คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
จารุณี ตันตยาคม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 192 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1550/2539 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงดอกเบี้ยบัตรเครดิต: ไม่เข้าข่ายดอกเบี้ยเกินกฎหมาย
เงินที่ธนาคารโจทก์ได้ผ่อนผันจ่ายไปก่อนตามสัญญาบัญชี-เดินสะพัดและคำขอสินเชื่อบัตรเครดิตที่จำเลยขอสินเชื่อบัตรเครดิตจากโจทก์เพื่อนำไปใช้ชำระค่าสินค้าและบริการ ตลอดจนเบิกเงินสดจากเครื่องบริการนั้นไม่ได้กำหนดเวลาที่แน่นอนว่าให้จำเลยจะต้องจ่ายคืนให้แก่โจทก์เมื่อใด เป็นแต่เพียงว่า จำเลยยอมผูกพันตนที่จะจ่ายคืนให้พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามภาวะเศรษฐกิจ สังคมและนโยบายการเงินของประเทศ เป็นการกำหนดดอกเบี้ยกันไว้ล่วงหน้า ถือว่าจำเลยตกลงให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวมาตั้งแต่ต้นแล้ว และไม่อยู่ในบังคับของ ป.พ.พ.มาตรา 654 ซึ่งห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปีเพราะมิใช่เป็นเรื่องกู้ยืมและโจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์เป็นสถาบันการเงิน ข้อตกลงดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย จำเลยต้องเสียดอกเบี้ยไปตามข้อตกลงนั้น จึงไม่มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 379

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1369/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำได้ตัวผู้กระทำผิดจากพยานผู้เสียหาย: การยืนยันรูปพรรณและของกลางที่ตรงกัน
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวันมองเห็นกันได้ชัดเจนจำเลยขับรถจักรยานยนต์ผ่านผู้เสียหายไปแล้วกลับรถมาพูดคุยกับผู้เสียหายเป็นเวลานานพอสมควรที่ผู้เสียหายจะสังเกตและจำจำเลยได้เมื่อไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจที่ป้อมตำรวจและแจ้งต่อพนักงานสอบสวนผู้เสียหายก็ยืนยันว่าจำคนร้ายได้และระบุรูปพรรณคนร้ายตลอดจนเสื้อผ้าที่คนร้ายสวมใส่โดยละเอียดก่อนจับจำเลยได้เจ้าพนักงานตำรวจนำภาพถ่ายนักโทษมาให้ผู้เสียหายดูผู้เสียหายว่าไม่ใช่คนร้ายต่อมาได้นำภาพถ่ายจำเลยในใบขับขี่รถจักรยานยนต์มาให้ดูผู้เสียหายจึงบอกว่าเป็นคนร้ายขณะตรวจค้นบ้านของจำเลยผู้เสียหายได้ชี้บอกถึงกระเป๋าสะพายผ้าร่มสีดำและเสื้อที่จำเลยสวมใส่วันเกิดเหตุตรงกับที่แจ้งความไว้แต่แรกให้เจ้าพนักงานตำรวจยึดเป็นของกลางเชื่อได้ว่าผู้เสียหายจำจำเลยได้จริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1069/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทุนทรัพย์ในคดีแพ่ง: การคำนวณจากราคาที่พิพาทและค่าเสียหาย เพื่อกำหนดอำนาจศาลและขอบเขตการอุทธรณ์ฎีกา
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลและให้จำเลยที่1โอนขายที่พิพาทให้โจทก์ที่1เนื้อที่ประมาณ71ตารางวา ในราคาตารางวาละ250บาทรวมเป็นเงิน17,750บาทตามสัญญาจะซื้อจะขายและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน10,000บาทโดยเสียค่าขึ้นศาลในส่วนของที่พิพาทในราคาตารางวาละ250บาทตามสัญญาจะซื้อจะขายศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลยังไม่ครบถ้วนโดยไม่ได้คำนวณราคาที่พิพาทจึงให้โจทก์ทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลให้ครบต่อมาได้มีการ คำนวณราคาที่พิพาทตารางวาละ1,000บาทรวมเป็นราคาที่พิพาท71,000บาทค่าเสียหายอีก10,000บาทรวมเป็น81,000บาทซึ่งถือเป็นทุนทรัพย์ในคดีนี้ดังนั้นจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องหรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทในคดี ขณะยื่นคำฟ้องจึงเกินกว่า50,000บาทไม่ใช่ถือเอาทุนทรัพย์หรือราคาตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยโดยเห็นว่าจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน50,000บาทต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคหนึ่งจึงไม่ชอบทั้งเป็นคดีที่ ต้องห้ามฎีกาใน ข้อเท็จจริง ศาลฎีกาย่อมย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวตามลำดับชั้นศาล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 917/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีไม่มีข้อยุ่งยาก, สัญญาเงินกู้, การบอกกล่าวหนี้, การชำระหนี้, มาตรา 203
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ว่าคดีที่โจทก์ฟ้องเป็นคดีไม่มีข้อยุ่งยากให้ดำเนินคดีอย่างคดีมโนสาเร่ เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งไว้ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา จำเลยจึงไม่อาจอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ได้ การเรียกให้ชำระหนี้เงินยืมซึ่งมิได้กำหนดเวลาอันจะพึงชำระหนี้ไว้ ต้องปรับด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 203 วรรคแรก มิใช่เป็นการเรียกให้คืนทรัพย์สินซึ่งยืมไปตามมาตรา 652 เมื่อสัญญากู้ยืมมิได้กำหนดวันชำระคืนโจทก์ผู้ให้กู้ย่อมจะเรียกให้จำเลยผู้กู้ชำระหนี้โดยพลันได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 672/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำหน่ายเฮโรอีน: พยานหลักฐานแน่นหนาจากตำรวจและคำรับสารภาพของผู้ต้องหา
พยานโจทก์ทุกปากเป็นเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติการตามหน้าที่ไม่ปรากฏว่าเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนจึงไม่มีเหตุระแวงว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลยพยานผู้ร่วมจับกุมต่างเบิกความสอดคล้องต้องกันในเรื่องธนบัตรของกลางที่ให้สายลับใช้ ล่อซื้อเฮโรอีนจากจำเลยมีการภ่ายภาพและลงหมายเลขไว้ในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีซึ่งเป็นเอกสารทางราชการก่อนที่จะมอบให้สายลับไปดำเนินการเมื่อสายลับล่อซื้อเฮโรอีนมาได้พยานผู้ร่วมจับกุมได้ตรงไปยังบ้านจำเลยทันทีทำการตรวจค้นและพบธนบัตรดังกล่าวที่ตัวจำเลยขั้นตอนต่างๆเป็นไปในระยะเวลาใกล้ชิดต่อเนื่องกันจำเลยเบิกความว่าธนบัตรของกลางได้จากกระเป๋ากางเกงของจำเลยที่สวมใส่อยู่ขณะถูกตรวจค้นจริงเป็นการเจือสมกับ พยานหลักฐานของโจทก์ประกอบกับจำเลยได้ให้การรับสารภาพทั้งในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนซึ่งเป็นระยะเวลาใกล้ชิดกับจำเลยถูกจับกุมคำรับของจำเลยจึงมีน้ำหนักในการรับฟังประกอบพยานหลักฐานของโจทก์ที่จำเลยอ้างว่าที่ให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเพราะถูกเจ้าพนักงานตำรวจทำร้ายมีแต่คำเบิกความลอยๆของจำเลยไม่มีน้ำหนักรับฟังได้น้ำหนักพยานหลักฐานของจำเลยไม่สามารถรับฟังหักล้างน้ำหนักพยานหลักฐานของโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 515/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวความผิดหลายกรรม: การมีกัญชาไว้ในครอบครองกับการจำหน่าย ถือเป็นกรรมเดียว โทษจำหน่ายหนักกว่า
จำเลยมีกัญชาจำนวน2ถุงน้ำหนัก1กิโลกรัมและน้ำหนัก100กรัมไว้ในครอบครองจำเลยได้จำหน่ายกัญชาจำนวน1ถุงน้ำหนัก1กิโลกรัมให้แก่ ว. และในวันเดียวกันก่อนหน้านั้นจำเลยได้จำหน่ายกัญชาจำนวน1ถุงน้ำหนัก100กรัมให้แก่ ส. มาแล้วการที่จำเลยมีกัญชาจำนวน2ถุงไว้ในครอบครอบในคราวเดียวกันแม้จำเลยจะได้จำหน่ายกัญชาน้ำหนัก100กรัมให้แก่ ส. ไปก่อนและยังคงมีกัญชาน้ำหนัก1กิโลกรัมเหลืออยู่ในครอบครองแต่จำเลยก็ได้จำหน่ายกัญชาจำนวนดังกล่าวนี้ให้แก่ ว. ไปแล้วทั้งหมดโดยไม่มีกัญชาเหลืออยู่ในครอบครองของจำเลยอีกต่อไปการกระทำของจำเลยฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองจึงเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานจำหน่ายกัญชาในแต่ละกรรมคดีคงลงโทษจำเลยได้ในฐานจำหน่ายกัญชาซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักรวม2กรรมเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 515/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวความผิดอาญา: ครอบครองและจำหน่ายกัญชา
จำเลยมีกัญชาจำนวน 2 ถุง น้ำหนัก 1 กิโลกรัม และน้ำหนัก100 กรัม ไว้ในครอบครอง จำเลยได้จำหน่ายกัญชาจำนวน 1 ถุง น้ำหนัก1 กิโลกรัม ให้แก่ ว. และในวันเดียวกันก่อนหน้านั้นจำเลยได้จำหน่ายกัญชาจำนวน1 ถุง น้ำหนัก 100 กรัม ให้แก่ ส. มาแล้ว การที่จำเลยมีกัญชาจำนวน 2 ถุงไว้ในครอบครองในคราวเดียวกัน แม้จำเลยจะได้จำหน่ายกัญชาน้ำหนัก 100 กรัมให้แก่ ส. ไปก่อน และยังคงมีกัญชาน้ำหนัก 1 กิโลกรัม เหลืออยู่ในครอบครองแต่จำเลยก็ได้จำหน่ายกัญชาจำนวนดังกล่าวนี้ให้แก่ ว. ไปแล้วทั้งหมด โดยไม่มีกัญชาเหลืออยู่ในครอบครองของจำเลยอีกต่อไป การกระทำของจำเลยฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองจึงเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานจำหน่ายกัญชาในแต่ละกรรมคดีคงลงโทษจำเลยได้ในฐานจำหน่ายกัญชาซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักรวม 2 กรรมเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 453/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของกลางเปลี่ยนแปลงหลังการขาย แม้ผู้ร้องเป็นเจ้าของเดิม
แม้ในขณะที่มีการใช้รถจักรยานยนต์ของกลางในการกระทำความผิด ผู้ร้องจะเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางก็ตาม แต่ในระหว่างพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น ผู้ร้องได้ขายรถจักรยานยนต์ของกลางให้บุคคลภายนอกไปบุคคลภายนอกจึงเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางนับแต่ที่ผู้ร้องได้ขายให้เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง รถจักรยานยนต์ของกลางย่อมตกเป็นของแผ่นดิน บุคคลภายนอกผู้ซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางก็ไม่มีกรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์คันนั้นอีกต่อไป แม้ผู้ร้องจะซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางคืนมาและเปลี่ยนหมายเลขทะเบียนใหม่ ผู้ร้องก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์ของกลาง และไม่มีสิทธิร้องขอรถจักรยานยนต์ของกลางคืนตาม ป.อ. มาตรา 36

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 453/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์รถจักรยานยนต์ที่ถูกริบจากการกระทำความผิด ผู้ซื้อคืนไม่มีสิทธิเรียกร้อง
แม้ในขณะที่มีการใช้รถจักรยานยนต์ของกลางในการกระทำความผิดผู้ร้องจะเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางก็ตามแต่ในระหว่างพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นผู้ร้องได้ขายรถจักรยานยนต์ของกลางให้บุคคลภายนอกบุคคลภายนอกจึงเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางนับแต่ที่ผู้ร้องได้ขายให้เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลางรถจักรยานยนต์ของกลางย่อมตกเป็นของแผ่นดินบุคคลภายนอกผู้ซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางก็ไม่มีกรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์คันนั้นอีกต่อไปแม้ผู้ร้องจะซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางคืนมาและเปลี่ยนหมายเลขทะเบียนใหม่ผู้ร้องก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์ของกลางและไม่มีสิทธิร้องขอรถจักรยานยนต์ของกลางคืนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา36

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 453/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์รถจากการขายระหว่างการพิจารณาคดี ทำให้ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอคืนรถที่ศาลสั่งริบ
ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์อยู่ในขณะที่มีการใช้รถจักรยานยนต์กระทำความผิด แต่ระหว่างพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นผู้ร้องได้ขายรถจักรยานยนต์ให้บุคคลภายนอกไป บุคคลภายนอกนั้นจึงเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์นับแต่ที่ผู้ร้องได้ขายให้เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้ริบย่อมตกเป็นของแผ่นดิน บุคคลภายนอกผู้ซื้อไว้ไม่มีกรรมสิทธิ์อีกต่อไป แม้ผู้ร้องจะซื้อรถจักรยานยนต์คืนมา ผู้ร้องก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์และไม่มีสิทธิร้องขอคืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36
of 20