คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 177 วรรคสอง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 487 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2749/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินที่เจตนาลวงและผลกระทบต่อบุคคลภายนอกที่ไม่สุจริต รวมถึงอายุความการฟ้องแย่งการครอบครอง
โจทก์มิได้มีเจตนาจะโอนขายที่ดินพิพาทให้ ส.แต่ได้ทำพินัยกรรมขายเพียงเพื่อให้ ส. นำไปเป็นหลักทรัพย์ประกันเงินกู้ของธนาคารเท่านั้น นิติกรรมขายระหว่างโจทก์และ ส.จึงเป็นการแสดงเจตนาลวง จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของส.ทราบถึงการแสดงเจตนาลวงระหว่างโจทก์กับส. การที่จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2ทราบว่าโจทก์ไม่ได้โอนขายที่ดินพิพาทให้ ส. และยอมให้โจทก์ไถ่ถอน จำเลยที่ 2 จึงไม่ใช่บุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตโจทก์อ้างโมฆะกรรมต่อสู้จำเลยที่ 2 ได้ ท. ได้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ตลอดมา เพิ่งมาบอกโจทก์ว่าจะไม่ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์โดยครอบครองแทนจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2533 โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 15 กรกฎาคม2534 จึงเป็นการฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่จำเลยที่ 2 แย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2749/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนขายที่ดินโดยมีเจตนาลวงและผลกระทบต่อบุคคลภายนอกที่สุจริต การฟ้องเพิกถอนภายในอายุความ
โจทก์มิได้มีเจตนาจะโอนขายที่ดินพิพาทให้ส. แต่ได้ทำนิติกรรมขายเพียงเพื่อให้ส. นำไปเป็นหลักทรัพย์ประกันเงินกู้ของธนาคารเท่านั้นนิติกรรมขายระหว่างโจทก์และส. จึงเป็นการแสดงเจตนาลวงจำเลยที่1ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของส. ทราบถึงการแสดงเจตนาลวงระหว่างโจทก์กับส. การที่จำเลยที่2ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่1โดยจำเลยที่2ทราบว่าโจทก์ไม่ได้โอนขายที่ดินพิพาทให้ส. และยอมให้โจทก์ไถ่ถอนจำเลยที่2จึงไม่ใช่บุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตโจทก์อ้างโมฆะกรรมต่อสู้จำเลยที่2ได้ ท. ได้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ตลอดมาเพิ่งมาบอกโจทก์ว่าจะไม่ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์โดยครอบครองแทนจำเลยที่2ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1381เมื่อวันที่21กันยายน2533โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่15กรกฎาคม2534จึงเป็นการฟ้องภายใน1ปีนับแต่จำเลยที่2แย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1375

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2621/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างฐานทุจริตต่อหน้าที่จากการรับงานนอกและเบียดบังทรัพย์สินของนายจ้าง
จำเลยได้ให้การด้วยวาจาต่อสู้คดีว่าโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย รับงานนอกมาทำในระหว่างการทำงานโดยใช้อุปกรณ์ของจำเลย แม้จะมิได้ระบุว่าฝ่าฝืนในข้อใด แต่จำเลยก็ได้บรรยายการกระทำของโจทก์ชัดเจนอยู่ในตัวพอที่จะปรับกับระเบียบข้อบังคับของจำเลยได้ว่า การกระทำของโจทก์เป็นการทุจริตต่อหน้าที่หรือไม่
โจทก์ทำงานออกแบบเสื้อให้จำเลย โดยหน้าที่โจทก์ย่อมต้องปฏิบัติงานให้จำเลยในระหว่างทำงานให้ลุล่วงไปตามสมควรเพื่อหวังให้เกิดผลคุ้มค่ากับค่าจ้างที่จำเลยจ่ายให้เป็นการตอบแทน การที่โจทก์รับงานนอกเข้ามาทำในระหว่างทำงานโดยใช้อุปกรณ์ของจำเลยอันได้แก่ พู่กัน สี และกระดาษเป็นการเบียดบังทั้งเวลาและทรัพย์สินของจำเลยโดยมิชอบต่อหน้าที่เพื่อแสวงหาประโยชน์สำหรับตนเอง จำเลยย่อมได้รับความเสียหาย การกระทำของโจทก์ถือได้ว่าเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2515/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาขายลดเช็คมีผลผูกพัน แม้เช็คไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ ผู้ขายเช็คต้องรับผิดตามสัญญา
จำเลยทั้งสองให้การว่า จ. ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาขายลดเช็คในฐานะผู้ให้สัญญาแต่ฝ่ายเดียวจึงเป็นคำเสนอของ จ. ยังไม่เกิดเป็นสัญญาที่บังคับได้ดังนี้คำให้การจำเลยทั้งสองดังกล่าวเท่ากับจำเลยทั้งสองให้การยอมรับว่า จ. ได้ลงลายมือชื่อทำสัญญาขายลดเช็คกับโจทก์แล้วฎีกาจำเลยทั้งสองที่ว่าตามปกติ จ. จะลงลายมือชื่อในเอกสารเป็นลายเซ็นไม่ใช่ลายมือเขียนลายมือชื่อในช่องผู้ให้สัญญาในสัญญาขายลดเช็คจะเป็นลายเซ็นของ จ. หรือไม่ไม่ทราบจึงฟังไม่ขึ้น สัญญาขายลดเช็คไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือหรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือเมื่อผู้ทำสัญญาได้ลงลายมือชื่อในสัญญาแล้วแม้จะมีพยานหรือไม่มีพยานลงลายมือชื่อในสัญญาสัญญาก็มีผลบังคับได้หากจะมีการเพิ่มเติมชื่อพยานลงในสัญญาภายหลังโดยไม่ได้แก้ไขข้อความก็ไม่ทำให้สัญญาเสียไป แม้ตามสัญญาขายลดเช็คจะมีข้อความว่า จ. นำเช็คมาขายเพื่อแลกเงินสดจากโจทก์แต่ จ. ก็ได้ทำสัญญากับโจทก์ไว้ว่าหากธนาคารไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คได้ จ. ก็ยินยอมชำระเงินให้ทันทีที่ได้รับแจ้งจากธนาคารอันเป็นข้อสัญญาต่างหากว่าแม้เช็คจะเรียกเก็บเงินไม่ได้ผู้ขายเช็คก็ยินยอมใช้เงินตามเช็คให้โจทก์ทันทีดังนั้นแม้เช็คจะเรียกเก็บเงินไม่ได้เพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินและกำหนดอายุความฟ้องเรียกเงินตามเช็คได้สิ้นไปแล้วโจทก์ก็ยังมีสิทธิฟ้องเรียกให้ จ. ใช้เงินตามเช็คให้โจทก์ได้ตามสัญญากฎหมายไม่ได้กำหนดอายุความในการฟ้องเรียกเงินตามสัญญาขายลดเช็คไว้จึงต้องถือว่ามีอายุความ10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา164เดิมจำเลยผู้จัดการมรดกของ จ. จึงไม่อาจอ้างอายุความ1ปีตามมาตรา1002ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ จ. ได้ทำสัญญาขายลดเช็คแก่โจทก์2ฉบับเมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จ. จึงต้องรับผิดใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์เมื่อ จ. ถึงแก่กรรมจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ จ. จึงต้องรับผิดใช้เงินแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2515/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาขายลดเช็คมีผลผูกพัน แม้เช็คไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ ผู้จัดการมรดกต้องรับผิดตามสัญญา
จำเลยทั้งสองให้การว่า จ. ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาขายลดเช็คในฐานะผู้ให้สัญญาแต่ฝ่ายเดียวจึงเป็นคำเสนอของ จ. ยังไม่เกิดเป็นสัญญาที่บังคับได้ดังนี้คำให้การจำเลยทั้งสองดังกล่าวเท่ากับจำเลยทั้งสองให้การยอมรับว่า จ. ได้ลงลายมือชื่อทำสัญญาขายลดเช็คกับโจทก์แล้วฎีกาจำเลยทั้งสองที่ว่าตามปกติ จ. จะลงลายมือชื่อในเอกสารเป็นลายเซ็นไม่ใช่ลายมือเขียนลายมือชื่อในช่องผู้ให้สัญญาในสัญญาขายลดเช็คจะเป็นลายเซ็นของ จ. หรือไม่ไม่ทราบจึงฟังไม่ขึ้น สัญญาขายลดเช็คไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือหรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือเมื่อผู้ทำสัญญาได้ลงลายมือชื่อในสัญญาแล้วแม้จะมีพยานหรือไม่มีพยานลงลายมือชื่อในสัญญาสัญญาก็มีผลบังคับได้หากจะมีการเพิ่มเติมชื่อพยานลงในสัญญาภายหลังโดยไม่ได้แก้ไขข้อความก็ไม่ทำให้สัญญาเสียไป แม้ตามสัญญาขายลดเช็คจะมีข้อความว่า จ. นำเช็คมาขายเพื่อแลกเงินสดจากโจทก์แต่ จ. ก็ได้ทำสัญญากับโจทก์ไว้ว่าหากธนาคารไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คได้ จ. ก็ยินยอมชำระเงินให้ทันทีที่ได้รับแจ้งจากธนาคารอันเป็นข้อสัญญาต่างหากว่าแม้เช็คจะเรียกเก็บเงินไม่ได้ผู้ขายเช็คก็ยินยอมใช้เงินตามเช็คให้โจทก์ทันทีดังนั้นแม้เช็คจะเรียกเก็บเงินไม่ได้เพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินและกำหนดอายุความฟ้องเรียกเงินตามเช็คได้สิ้นไปแล้วโจทก์ก็ยังมีสิทธิฟ้องเรียกให้ จ. ใช้เงินตามเช็คให้โจทก์ได้ตามสัญญากฎหมายไม่ได้กำหนดอายุความในการฟ้องเรียกเงินตามสัญญาขายลดเช็คไว้จึงต้องถือว่ามีอายุความ10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา164เดิมจำเลยผู้จัดการมรดกของ จ. จึงไม่อาจอ้างอายุความ1ปีตามมาตรา1002ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ จ. ได้ทำสัญญาขายลดเช็คแก่โจทก์2ฉบับเมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จ. จึงต้องรับผิดใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์เมื่อ จ. ถึงแก่กรรมจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ จ. จึงต้องรับผิดใช้เงินแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2515/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาขายลดเช็คบังคับได้แม้ไม่มีพยานเพิ่มเติม อายุความ 10 ปีใช้บังคับ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จ. ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาขายลดเช็คในฐานะผู้ให้สัญญาแต่ฝ่ายเดียว จึงเป็นคำเสนอของ จ. ยังไม่เกิดเป็นสัญญาที่บังคับได้ ดังนี้ คำให้การจำเลยทั้งสองดังกล่าวเท่ากับจำเลยทั้งสองให้การยอมรับว่า จ. ได้ลงลายมือชื่อทำสัญญาขายลดเช็คกับโจทก์แล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสองที่ว่า ตามปกติ จ. จะลงลายมือชื่อในเอกสารเป็นลายเซ็น ไม่ใช่ลายมือเขียน ลายมือชื่อในช่องผู้ให้สัญญาในสัญญาขายลดเช็คจะเป็นลายเซ็นของ จ. หรือไม่ ไม่ทราบ จึงฟังไม่ขึ้น สัญญาขายลดเช็คไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือหรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ เมื่อผู้ทำสัญญาได้ลงลายมือชื่อในสัญญาแล้วแม้จะมีพยานหรือไม่มีพยานลงลายมือชื่อในสัญญา สัญญาก็มีผลบังคับได้หากจะมีการเพิ่มเติมชื่อพยานลงในสัญญาภายหลังโดยไม่ได้แก้ไขข้อความก็ไม่ทำให้สัญญาเสียไป แม้ตามสัญญาขายลดเช็คจะมีข้อความว่า จ. นำเช็คมาขายเพื่อแลกเงินสดจากโจทก์ แต่ จ. ก็ได้ทำสัญญากับโจทก์ไว้ว่า หากธนาคารไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คได้ จ. ก็ยินยอมชำระเงินให้ทันทีที่ได้รับแจ้งจากธนาคาร อันเป็นข้อสัญญาต่างหากว่า แม้เช็คจะเรียกเก็บเงินไม่ได้ ผู้ขายเช็คก็ยินยอมใช้เงินตามเช็คให้โจทก์ทันที ดังนั้น แม้เช็คจะเรียกเก็บเงินไม่ได้เพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน และกำหนดอายุความฟ้องเรียกเงินตามเช็คได้สิ้นไปแล้วโจทก์ก็ยังมีสิทธิฟ้องเรียกให้ จ. ใช้เงินตามเช็คให้โจทก์ได้ตามสัญญา กฎหมายไม่ได้กำหนดอายุความในการฟ้องเรียกเงินตามสัญญาขายลดเช็คไว้ จึงต้องถือว่ามีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม จำเลยผู้จัดการมรดกของ จ. จึงไม่อาจอ้างอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 1002 ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ จ. ได้ทำสัญญาขายลดเช็คแก่โจทก์ 2 ฉบับ เมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จ. จึงต้องรับผิดใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ เมื่อ จ. ถึงแก่กรรม จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ จ. จึงต้องรับผิดใช้เงินแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2167/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประกันภัยมีผลบังคับใช้เมื่อผู้ทำสัญญามีส่วนได้เสียในทรัพย์สินที่เอาประกันภัย
จำเลยให้การว่าขณะที่ อ. ขอเอาประกันภัยและขณะที่จำเลยได้ออกกรมธรรม์ประกันภัย อ.มิได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์ที่นำมาประกันภัยแต่มิได้กล่าวว่า อ. มิใช่เป็นผู้มีส่วนได้เสียอย่างไรเท่ากับไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสองจึงไม่มีสิทธินำสืบตามคำให้การ อ. เป็นผู้วางเงินมัดจำและครอบครองรถยนต์พิพาทในฐานะผู้ซื้อจากบุคคลภายนอกจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียนับตั้งแต่วางมัดจำและเข้าครอบครองรถยนต์พิพาทสัญญาประกันภัยย่อมมีผลใช้บังคับได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1840/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดพิจารณาคดีและการรับอำนาจผู้จัดการมรดก ศาลพิพากษาถูกต้องตามกระบวนการ
แม้ทนายจำเลยทั้งสองได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีไว้ก่อนสืบพยานก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีโดยสั่งในวันที่ทนายจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องนั้นเอง ซึ่งในตอนท้ายคำร้องมีข้อความระบุว่า ข้าพเจ้ารอฟังคำสั่งอยู่ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว ดังนี้ จึงถือว่าทนายจำเลยทั้งสองทราบคำสั่งศาลโดยชอบแล้ว การที่ทนายจำเลยทั้งสองไม่ทราบคำสั่งศาลดังกล่าวจึงเป็นความบกพร่องของทนายจำเลยทั้งสองเอง
การที่จำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณาไม่มาศาลย่อมทำให้เสียประโยชน์ คือ ไม่มีสิทธิถามค้านพยานโจทก์ที่สืบไปแล้วในวันที่จำเลยทั้งสองไม่มาศาล และหากว่าโจทก์สืบพยานหมดในวันนั้น จำเลยทั้งสองก็ไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบได้ในวันหลังอีก เพราะหมดเวลาที่จำเลยทั้งสองจะนำพยานเข้าสืบแล้ว ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณาแล้วทำการสืบพยานโจทก์ไปในวันนั้นจนเสร็จสิ้นและมีคำพิพากษาไปในวันเดียวกันจึงชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ส่งมอบโฉนดที่ดินมรดกแก่โจทก์ในฐานะที่โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย เพื่อโจทก์จะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการมรดก จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่า โจทก์ไม่ใช่ทายาท แต่ไม่ได้ปฏิเสธว่า โจทก์มิใช่ผู้จัดการมรดกของผู้ตาย จึงเท่ากับรับว่าโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายจริง ดังนั้น โจทก์จึงมีอำนาจเรียกให้จำเลยทั้งสองส่งมอบโฉนดที่ดินเพื่อจะจัดการแบ่งปันมรดกแก่ทายาทตามหน้าที่ของโจทก์ต่อไป เพราะในชั้นนี้มิได้พิพาทกันว่าทรัพย์มรดกสิ่งใดเป็นของทายาทคนใดหรือผู้ใดเป็นทายาทของเจ้ามรดกหรือไม่ศาลจึงชอบที่จะพิพากษาให้จำเลยทั้งสองส่งมอบโฉนดที่ดินตามฟ้องแก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1840/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดพิจารณาคดีและการส่งมอบโฉนดที่ดินมรดก ศาลพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
แม้ทนายจำเลยทั้งสองได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีไว้ก่อนสืบพยานก็ตามแต่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีโดยสั่งในวันที่ทนายจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องนั้นเองซึ่งในตอนท้ายคำร้องมีข้อความระบุว่าข้าพเจ้ารอฟังคำสั่งอยู่ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้วดังนี้จึงถือว่าทนายจำเลยทั้งสองทราบคำสั่งศาลโดยชอบแล้วการที่ทนายจำเลยทั้งสองไม่ทราบคำสั่งศาลดังกล่าวจึงเป็นความบกพร่องของทนายจำเลยทั้งสองเอง การที่จำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณาไม่มาศาลย่อมทำให้เสียประโยชน์คือไม่มีสิทธิถามค้านพยานโจทก์ที่สืบไปแล้วในวันที่จำเลยทั้งสองไม่มาศาลและหากว่าโจทก์สืบพยานหมดในวันนั้นจำเลยทั้งสองก็ไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบได้ในวันหลังอีกเพราะหมดเวลาที่จำเลยทั้งสองจะนำพยานเข้าสืบแล้วดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณาแล้วทำการสืบพยานโจทก์ไปในวันนั้นจนเสร็จสิ้นและมีคำพิพากษาไปในวันเดียวกันจึงชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ส่งมอบโฉนดที่ดินมรดกแก่โจทก์ในฐานะที่โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเพื่อโจทก์จะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการมรดกจำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่ใช่ทายาทแต่ไม่ได้ปฏิเสธว่าโจทก์มิใช่ผู้จัดการมรดกของผู้ตายจึงเท่ากับรับว่าโจทก์เป็นผู้จัดการเพื่อจะจัดการแบ่งปันมรดกแก่ทายาทตามหน้าที่ของโจทก์ต่อไปเพราะในชั้นนี้มิได้พิพาทกันว่าทรัพย์มรดกสิ่งใดเป็นของทายาทคนใดหรือผู้ใดเป็นทายาทของเจ้ามรดกหรือไม่ศาลจึงชอบที่จะพิพากษาให้จำเลยทั้งสองส่งมอบโฉนดที่ดินตามฟ้องแก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1645/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บังคับตามคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการต่างประเทศ: กฎหมายอนุญาโตตุลาการอังกฤษใช้บังคับ, คำชี้ขาดผูกพันจำเลย, ดอกเบี้ย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีหน้าที่จะต้องชำระค่าระวางเรือค่าเรือเสียเวลา ค่านายหน้า และค่าป่วยการต่าง ๆ ตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าเรือทั้งสิ้นเท่าไร จำเลยได้ชำระให้โจทก์แล้วเป็นเงินเท่าไร และยังคงต้องชำระแก่โจทก์เป็นค่าระวางและค่าเรือเสียเวลารวม 12,635.73 เหรียญสหรัฐแต่จำเลยไม่ยอมชำระให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเพียงพอที่จำเลยเข้าใจและต่อสู้คดีได้แล้ว ซึ่งจำเลยก็โต้แย้งเพียงว่าจำนวนค่าเช่าเรือและค่าเรือเสียเวลาไม่ตรงกับการคำนวณของจำเลยเท่านั้น แสดงว่าจำเลยเข้าใจคำฟ้องของโจทก์เป็นอย่างดี ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
สัญญาเช่าเรือได้ระบุรายละเอียดต่าง ๆ ของคู่สัญญาโดยได้ระบุสถานที่และวันทำสัญญาว่าเป็นกรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2522แม้จำเลยผู้เช่าเรือได้ลงชื่อในสัญญาดังกล่าวที่กรุงเทพมหานคร แต่ข้อสัญญาเพิ่มเติมได้ระบุข้อตกลงเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการในข้อ 38 ว่า หากมีข้อพิพาทเกิดขึ้นตามสัญญาเช่าเรือนี้ ให้ชำระสะสางโดยอนุญาโตตุลาการ ณกรุงลอนดอน ดังนี้ เมื่อโจทก์และจำเลยมิได้ตกลงกันให้แจ้งชัดเป็นอย่างอื่นว่าจะใช้กฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการของประเทศใดบังคับ แต่ข้อตกลงดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นถึงเจตนาของโจทก์และจำเลยได้ว่า อนุญาโตตุลาการที่คู่กรณีตั้งขึ้น และการดำเนินการเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการของประเทศอังกฤษ เพราะตามข้อตกลงดังกล่าวโจทก์และจำเลยแสดงความประสงค์อย่างชัดแจ้งว่าให้ระงับข้อพิพาทระหว่างกันโดยอนุญาโตตุลาการ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษและตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ.2481 มาตรา 13บัญญัติว่า "ปัญหาว่าจะพึงใช้กฎหมายใดบังคับสำหรับสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญหรือผลแห่งสัญญานั้น ให้วินิจฉัยตามเจตนาของคู่กรณี..." ซึ่งย่อมมีความหมายว่ากฎหมายที่จะนำมาใช้บังคับแก่สาระสำคัญของข้อสัญญาเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการนั้น เมื่อคู่สัญญาได้แสดงเจตนาไว้ว่าจะให้ใช้กฎหมายของประเทศใดบังคับ ก็ให้เป็นไปตามทื่คู่สัญญาแสดงเจตนาไว้นั้น ดังนั้น การระงับข้อพิพาทตามสัญญาเช่าเรือซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยโดยอนุญาโตตุลาการจึงต้องใช้กฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการของประเทศอังกฤษมาบังคับ แม้โจทก์หรือจำเลยมิได้เป็นนิติบุคคลตามสัญชาติอังกฤษก็ตาม
จำเลยได้ให้การถึงปัญหาตามที่จำเลยฎีกาไว้ชัดแจ้งและอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหานั้นแล้ว แต่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยให้ จึงเป็นการที่ศาลอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.ว่าด้วย
คำพิพากษาและคำสั่ง หากศาลฎีกาเห็นสมควรก็ชอบที่จะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวน
การวินิจฉัยว่าโจทก์กับจำเลยมีหนี้สินค้างชำระต่อกันเป็นเงินที่โจทก์ต้องให้รางวัลแก่จำเลย (despatch) หรือเป็นเงินค่าเรือเสียเวลา (demurrage) ที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์ตามสัญญาเช่าเรือหรือไม่ ก็ต้องวินิจฉัยจากข้อตกลงที่ระบุไว้ในสัญญาดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทตามสัญญาแล้ว แม้ว่าอนุญาโตตุลาการ ณกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ จะมิใช่รัฐที่คู่สัญญาสังกัดอยู่ แต่เมื่อเจตนาของโจทก์และจำเลยประสงค์จะระงับข้อพิพาทระหว่างกันโดยอนุญาโต-ตุลาการ ณ กรุงลอนดอน เจตนาดังกล่าวย่อมบังคับกันได้ อนุญาโตตุลาการณ กรุงลอนดอน จึงมีอำนาจชี้ขาดข้อพิพาทคดีนี้
เมื่อโจทก์และจำเลยเจตนาจะระงับข้อพิพาทตามสัญญาเช่าเรือโดยอนุญาโตตุลาการ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ย่อมถือได้ว่าโจทก์และจำเลยมีเจตนาโดยปริยายที่จะให้ใช้กฎหมายของประเทศอังกฤษบังคับใช้กับข้อพิพาทตามสัญญาดังกล่าวด้วย จำเลยจึงไม่อาจอ้างเอาบทบัญญัติมาตรา165 (6) เดิม แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งเป็นกฎหมายของประเทศไทยมาบังคับใช้โดยถือว่าอนุญาโตตุลาการ ณ กรุงลอนดอน ชี้ขาดสิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความแล้วหาได้ไม่
ปรากฏตามสัญญาเช่าเรือว่า หากมีข้อพิพาทเกิดขึ้นตามสัญญาเช่าเรือนี้ ให้ชำระสะสางโดยอนุญาโตตุลาการ ณ กรุงลอนดอน โดยให้เจ้าของเรือและผู้เช่าเรือตั้งอนุญาโตตุลาการฝ่ายละ 1 คน ซึ่งโจทก์ก็ได้ตั้งอนุญาโตตุลาการฝ่ายของโจทก์แล้ว แต่จำเลยมิได้ตั้งอนุญาโตตุลาการฝ่ายจำเลยเป็นการที่จำเลยมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อสัญญา การตั้งอนุญาโตตุลาการของโจทก์หาจำต้องกระทำด้วยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายไม่
แม้ว่าปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้อง ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาท แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ได้
อนุสัญญาว่าด้วยการยอมรับนับถือและการใช้บังคับคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการต่างประเทศ ฉบับนครนิวยอร์ค ลงวันที่ 10 มิถุนายน 2501 (ค.ศ.1958) ประเทศอังกฤษและประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย ส่วนประเทศ-สาธารณรัฐไลบีเรียไม่ได้เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาดังกล่าว แต่ข้อ 1 วรรคหนึ่งแห่งอนุสัญญานี้ที่กำหนดว่า "อนุสัญญานี้จะใช้แก่การยอมรับนับถือและการใช้บังคับคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่ได้ทำขึ้นในอาณาเขตของรัฐใดรัฐหนึ่งนอกจากรัฐที่ถูกแสวงการยอมรับนับถือและการใช้บังคับคำชี้ขาดเช่นว่านั้น และซึ่งเกิดจากข้อแตกต่างระหว่างบุคคล ไม่ว่าบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล อนุสัญญานี้จะใช้แก่คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการซึ่งในรัฐที่ถูกแสวงการยอมรับนับถือและการใช้บังคับนั้นไม่ถือว่าเป็นคำชี้ขาดภายในด้วย" นั้น ไม่ได้นำหลักสัญชาติหรือภูมิลำเนาของคู่กรณีมาเป็นเงื่อนไขในการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่ได้ทำขึ้นในประเทศอังกฤษอันเป็นอาณาเขตของรัฐอื่นที่มิใช่อาณาเขตของประเทศไทยอันเป็นรัฐที่มีการขอให้ยอมรับและบังคับตามคำชี้ขาดนั้นเช่นในคดีนี้ เมื่อโจทก์ซึ่งมีสัญชาติไลบีเรียพิพาทกับจำเลยซึ่งมีสัญชาติไทยและมอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด แม้โจทก์จะมีสัญชาติไลบีเรียซึ่งประเทศสาธารณรัฐไลบีเรียไม่ได้เป็นภาคีในอนุสัญญาดังกล่าวก็ตาม แต่โดยที่ประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วยและได้ประกาศเรื่องประเทศไทยเข้าเป็นภาคีแห่งอนุสัญญาดังกล่าว โดยให้อนุสัญญานี้เป็นอันใช้ระหว่างประเทศไทยกับบรรดาประเทศภาคีแห่งอนุสัญญานี้ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2503 ประเทศไทยจึงมีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามอนุสัญญาดังกล่าว ดังนั้น คำชี้ขาดของอนุญาโต-ตุลาการซึ่งทำขึ้น ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศภาคีในอนุสัญญาฉบับนี้ คู่กรณีจึงอาจขอให้บังคับในศาลไทยได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้
โจทก์ได้ตั้งอนุญาโตตุลาการตามสัญญาอนุญาโตตุลาการถูกต้องแล้ว ส่วนการพิจารณาข้อพิพาทของอนุญาโตตุลาการ โจทก์ได้ส่งข้อพิพาท รายละเอียดเกี่ยวกับข้อเรียกร้องตามสัญญาเช่าเรือ และจำนวนเงินที่เรียกร้องให้จำเลยตามสำเนาบันทึกข้อเรียกร้อง และได้แจ้งให้จำเลยทำคำให้การหรือฟ้องแย้งภายในกำหนด 28 วัน มิฉะนั้นโจทก์จะยื่นคำร้องขอคำสั่งอนุญาโตตุลาการต่อไป แต่จำเลยเพิกเฉยและไม่ยอมให้ความร่วมมือในการพิจารณาระงับข้อพิพาทโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร และกฎหมายของประเทศอังกฤษ ตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ ค.ศ.1950 มาตรา 7 (บี)ซึ่งบัญญัติว่า ในกรณีที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ได้แต่งตั้งอนุญาโตตุลาการขึ้นมานั้นไม่ว่าจะไม่ได้ตั้งแต่แรกหรือไม่ได้ตั้งอนุญาโตตุลาการแทนที่ภายใน 7 วันหลังจากที่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งได้ตั้งอนุญาโตตุลาการฝ่ายตนแล้ว และได้แจ้งให้คู่สัญญาฝ่ายแรกที่ยังไม่ได้ตั้งอนุญาโตตุลาการให้ตั้งอนุญาโตตุลาการของตนเสียในกรณีเช่นนี้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งที่ได้แต่งตั้งอนุญาโตตุลาการไว้แล้ว อาจตั้งอนุญาโตตุลาการนั้นให้ดำเนินการในฐานะที่เป็นอนุญาโตตุลาการฝ่ายเดียวในเรื่องดังกล่าวนั้นได้ และคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการฝ่ายเดียวนั้นย่อมจะผูกพันคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเสมือนหนึ่งว่าเขาได้รับการแต่งตั้งโดยความยินยอมและมาตรา 16 แห่ง พ.ร.บ.เดียวกันบัญญัติว่า ถ้ามิได้มีการแสดงเจตนากันไว้โดยชัดแจ้งเป็นอย่างอื่นในสัญญาเกี่ยวกับอนุญาโตตุลาการทุกสัญญาให้ถือว่าคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการหรือผู้ชี้ขาดเป็นที่สุดและผูกพันคู่สัญญากับผู้เกี่ยวข้องที่เรียกร้องภายใต้สัญญาดังกล่าว ดังนี้ เมื่อคดีนี้ต้องใช้กฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการของประเทศอังกฤษบังคับ กรณีจึงต้องวินิจฉัยตามมาตรา 7 (บี)และ 16 ดังกล่าว เมื่อโจทก์ตั้งอนุญาโตตุลาการ ณ กรุงลอนดอน ตามสัญญาอนุญาโตตุลาการและได้ขอให้จำเลยแจ้งชื่ออนุญาโตตุลาการฝ่ายจำเลยโดยเร็วที่สุดแล้ว แต่จำเลยไม่ตั้งอนุญาโตตุลาการ โจทก์จึงมีสิทธิตั้งอนุญาโตตุลาการณ กรุงลอนดอน ดังกล่าวให้ดำเนินการในฐานะที่เป็นอนุญาโตตุลาการฝ่ายเดียวในการระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยได้ตามมาตรา 7 (บี) ดังกล่าวและเมื่อโจทก์ได้บอกกล่าวแก่จำเลยให้ทราบถึงข้อพิพาทข้อเรียกร้องตามสัญญาเช่าเรือ จำนวนเงินที่เรียกร้อง กับให้จำเลยทำคำให้การหรือฟ้องแย้งภายในกำหนด 28 วัน แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยและไม่ยอมให้ความร่วมมือในการพิจารณาระงับข้อพิพาทของอนุญาโตตุลาการโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร อนุญาโตุลาการที่โจทก์แต่งตั้งดังกล่าวจึงสามารถดำเนินการพิจารณาระงับข้อพิพาทไปฝ่ายเดียวโดยที่คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขาดนัดได้โดยไม่ต้องขออำนาจจากศาลก่อน และสัญญาอนุญาโตตุลาการในสัญญาเช่าเรือ ข้อ 38 ก็ไม่ได้ระบุไว้ว่าอนุญาโตตุลาการจะพิจารณาระงับข้อพิพาทไปฝ่ายเดียวโดยที่คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขาดนัดไม่ได้ อำนาจในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยขาดนัดจึงเป็นเรื่องที่อนุญาโตตุลาการ ณ กรุง-ลอนดอน สามารถทำได้ คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการของประเทศอังกฤษในกรณีที่จำเลยขาดนัดย่อมผูกพันจำเลยตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ ค.ศ. 1950มาตรา 16 ของประเทศอังกฤษ
ปรากฏว่าฟ้องแย้งขอให้โจทก์ชำระเงินสำหรับเงินรางวัลที่จำเลยขนถ่ายสินค้าเร็วกว่ากำหนดและข้อต่อสู้เรื่องสิทธิเรียกร้องของโจทก์ขาดอายุความแล้วเป็นกรณีที่จำเลยมิได้ทำคำให้การต่อสู้ไว้ในชั้นอนุญาโตตุลาการเมื่อคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการมีผลผูกพันจำเลย จำเลยมิได้มีคำอ้างแสดงว่าอนุญาโตตุลาการมิได้กระทำการโดยสุจริตหรือคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้กลฉ้อฉลข้อต่อสู้ของจำเลยจึงมิอาจลบล้างคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการได้
เมื่อต้องใช้กฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการของประเทศ-อังกฤษบังคับแก่คดีนี้ คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ผูกพันจำเลย โจทก์ขอให้ศาลไทยบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำชี้ขาดดังกล่าวได้และไม่ปรากฏว่าคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการดังกล่าวขัดต่อกฎหมาย หรือปฏิบัติไม่ถูกต้องตามขั้นตอน หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยจึงต้องรับผิดตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่ให้จำเลยรับผิดในดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี กรณีไม่อาจนำ ป.พ.พ. มาตรา 7 ที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ร้อยละ7.5 ต่อปี ซึ่งเป็นกฎหมายของประเทศไทยมาบังคับใช้แก่คดีนี้ได้ อย่างไรก็ตามโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวศาลฎีกาจึงไม่อาจกำหนดให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ในดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปีได้ คงให้จำเลยรับผิดในดอกเบี้ยได้เพียงในอัตราร้อยละ 12 ต่อปีตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษามาเท่านั้น
เมื่อการดำเนินกระบวนพิจารณาและคำชี้ขาดของอนุญาโต-ตุลาการในประเทศอังกฤษไม่ปรากฏมีข้อผิดพลาด ไม่ถูกต้องตามขั้นตอน ขัดต่อกฎหมาย หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน คำชี้ขาดของอนุญาโต-ตุลาการแห่งประเทศอังกฤษจึงผูกพันจำเลย โจทก์ย่อมขอให้ศาลชั้นต้นซึ่งจำเลยอยู่ในเขตอำนาจบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการได้
แม้ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาตามฟ้องแย้งจะไม่เกิน200,000 บาท และฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงก็ตาม แต่ปรากฏว่าข้อฎีกาดังกล่าวจำเลยได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นไว้ด้วย และศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยปัญหาดังกล่าว อันเป็นการที่ศาลอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง ดังนี้ ศาลฎีกาชอบที่จะวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวได้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่
เมื่อไม่ปรากฏว่าคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการแห่งประเทศ-อังกฤษขัดต่อกฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการของประเทศอังกฤษ หรือไม่ถูกต้องตามขั้นตอน หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ทั้งจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการโดยอาศัยเหตุดังกล่าว คำชี้ขาดนั้นย่อมผูกพันจำเลย ซึ่งอนุญาโตตุลาการได้ชี้ขาดให้จำเลยรับผิดชดใช้เงินแก่โจทก์แสดงว่าอนุญาโตตุลาการเห็นว่าจำเลยต้องชำระค่าเรือเสียเวลาให้โจทก์และจำเลยไม่สามารถทุ่นเวลาในการบรรทุกสินค้าขึ้นเรือได้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิได้เงินรางวัลจากโจทก์ตามฟ้องแย้ง
of 49