก์และจำเลยได้ยื่นคำร้องขอรับมรดกที่ดินพิพาทร่วมกัน 2 คน โดยพี่น้องคนอื่น ๆอีก 5 คน ได้ทำบันทึกไม่ประสงค์จะขอรับมรดก และโจทก์ได้ทำบันทึกให้ถ้อยคำต่อนายอำเภอว่าเมื่อเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินอำเภอได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้เป็นของโจทก์จำเลยแล้ว โจทก์ยินยอมขอรังวัดแบ่งแยกออกเป็นส่วนของโจทก์เพียง1 ไร่ ส่วนที่เหลือให้ตกเป็นของจำเลย โดยจำเลยจะให้เงินโจทก์ 40,000 บาทเป็นการตอบแทน หากจำเลยไม่มีเงินชำระก็ไม่ติดใจเอาส่วนของโจทก์ตามที่ตกลงไว้ดังนี้ เมื่อตามคำฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ได้ความเพียงว่า หลังจากโจทก์ตกลงกับจำเลยแล้ว จำเลยก็ดำเนินการตามที่ตกลง แต่ล่าช้าเกินไป และโจทก์หมดความจำเป็นที่จะใช้เงินไปลงทุนทำการค้าแล้วจึงบอกเลิกข้อตกลงดังกล่าวเสีย หาได้ปรากฏว่ามีพฤติการณ์อื่นใดพอที่จะชี้ให้เห็นว่าบันทึกข้อตกลงนั้นโจทก์ได้แสดงเจตนาเพราะถูกจำเลยใช้กลฉ้อฉลหลอกลวงอันถึงขนาดไม่ เมื่อตามข้อตกลงไม่ปรากฏว่าต้องให้จำเลยดำเนินการให้แล้วเสร็จเมื่อใด ทั้งปรากฏว่าเมื่อโจทก์จำเลยยื่นเรื่องราวขอรับโอนมรดกไม่มีพินัยกรรมแล้ว โจทก์ได้มอบอำนาจให้จำเลยทำการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน ทำบันทึกข้อตกลงแบ่งกรรมสิทธิ์รวมและขอจดทะเบียนแบ่งกรรมสิทธิ์รวม จึงเห็นได้ว่าจำเลยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงแล้ว เพียงแต่ดำเนินการล่าช้าเท่านั้น หาได้ใช้กลฉ้อฉลหลอกลวงโจทก์ไม่ ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยดังกล่าวจึงไม่เป็นโมฆียะ โจทก์ไม่มีสิทธิบอกล้างได้ แต่โฉนดที่ดินที่จำเลยแบ่งแยกให้โจทก์มีเนื้อที่เพียง 3 งาน 30 ตารางวา ไม่ตรงตามที่ตกลงกัน เพราะความผิดพลาดของเจ้าพนักงานที่ดิน โจทก์จึงยังมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งอีก 70 ตารางวาแม้โจทก์ฟ้องเรียกให้จำเลยแบ่งที่ดินพิพาทให้โจทก์กึ่งหนึ่ง แต่ทางพิจารณาได้ความว่าโจทก์ควรได้แต่ส่วนแบ่งอีกเพียง 70 ตารางวา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้โจทก์ได้รับแต่ส่วนแบ่งนั้นได้ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 142 (2) ส่วนเงินจำนวน40,000 บาท นั้น ไม่อาจพิพากษาให้จำเลยชำระแก่โจทก์ได้ เพราะเป็นการเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 142วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9300/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย พยานหลักฐานสอดคล้องกัน การฟ้องระบุสถานที่เกิดเหตุไม่ตรงกันไม่ถือเป็นข้อแตกต่างสำคัญ
ส. ถูกฟ้องว่าร่วมกันฆ่าผู้ตายด้วย แต่เป็นคนละสำนวนกับคดีนี้ การที่โจทก์อ้าง ส. เป็นพยานจึงมิใช่กรณีที่โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 232 คำเบิกความของส. จึงรับฟังได้ แต่จะรับฟังได้เพียงใดหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ข้อแตกต่างเกี่ยวกับสถานที่กระทำความผิดเป็นเพียงรายละเอียด ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสาม บัญญัติมิให้ถือว่าเป็นข้อแตกต่างกันให้ข้อสาระสำคัญ ทั้งจำเลยก็เข้าใจดีแล้วว่าเหตุเกิดในบริเวณใดมิได้หลงต่อสู้จึงลงโทษจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9157/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายตามคำพรรณนา การเปลี่ยนแปลงลักษณะทรัพย์สินหลังสัญญา และสิทธิบอกเลิกสัญญา
การขายตามคำพรรณนาคือการขายที่ผู้ซื้อไม่ได้เห็นหรือตรวจตราทรัพย์สินที่ขาย แต่ตกลงซื้อโดยเชื่อถึงคำบรรยายถึงลักษณะรูปพรรณสัณฐานและคุณภาพของทรัพย์สินนั้นตามที่ผู้ขายบอกหรือบรรยายไว้และแม้บางกรณีผู้ซื้อจะได้เห็นทรัพย์สินนั้นแล้วแต่หากยากแก่การที่จะตรวจตราถึงคุณภาพได้และผู้ซื้อตกลงซื้อโดยอาศัยคำบรรยายของผู้ขายเป็นหลักก็เป็นการขายตามคำพรรณนาเช่นกัน จำเลยโฆษณาเสนอขายที่ดินในโครงการของจำเลยโดยมีหนังสือชี้ชวนและแผนผังแสดงที่ตั้งโครงการรวมทั้งการแบ่งแยกที่ดินแปลงย่อย โจทก์ตกลงซื้อที่ดินพิพาทเพราะเชื่อตามที่จำเลยได้โฆษณาไว้ เมื่อโจทก์และจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจึงได้ระบุไว้ในสัญญาว่าที่ดินที่ซื้อขายกันนั้นปรากฏตามแผนผังที่ดินท้ายสัญญาที่ได้ทำเครื่องหมายไว้โดยให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญา จึงถือได้ว่าเป็นการขายตามพรรณนา เมื่อต่อมาปรากฏว่าจำเลยได้เปลี่ยนแปลงแผนผังของโครงการโดยย้ายทางเข้าออกมาไว้ทางด้านตะวันออกทำให้อยู่ห่างจากที่ดินแปลงของโจทก์ถึง 1,200 เมตรย้ายศูนย์กีฬาและศูนย์อำนวยความสะดวกอื่น ๆ ไปอยู่ห่างออกไปถึง 1,700 เมตร จึงไม่ตรงตามคำพรรณนา จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ โจทก์ฟ้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเนื่องจากจำเลยผิดสัญญามิได้เป็นเรื่องที่จำเลยส่งมอบทรัพย์สินให้โจทก์ตรงตามสัญญา แต่เกิดชำรุดบกพร่องในทรัพย์สินดังกล่าวจะนำอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 474 มาใช้บังคับมิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9145/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อนุญาตให้สืบพยานเพิ่มเติมเนื่องจากจำเลยประวิงคดีและพยานที่เสนอไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับข้อพิพาท
ในวันนัดสืบพยานจำเลยนัดแรกจำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเข้าสืบได้1ปากแล้วแถลงว่าพยานอื่นไม่มาศาลโดยไม่ทราบเหตุขัดข้องขอเลื่อนหากนัดหน้ามีพยานมาศาลเพียงใดก็ติดใจสืบเพียงเท่าที่มาศาลครั้นถึงวันนัดต่อมาจำเลยนำพยานเข้าสืบได้1ปากแล้วแถลงว่ายังติดใจสืบพยานที่เหลือนัดหน้าหากพยานมาศาลเท่าใดก็จะติดใจสืบเท่าที่มาศาลศาลชั้นต้นเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมอนุญาตให้สืบพยานจำเลยต่อไปอีกตามที่ขอโดยกำชับว่านัดหน้ามีพยานมาเท่าใดก็จะสืบเพียงเท่านั้นครั้นถึงวันนัดทนายจำเลยขอถอนตัวจำเลยแถลงว่ายังหาทนายคนใหม่ไม่ได้ประกอบกับพยานที่ขอหมายเรียกไว้ไม่มาศาลขอเลื่อนศาลชั้นต้นเห็นควรให้โอกาสจำเลยอีกนัดหนึ่งโดยกำชับให้แต่งทนายคนใหม่เข้ามาให้พร้อมและหากมีพยานมาศาลเพียงใดก็ให้สืบเพียงเท่านั้นจะไม่ให้เลื่อนคดีไม่ว่าด้วยเหตุใดๆอีกครั้นถึงวันนัดสืบพยานจำเลยได้อีก1ปากแล้วจำเลยแถลงขอเลื่อนและส่งประเด็นไปสืบบ. ให้ที่ศาลจังหวัดปากพนัง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าไม่มีเหตุอันควรที่จะอนุญาตอีกดังนั้นจำเลยไม่ปฏิบัติตามที่ได้แถลงไว้ต่อศาลตามที่ศาลชั้นต้นกำชับไว้โดยมีพฤติการณ์ส่อไปในทางประวิงคดีให้ชักช้าทั้งเอกสารในคดีอาญาที่จำเลยอ้างก็เป็นเอกสารในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องอ. ในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คซึ่งโจทก์เป็นผู้เสียหายในคดีดังกล่าวจำเลยก็ได้นำอ. มาเบิกความเป็นพยานในคดีนี้แล้วส่วนว. และบ. ให้นั้นจำเลยประสงค์จะนำสืบเพียงว่าเป็นผู้ที่อ. แนะนำให้กู้เงินจากม. ด้วยหาได้รู้เห็นในการกู้ยืมเงินระหว่างจำเลยกับม. แต่อย่างใดไม่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าสัญญากู้เงินเอกสารหมายจ.1ที่โจทก์นำมาฟ้องคือสัญญากู้เงินที่จำเลยทำไว้กับม. ใช่หรือไม่จึงไม่ได้เป็นผู้ที่ได้เห็นได้ยินหรือทราบข้อความในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา95(2)ศาลจึงมีอำนาจงดการสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้นเสียได้ตามมาตรา86วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9145/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประวิงคดีและการงดการสืบพยานเนื่องจากพยานไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับประเด็นที่สืบ
ในวันนัดสืบพยานจำเลยนัดแรก จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเข้าสืบได้ 1 ปาก แล้วแถลงว่า พยานอื่นไม่มาศาลโดยไม่ทราบเหตุขัดข้อง ขอเลื่อนหากนัดหน้ามีพยานมาศาลเพียงใดก็ติดใจสืบเพียงเท่าที่มาศาล ครั้นถึงวันนัด ต่อมาจำเลยนำพยานเข้าสืบได้ 1 ปาก แล้วแถลงว่ายังติดใจสืบพยานที่เหลือนัดหน้าหากพยานมาศาลเท่าใดก็จะติดใจสืบเท่าที่มาศาล ศาลชั้นต้นเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม อนุญาตให้สืบพยานจำเลยต่อไปอีกตามที่ขอโดยกำชับว่านัดหน้ามีพยานมาเท่าใดก็จะสืบเพียงเท่านั้น ครั้นถึงวันนัดทนายจำเลยขอถอนตัว จำเลยแถลงว่ายังหาทนายคนใหม่ไม่ได้ ประกอบกับพยานที่ขอหมายเรียกไว้ไม่มาศาลขอเลื่อน ศาลชั้นต้นเห็นควรให้โอกาสจำเลยอีกนัดหนึ่งโดยกำชับให้แต่งทนายคนใหม่เข้ามาให้พร้อมและหากมีพยานมาศาลเพียงใดก็ให้สืบเพียงเท่านั้น จะไม่ให้เลื่อนคดีไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ อีก ครั้นถึงวันนัด สืบพยานจำเลยได้อีก 1 ปาก แล้วจำเลยแถลงขอเลื่อนและส่งประเด็นไปสืบ บ.ให้ที่ศาลจังหวัดปากพนัง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าไม่มีเหตุอันควรที่จะอนุญาตอีก ดังนั้น จำเลยไม่ปฏิบัติตามที่ได้แถลงไว้ต่อศาลตามที่ศาลชั้นต้นกำชับไว้ โดยมีพฤติการณ์ส่อไปในทางประวิงคดีให้ชักช้า ทั้งเอกสารในคดีอาญาที่จำเลยอ้างก็เป็นเอกสารในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง อ.ในข้อหาความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คซึ่งโจทก์เป็นผู้เสียหายในคดีดังกล่าว จำเลยก็ได้นำ อ.มาเบิกความเป็นพยานในคดีนี้แล้ว ส่วน ว. และบ.ให้นั้นจำเลยประสงค์จะนำสืบเพียงว่าเป็นผู้ที่ อ.แนะนำให้กู้เงินจาก ม.ด้วยหาได้รู้เห็นในการกู้ยืมเงินระหว่างจำเลยกับ ม.แต่อย่างใดไม่ ไม่สามารถยืนยันได้ว่า สัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 ที่โจทก์นำมาฟ้องคือสัญญากู้เงินที่จำเลยทำไว้กับ ม.ใช่หรือไม่ จึงไม่ได้เป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 95 (2) ศาลจึงมีอำนาจงดการสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้นเสียได้ตามมาตรา 86 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9087/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดินในเขตนิคมสหกรณ์ที่เป็นโมฆะเนื่องจากข้อห้ามโอน
ขณะโจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทจากจำเลยนั้น โจทก์ไม่ทราบว่ามีข้อกำหนดห้ามโอน นิติกรรมดังกล่าว จึงเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายย่อมตกเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องชำระหนี้ที่ค้างชำระและจำเลยต้อง คืนเงินที่โจทก์ชำระไว้โดยถือไม่ได้ว่าโจทก์กระทำตามอำเภอใจเหมือนหนึ่งว่าเพื่อชำระหนี้โดยรู้ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6636/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุป้องกันสิทธิผู้อื่นไม่สำเร็จเมื่อเกิดการต่อสู้ซึ่งหน้าและใช้กำลังเกินความจำเป็น
บ.เพื่อนของจำเลยเป็นผู้ก่อเหตุโดยใช้ขวดน้ำอัดลมตีทำร้ายร่างกายพวกของผู้ตายก่อนแล้ววิ่งหนีในทันทีทันใดนั้นผู้ตายกับพวกวิ่งไล่ตามแล้วผู้ตายแทงทำร้ายบ.และจำเลยได้แทงทำร้ายผู้ตายเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเกี่ยวพันกันเป็นการสมัครใจเข้าต่อสู้ทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันจำเลยจึงอ้างเหตุป้องกันบ.ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6636/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การต่อสู้ทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันและเหตุป้องกัน
บ.เพื่อนของจำเลยเป็นผู้ก่อเหตุโดยใช้ขวดน้ำอัดลมตีทำร้ายร่างกายพวกของผู้ตายก่อนแล้ววิ่งหนี ในทันทีทันใดนั้นผู้ตายกับพวกวิ่งไล่ตามแล้วผู้ตายแทงทำร้าย บ.และจำเลยได้แทงทำร้ายผู้ตายเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเกี่ยวพันกันเป็นการสมัครใจเข้าต่อสู้ทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน จำเลยจึงอ้างเหตุป้องกัน บ.ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5985/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากรถยนต์ การสันนิษฐานสินสมรส และค่าสินไหมทดแทนกรณีเสียชีวิต
จำเลยที่ 3 หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากับจำเลยที่ 2แล้ว แต่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 เบิกความรับว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้รถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุมาระหว่างสมรส ซึ่งแม้มีชื่อจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของในทะเบียนแต่ไม่ได้นำสืบว่าเป็นสินส่วนตัวหรือเป็นสินสมรสต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรสเมื่อจำเลยที่ 2เป็นผู้ติดต่อหาคนขับรถและดูแลกิจการโดยทั่วไป บางครั้งได้ให้จำเลยที่ 3 ช่วยดูแลบ้าง รายได้จากการรับจ้างก็แบ่งให้จำเลยที่ 3 เพื่อใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรหลังเกิดเหตุแล้วจำเลยที่ 2 ได้มอบหมายให้จำเลยที่ 3ไปเจรจาเรื่องค่าเสียหายกับฝ่ายโจทก์ แสดงว่าจำเลยที่ 2และที่ 3 ยังคงทำกิจการร่วมกันจำเลยที่ 3 จึงเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ด้วย จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 2 รับผิดในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์บรรทุกในทางการที่จ้างโดยประมาทเลินเล่อเฉี่ยวชน ส. ซึ่งเป็นบุตรของโจทก์ทั้งสองจนถึงแก่ความตายด้วย ค่าใช้จ่ายในงานศพ เช่น ค่าดอกไม้ ค่าบุหรี่ถวายพระถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 วรรคหนึ่งส่วนเงินที่มีผู้ช่วยทำศพผู้ตายมากน้อยเพียงใดก็นำมาบรรเทาความรับผิดของจำเลยไม่ได้ และเนื่องจากบุตรจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา การที่ผู้ตายตายลงทำให้บิดามารดาต้องขาดไร้อุปการะ จึงชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนโดยไม่จำต้องพิจารณาว่าปัจจุบันผู้ตายจะได้ อุปการะเลี้ยงดูอยู่หรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5983/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขยายระยะเวลาชำระค่าธรรมเนียมอุทธรณ์: พฤติการณ์พิเศษหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ
การประปาส่วนภูมิภาคโจทก์เป็นรัฐวิสาหกิจอันเป็นหน่วยงานของ รัฐบาล มีระเบียบในการเบิกจ่ายเงินไม่เหมือนหน่วยงานของเอกชน และเมื่อเบิกจ่ายแล้วต้องจัดส่งมายังสำนักงานอัยการสูงสุดซึ่งทำหน้าที่เป็นทนายความย่อมมีความล่าช้าอยู่บ้าง ถือได้ว่าเป็นพฤติการณ์พิเศษที่จะขยายระยะเวลาชำระเงินค่าธรรมเนียมในการยื่นอุทธรณ์ตามคำร้องของโจทก์ได้