คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 177 วรรคสอง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 487 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3821/2538 เวอร์ชัน 5 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์, หนังสือมอบอำนาจ, ความสมบูรณ์ของเอกสาร, และการปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ไม่ชัดแจ้ง
การมอบอำนาจให้ ก.ฟ้องคดีของโจทก์นั้น เมื่อโจทก์แต่ฝ่ายเดียวได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้มอบอำนาจให้กระทำกิจการติดตามทวงถามหนี้สินตลอดจนดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสามแทนโจทก์แล้ว แม้ ก.ไม่ได้ลงชื่อเป็นผู้รับ-มอบอำนาจด้วย เพียงแต่มาเบิกความยืนยันว่าได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ตามหนังสือมอบอำนาจก็ตามหนังสือมอบอำนาจย่อมสมบูรณ์และมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย ก.จึงมีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์
ปัญหาว่าหนังสือมอบอำนาจของโจทก์มิได้ปิดอากรแสตมป์จึงไม่สมบูรณ์ ก.ไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์นั้น เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยทั้งสามมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ จำเลยทั้งสามก็ยกขึ้นฎีกาได้
หนังสือมอบอำนาจทำขึ้นในต่างประเทศ มีการรับรองโดยโนตารี ปับลิก และหัวหน้าฝ่ายกงสุล-เมืองจากาตาร์ ประเทศอินโดนีเซียรับรองอีกชั้นหนึ่งว่า ได้มีการจัดทำเอกสารขึ้นอย่างแท้จริง หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวถือว่าถูกต้องตามกฎหมายประเทศดังกล่าวแล้ว ไม่อยู่ในบังคับที่ต้องปิดอากรแสตมป์ตาม ป.รัษฎากร จึงเป็นหนังสือมอบอำนาจที่ชอบด้วยกฎหมาย ก.มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลโดยจดทะเบียนในประเทศอินโดนีเซีย มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการด้านประมง จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้คดีว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียนในประเทศอินโดนีเซียและมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการขอออกใบอนุญาตในการทำการประมงภายในขอบข่ายงานการดำเนินการของบริษัทโจทก์กับเรือประมงต่างด้าว เพื่อการประมงในเขตน่านน้ำของประเทศอินโดนีเซีย (อีซีแซด) ตามกฎหมายหรือไม่ จำเลยทั้งสามไม่ทราบและไม่ยอมรับว่าโจทก์สามารถที่จะทำได้ คำให้การของจำเลยทั้งสามดังกล่าวจึงเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้ง เพราะมิได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธไว้ ตามป.วิ.พ.มาตรา 177 วรรคสอง ไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาท ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังตามที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย โดยโจทก์ไม่ต้องนำสืบถึงหนังสือรับรองการเป็นนิติบุคคลของโจทก์อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3821/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือมอบอำนาจฟ้องคดี, อำนาจฟ้อง, นิติบุคคลต่างประเทศ, อากรแสตมป์, คำให้การไม่ชัดแจ้ง
การมอบอำนาจให้ก.ฟ้องคดีของโจทก์นั้นเมื่อโจทก์แต่ฝ่ายเดียวได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้มอบอำนาจให้กระทำกิจการติดตามทวงถามหนี้สินตลอดจนดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสามแทนโจทก์แล้วแม้ก.ไม่ได้ลงชื่อเป็นผู้รับมอบอำนาจด้วยเพียงแต่มาเบิกความยืนยันว่าได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ตามหนังสือมอบอำนาจก็ตามหนังสือมอบอำนาจย่อมสมบูรณ์และมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมายก.จึงมีอำนาจฟ้องคดีของโจทก์ ปัญหาว่าหนังสือมอบอำนาจของโจทก์มิได้ปิดอากรแสตมป์จึงไม่สมบูรณ์ก.ไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์นั้นเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยทั้งสามมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การจำเลยทั้งสามก็ยกขึ้นฎีกาได้ หนังสือมอบอำนาจที่ทำขึ้นในต่างประเทศมีการรับรองโดยโนตารีปับลิก และหัวหน้าฝ่ายกงศุล-เมืองจากาตาร์ประเทศอินโดนีเซียรับรองอีกชั้นหนึ่งว่าได้มีการจัดทำเอกสารขึ้นอย่างแท้จริงหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวถือว่าถูกต้องตามกฎหมายประเภทดังกล่าวแล้วไม่อยู่ในบังคับที่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรจึงเป็นหนังสือมอบอำนาจที่ชอบด้วยกฎหมายก.มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลโดยจดทะเบียนในประเทศอินโดนีเซีย มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการด้านประมงจำเลยทั้งสามให้การต่อสู้คดีว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดจดทะเบียนในประเทศอินโดนีเซียและมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการขอออกใบอนุญาตในการทำการประมงภายในขอบข่ายงานการดำเนินการของบริษัทโจทก์กับเรือประมงต่างด้าวเพื่อการประมงในเขตน่านน้ำของประเทศอินโดนีเซีย(อีซีแซด) ตามกฎหมายหรือไม่จำเลยทั้งสามไม่ทราบและไม่ยอมรับว่าโจทก์สามารถที่จะทำได้คำให้การของจำเลยทั้งสามดังกล่าวจึงเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งเพราะมิได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสองไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทข้อเท็จจริงจึงต้องฟังตามที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายโดยโจทก์ไม่ต้องนำสืบถึงหนังสือรับรองการเป็นนิติบุคคลของโจทก์อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3387/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยนอกประเด็นฟ้องร้อง และสิทธิครอบครองที่ดิน: ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ขับไล่จำเลย
โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ขอให้ขับไล่จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยซื้อมาจากนาง ม. และโจทก์ฟ้องคดีเกิน1ปีนับแต่ถูกรบกวนการครอบครองคดีก็ไม่มีประเด็นเรื่องแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1375เนื่องจากจำเลยให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยมาแต่แรกและการแย่งการครอบครองนั้นต้องยอมรับก่อนว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์แต่จำเลยแย่งการครอบครองมาการที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการนอกประเด็นต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142วรรคหนึ่งประกอบมาตรา246เป็นการไม่ชอบและปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)ประกอบมาตรา246,247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3213/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อสู้คดีเช็คโดยอ้างว่ามีมูลหนี้จากการพนันและมีการฉ้อฉล ทำให้ต้องมีการสืบพยานเพิ่มเติม
ศาลชั้นต้นพิเคราะห์จากคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยแล้วยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นวินิจฉัยให้โจทก์ชนะคดีคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 24,227 โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายให้รับผิดใช้เงินตามเช็คที่จำเลยนำมาแลกเงินสดไปจากโจทก์ จำเลยให้การว่าจำเลยไม่เคยออกเช็คให้โจทก์ จำเลยสั่งจ่ายเช็คให้แก่ส.เพื่อชำระหนี้การพนันโดยส.สมคบกับถ.น้องของโจทก์ฉ้อฉลการเล่นการพนันกับจำเลย และส.กับถ.สมคบกับโจทก์นำเช็คทั้งสามฉบับมาฟ้องจำเลยในคดีนี้โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะนำเอาเช็คทั้งสามฉบับอันเกิดจากการพนันมาฟ้องจำเลยได้ เพราะเป็นการออกเช็คที่มิได้เกิดจากหนี้ที่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นคำให้การที่แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ รวมทั้งเหตุแห่งการนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองแล้ว และเป็นคำให้การที่แสดงให้เห็นว่า โจทก์นำเช็คมาฟ้องจำเลยโดยคบคิดกันฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 916 คดีจึงมีประเด็นที่จะต้องนำสืบพยานกันต่อไป ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานมานั้นจึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3213/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คที่ออกจากการพนัน & การฟ้องร้องโดยเจตนาฉ้อฉล: ศาลต้องสืบพยานเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องคำให้การแล้วยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นวินิจฉัยให้โจทก์ชนะคดีเป็นคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งไว้ก็มีสิทธิอุทธรณ์ได้ โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยซึ่งเป็น ผู้สั่งจ่ายรับผิดใช้เงินตามเช็คที่นำมาแลกเงินสดไปจากโจทก์จำเลยให้การว่าจำเลยไม่เคยออกเช็คให้โจทก์จำเลยสั่งจ่ายเช็คให้แก่ ส. เพื่อ ชำระหนี้ การพนัน โดย ส. สมคบกับน้องโจทก์ฉ้อฉลเล่นการพนันกับจำเลยและ ส. กับน้องโจทก์สมคบกับโจทก์นำเช็คมาฟ้องจำเลยเป็น คำให้การที่แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์รวมทั้งเหตุแห่งการนั้นและแสดงให้เห็นว่าโจทก์นำเช็คมาฟ้องจำเลยโดยคบคิดกันฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา916คดีจึงมีประเด็นที่ต้องนำสืบพยานการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ตามฟ้องจึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3082/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกข้อต่อสู้ในคดีแพ่ง จำเลยต้องยกประเด็นในคำให้การปัจจุบัน ไม่ใช่จากคำให้การในคดีก่อน
แม้ในคดีก่อนจำเลยจะเคยให้การต่อสู้คดีว่าจำเลยมิใช่ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามฟ้องและจำเลยไม่ได้ก่อสร้างอาคารพิพาทหรือทำละเมิดต่อโจทก์ซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาเช่นเดียวกับคดีนี้และจำเลยระบุในให้การคดีนี้ว่าขอถือเอาสำเนาคำให้การดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของคำให้การแก้คดีนี้ด้วยก็ตามแต่สำเนาคำให้การดังกล่าวเป็นคำให้การต่อสู้ในคดีอื่นไม่ใช่ข้อต่อสู้คดีนี้ถือได้ว่าคำให้การของจำเลยคดีนี้ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งในประเด็นที่ยกขึ้นต่อสู้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสองจึงไม่มีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3082/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อสู้คดีแบบไม่ชัดเจน: การอ้างคำให้การเดิมในคดีใหม่ไม่ถือเป็นข้อต่อสู้
แม้ในคดีก่อนจำเลยจะเคยให้การต่อสู้คดีว่าจำเลยมิใช่ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามฟ้องและจำเลยไม่ได้ก่อสร้างอาคารพิพาทหรือทำละเมิดต่อโจทก์ซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาเช่นเดียวกับคดีนี้ และจำเลยระบุในให้การคดีนี้ว่าขอถือเอาสำเนาคำให้การดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของคำให้การแก้คดีนี้ด้วยก็ตาม แต่สำเนาคำให้การดังกล่าวเป็นคำให้การต่อสู้ในคดีอื่นไม่ใช่ข้อต่อสู้คดีนี้ ถือได้ว่าคำให้การของจำเลยคดีนี้ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งในประเด็นที่ยกขึ้นต่อสู้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177วรรคสอง จึงไม่มีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3082/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกประเด็นต่อสู้ในคดีก่อน ไม่ถือเป็นข้อต่อสู้ในคดีใหม่ หากไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้ง
แม้จำเลยได้ยกประเด็นขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การในคดีก่อนซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาเช่นเดียวกับคดีนี้ว่าจำเลยมิใช่เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามฟ้องและจำเลยไม่ได้ก่อสร้างอาคารพิพาทหรือทำละเมิดต่อโจทก์และได้ระบุในคำให้การคดีนี้ว่าขอให้ถือเอาสำเนาคำให้การในคดีก่อนเป็นส่วนหนึ่งของคำให้การแก้คดีนี้ด้วยแต่จำเลยก็ไม่ได้ยกประเด็นดังกล่าวเป็นข้อต่อสู้คดีนี้ถือว่าคำให้การของจำเลยไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งในประเด็นที่ยกขึ้นต่อสู้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสองจึงไม่มีประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2886/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลียนแบบเครื่องหมายการค้าจนทำให้เกิดความสับสน และสิทธิของผู้ใช้เครื่องหมายการค้าก่อน
ฉลากกล่องบรรจุสินค้าของโจทก์และจำเลยต่างใช้เครื่องหมายการค้าอักษรโรมันและอักษรไทยลักษณะประดิษฐ์อย่างเดียวกัน เครื่องหมายการค้าตามคำขอจดทะเบียนของโจทก์ใช้คำว่า Madame de Mai มาดาม ดีใหม่ เครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของจำเลยใช้คำว่า Due tai Madame ดิวไท มาดามลวดลายการประดิษฐ์อักษรทั้งอักษรโรมันและอักษรไทยในฉลากทั้งสองต่างเป็นตัวเขียนรูปลักษณะและลีลาการเขียนอย่างเดียวกัน ขนาดตัวอักษรใกล้เคียงกัน การวางตัวอักษรในฉลากก็วางไว้ในตำแหน่งเดียวกันของกล่อง สีของตัวอักษรและส่วนประกอบอื่นก็มีสีคล้ายคลึงกัน ต่างกันเพียงระนาบเอียง โดยของโจทก์ระนาบเอียงขึ้นไปทางขวา ของจำเลยระนาบเอียงลงมาทางขวา ลักษณะฉลากเครื่องหมาย-การค้าของโจทก์และของจำเลยดังกล่าวรวมทั้งเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนคำว่าคลาสสิค มาดาม CLASSIC MADAME ของจำเลยต่างมุ่งเน้นถึงความสำคัญของอักษรโรมันคำว่า Madame และอักษรไทยคำว่า มาดาม เช่นเดียวกัน มีสำเนียงเรียกขานชื่อสินค้าน้ำยาย้อมผมว่า มาดาม อย่างเดียวกัน ของโจทก์ระบุว่าผลิตโดยกรุงเทพเคมีของจำเลยระบุว่า ผลิตโดยกรุงธนเคมี ใช้กับสินค้าจำพวกที่ 48 น้ำยาย้อมผมเช่นเดียวกัน อาจทำให้ผู้ซื้อสินค้าสับสนหลงผิดได้ว่าสินค้าของโจทก์และของจำเลยเป็นสินค้าอย่างเดียวกัน ฉลากเครื่องหมายการค้าอักษรโรมันและอักษรไทยในลักษณะลวดลายประดิษฐ์คำว่า Madame de Mai และมาดาม ดีใหม่ ของโจทก์จึงคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ได้จดทะเบียนไว้
สามีจำเลยเคยเป็นลูกจ้างโจทก์และออกจากงาน แล้วมาทำกิจการค้าน้ำยาย้อมผมซึ่งเป็นสินค้าจำพวกเดียวกับสินค้าโจทก์ โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เคยใช้เครื่องหมายการค้าที่จำเลยจดทะเบียนกับสินค้าดังกล่าวมาก่อนจำเลยเพิ่งมายื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยซึ่งคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ในขณะที่สามีจำเลยยังเป็นลูกจ้างโจทก์อยู่ โจทก์จึงเป็นผู้ใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวมาก่อนจำเลย การที่เครื่องหมายการค้าจำเลยคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์จนถึงนับได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชนให้สับสนหลงผิด ดังนี้ เป็นการที่จำเลยเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์โจทก์ย่อมมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดังกล่าวดีกว่าจำเลยและมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่จำเลยได้รับการจดทะเบียนไว้ได้
ในข้อที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์เคยยื่นคำคัดค้านคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยมาแล้ว แต่นายทะเบียนมีคำวินิจฉัยยกคำคัดค้านของโจทก์ โจทก์ไม่อุทธรณ์และมิได้ฟ้องคดีต่อศาล จึงหมดสิทธิที่จะฟ้องเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าของจำเลยนั้น เป็นฎีกาข้อที่จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงไม่มีประเด็นและเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แม้จะเป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องอันเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่ศาลฎีกาไม่เห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2749/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินโดยมีเจตนาลวงและผลกระทบต่อบุคคลภายนอกที่ไม่สุจริต
โจทก์มิได้มีเจตนาจะโอนขายที่ดินพิพาทให้ส.แต่ได้ทำพินัยกรรมขายเพียงเพื่อให้ส. นำไปเป็นหลักทรัพย์ประกันเงินกู้ของธนาคารเท่านั้นนิติกรรมขายระหว่างโจทก์และส.จึงเป็นการแสดงเจตนาลวงจำเลยที่1ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของส. ทราบถึงการแสดงเจตนาลวงระหว่างโจทก์กับส. การที่จำเลยที่2ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่1โดยจำเลยที่2ทราบว่าโจทก์ไม่ได้โอนขายที่ดินพิพาทให้ส. และยอมให้โจทก์ไถ่ถอนจำเลยที่2จึงไม่ใช่บุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตโจทก์อ้างโมฆะกรรมต่อสู้จำเลยที่2ได้ ท. ได้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ตลอดมาเพิ่งมาบอกโจทก์ว่าจะไม่ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์โดยครอบครองแทนจำเลยที่2ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1381เมื่อวันที่21กันยายน2533โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่15กรกฎาคม2534จึงเป็นการฟ้องภายใน1ปีนับแต่จำเลยที่2แย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1375
of 49