พบผลลัพธ์ทั้งหมด 487 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1375/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้อง, วัตถุประสงค์สัญญาเช่า, การสละสิทธิเรียกค่าเสียหาย, การกำหนดวันส่งมอบและเบี้ยปรับ
คดีมีประเด็นว่าการให้เช่าเหล็กเข็มพืดอยู่ในวัตถุประสงค์ของโจทก์หรือไม่การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าแม้โจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ดังกล่าวแต่เมื่อจำเลยให้การและนำสืบรับว่าได้มีการทำสัญญาเช่าเหล็กเข็มพืดกันจริงแล้วจำเลยจะโต้แย้งว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะอยู่นอกวัตถุประสงค์ของโจทก์หาได้ไม่จึงเป็นการวินิจฉัยในประเด็นแล้ว จำเลยให้การเพียงว่าโจทก์สละสิทธิเรียกเบี้ยปรับตามสัญญามิได้ให้การถึงเหตุแห่งการนั้นว่าเพราะโจทก์ยอมรับเหล็กเข็มพืดจากจำเลยโดยมิได้บอกสงวนสิทธิในการเรียกเบี้ยปรับไว้เป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสองแม้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่าโจทก์มีสิทธิเรียกเบี้ยปรับหรือไม่และโจทก์สละสิทธิเรียกเบี้ยปรับตามสัญญาแล้วหรือไม่ก็ถือไม่ได้ว่าปัญหาดังกล่าวเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นการที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยปัญหานี้จึงชอบแล้วและฎีกาของจำเลยข้อนี้ก็เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคแรก แม้การที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายจะมิได้คำนวณตามจำนวนวันที่จำเลยส่งมอบเหล็กเข็มพืดคืนโจทก์แต่ก็ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยส่งมอบคืนเมื่อวันที่15ธันวาคม2531มิใช่วันที่12กันยายน2531ซึ่งจำเลยอุทธรณ์ว่าเป็นวันที่12กันยายน2531หากเป็นความจริงย่อมมีผลต่อการกำหนดค่าเสียหายถือได้ว่าจำเลยอุทธรณ์การกำหนดค่าเสียหายอยู่ในตัวที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยเรื่องวันส่งมอบตามอุทธรณ์จึงไม่ชอบเป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งและศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาข้อนี้ได้ไม่จำต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตามมาตรา243(1)ประกอบมาตรา247 เมื่อสัญญาเช่าได้กำหนดเบี้ยปรับไว้โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับในฐานเป็นจำนวนน้อยที่สุดแห่งค่าเสียหายได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา380วรรคสองโดยหาจำต้องนำสืบว่าโจทก์ได้รับความเสียหายอย่างใดหรือไม่เพียงใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1359/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิม: คดีเช่าซื้อ vs. ละเมิด
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เพราะจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อผิดสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทแต่ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 เป็นการฟ้องให้โจทก์รับผิดต่อจำเลยที่ 2 เพราะโจทก์ทำละเมิดต่อจำเลยที่ 2 โดยกล่าวอ้างว่าโจทก์นำรถยนต์พิพาทที่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อจากโจทก์ ซึ่งเป็นของจำเลยที่ 2 ไปขายทอดตลาดโดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้ยินยอมทำให้จำเลยที่ 2 ได้รับความเสียหาย ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 จึงเป็นคนละเรื่องกับที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1236/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของหุ้นส่วนจำกัดและฐานะส่วนตัวในการซื้อขาย กรณีจำเลยที่ 2 เจรจาซื้อดินก่อนบริษัทจดทะเบียน
จำเลยที่ 2 ตกลงเรื่องถมดินกับโจทก์ประมาณเดือนมีนาคม 2531 แต่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2531 ดังนั้นในขณะที่จำเลยที่ 2 ไปเจรจาซื้อที่ดินจากโจทก์ จำเลยที่ 2 จึงทำในฐานส่วนตัวเพราะขณะนั้นจำเลยที่ 1 ยังไม่มีตัวตน แต่เหตุที่จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการเพราะจำเลยที่ 2 รับราชการอยู่ จึงให้ส.เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ และในทางปฏิบัติจำเลยที่ 2เป็นผู้บริหารงานและดำเนินการแทนจำเลยที่ 1 และหลังจากจำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้วจำเลยที่ 2 ได้ซื้อดินจากโจทก์ทั้งในฐานะส่วนตัวและในฐานะหุ้นส่วนจำพวกจำพวกจำกัดความรับผิดที่สอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของจำเลยที่ 1 ดังนั้น จำเลยที่ 2จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1 ฎีกาจำเลยทั้งสองในส่วนนี้เกี่ยวกับคำขอตามฟ้องแย้งเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งมีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000 บาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1236/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดร่วมกันของจำเลยทั้งสองจากการซื้อขายที่ดิน โดยจำเลยที่ 2 ดำเนินการทั้งในฐานะส่วนตัวและนิติบุคคล
จำเลยที่ 2 ตกลงเรื่องถมดินกับโจทก์ประมาณเดือนมีนาคม2531 แต่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2531 ดังนั้นในขณะที่จำเลยที่ 2 ไปเจรจาซื้อที่ดินจากโจทก์ จำเลยที่ 2 จึงทำในฐานะส่วนตัวเพราะขณะนั้นจำเลยที่ 1 ยังไม่มีตัวตน แต่เหตุที่จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการเพราะจำเลยที่ 2 รับราชการอยู่ จึงให้ ส.เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ และในทางปฏิบัติจำเลยที่ 2 เป็นผู้บริหารงานและดำเนินการแทนจำเลยที่ 1 และหลังจากจำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้วจำเลยที่ 2 ได้ซื้อดินจากโจทก์ทั้งในฐานะส่วนตัวและในฐานะหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดที่สอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของจำเลยที่ 1 ดังนี้ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1
ฎีกาจำเลยทั้งสองในส่วนที่เกี่ยวกับคำขอตามฟ้องแย้ง เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งมีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ฎีกาจำเลยทั้งสองในส่วนที่เกี่ยวกับคำขอตามฟ้องแย้ง เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งมีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1210/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกข้อไม่ชัดเจนในคำให้การและการยกประเด็นใหม่ในชั้นฎีกาที่ต้องห้ามตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่าจำเลยที่ 1 บุกรุกและนำที่ดินด้านทิศเหนือให้จำเลยที่ 2 เช่าปลูกอ้อย จำเลยที่ 1ให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 มิใช่ของโจทก์ จำเลยที่ 1 ครอบครองที่พิพาทมานาน 8 ปีแล้ว หากจะฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์คดีก็ขาดอายุความเพราะจำเลยที่ 1 เข้าทำประโยชน์มาก่อนฟ้องเกินกว่า 1 ปี ดังนี้เป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยหรือของโจทก์ และขัดแย้งกันเอง ไม่ชอบด้วยป.วิ.พ. มาตรา มาตรา 177 วรรคสอง คดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ในประเด็นดังกล่าวจึงไม่ชอบ ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1210/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การขัดแย้งและไม่ชัดเจน ทำให้ไม่มีประเด็นข้อพิพาทเรื่องการครอบครองภายใน 1 ปี และฎีกาต้องห้าม
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของมี สิทธิครอบครอง ที่ดินมือเปล่า จำเลยที่1 บุกรุกและนำที่ดินด้านทิศเหนือให้จำเลยที่2เช่าปลูกอ้อยจำเลยที่1ให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่1มิใช่ของโจทก์จำเลยที่1ครอบครองที่พิพาทมานาน8ปีแล้วหากจะฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์คดีก็ขาดอายุความเพราะจำเลยที่1เข้าทำประโยชน์มาก่อนฟ้องเกินกว่า1ปีดังนี้เป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยหรือของโจทก์และขัดแย้งกันเองไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสองคดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน1ปีนับแต่ถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ในประเด็นดังกล่าวจึงไม่ชอบถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1210/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องร้องกรณีบุกรุกที่ดินและประเด็นคำให้การที่ไม่ชัดเจน ทำให้ฎีกาต้องห้าม
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมือเปล่าจำเลยที่1บุกรุกที่ดินโจทก์และนำที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่2เช่าปลูกอ้อยจำเลยที่1ให้การว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่1ไม่ใช่ของโจทก์หากฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์คดีย่อมขาดอายุความฟ้องร้องเพราะจำเลยที่1เข้าทำประโยชน์มาก่อนฟ้องเกินกว่า1ปีเป็นคำให้การไม่ชัดแจ้งว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยหรือของโจทก์และขัดแย้งกันเองไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสองไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนดเวลา1ปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองหรือไม่การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นดังกล่าวจึงไม่ชอบถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามมาตรา249วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 555/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อในการรักษาทรัพย์สิน และการพิสูจน์ความรับผิดทางแพ่ง การกำหนดราคาค่าเสียหายตามราคาตลาด
ในการยื่นคำให้การกฎหมายบัญญัติไว้แต่เพียงว่าให้จำเลยแสดงโดยแจ้งชัดในคำให้การว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง สำหรับเหตุแห่งการปฏิเสธนั้นกฎหมายมิได้บังคับว่าหากจำเลยหลายคนถูกฟ้องให้รับผิดร่วมกันแล้วจำเลยทุกคนจะต้องอ้างเหตุเหมือนกันหรือสอดคล้องต้องกันดังนั้นจำเลยแต่ละคนจึงมีสิทธิที่จะให้การต่อสู้คดีอย่างไรก็ได้ ไม่ต้องคำนึงว่าคำให้การของตนจะขัดแย้งกับคำให้การของจำเลยอื่นหรือไม่ กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าคำให้การของจำเลยที่ 4 ขัดแย้งกับคำให้การของจำเลยที่ 5 หรือไม่ จำเลยที่ 3 ปฏิบัติฝ่าฝืนระเบียบกรมวิทยาศาสตร์ทหารเรือที่ 2 กล่าวคือ ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่เป็นนายทหารเวรเวลาเกิดเหตุได้เปิดประตูเข้าไปในห้องปฏิบัติงานโดยไม่มีเหตุอันควรและไม่มีเหตุจำเป็นถึง 2 ครั้ง โดยไม่ปรากฏว่ามีหัวหน้าเวร 1 คน และเสมียนเวร 1 คน ร่วมเป็นพยานรู้เห็นด้วย ทั้งไม่ได้ลงปูมไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งนอกจากจะปฏิบัติหน้าที่ผิดระเบียบวินัย ยังประมาทเลินเล่ออีกด้วยเมื่อคนร้ายเข้าไปทางประตูที่จำเลยที่ 3 เปิดทิ้งไว้และลักเอาเบ้าแพลทินัมจำนวน 4 เบ้าของโจทก์ไป จำเลยที่ 3จึงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เฉพาะจำเลยที่ 2 เท่านั้นที่ให้การต่อสู้คดีว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุม จำเลยที่ 3 มิได้หยิบยกปัญหานี้ขึ้นต่อสู้เป็นประเด็นในคำให้การด้วย จำเลยที่ 3จึงไม่มีสิทธิยกปัญหานี้ขึ้นอ้างในชั้นฎีกาเพราะนอกเหนือคำให้การของตน และถือว่าจำเลยที่ 3 มิได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ อายุความเป็นระยะเวลาอย่างหนึ่ง การนับอายุความเป็นปีจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 158 เดิมประกอบด้วยมาตรา 159 วรรคสอง เดิม กล่าวคือ มิให้นับวันที่23 ธันวาคม 2529 ซึ่งเป็นวันแรกรวมคำนวณเข้าด้วยเพราะมิได้มีการเริ่มอะไรในวันนั้น ต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2529 เป็นต้นไป โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 23 ธันวาคม 2530 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่จะครบ 1 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 555/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากความประมาทเลินเล่อ, การต่อสู้คดีนอกคำให้การ, และการนับอายุความ
ในการยื่นคำให้การกฎหมายบัญญัติไว้แต่เพียงว่าให้จำเลยแสดงโดยแจ้งชัดในคำให้การว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 177 วรรคสอง สำหรับเหตุแห่งการปฏิเสธนั้นกฎหมายมิได้บังคับว่าหากจำเลยหลายคนถูกฟ้องให้รับผิดร่วมกันแล้วจำเลยทุกคนจะต้องอ้างเหตุเหมือนกันหรือสอดคล้องต้องกัน ดังนั้นจำเลยแต่ละคนจึงมีสิทธิที่จะให้การต่อสู้คดีอย่างไรก็ได้ ไม่ต้องคำนึงว่าคำให้การของตนจะขัดแย้งกับคำให้การของจำเลยอื่นหรือไม่ กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่า คำให้การของจำเลยที่ 4ขัดแย้งกับคำให้การของจำเลยที่ 5 หรือไม่
จำเลยที่ 3 ปฏิบัติฝ่าฝืนระเบียบกรมวิทยาศาสตร์ทหารเรือที่ 2กล่าวคือ ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่เป็นนายทหารเวรเวลาเกิดเหตุได้เปิดประตูเข้าไปในห้องปฏิบัติงานโดยไม่มีเหตุอันควรและไม่มีเหตุจำเป็นถึง 2 ครั้ง โดยไม่ปรากฏว่ามีหัวหน้าเวร 1 คน และเสมียนเวร 1 คน ร่วมเป็นพยานรู้เห็นด้วย ทั้งไม่ได้ลงปูมไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งนอกจากจะปฏิบัติหน้าที่ผิดระเบียบวินัยแล้ว ยังประมาทเลินเล่ออีกด้วย เมื่อคนร้ายเข้าไปทางประตูที่จำเลยที่ 3 เปิดทิ้งไว้ และลักเอาเบ้าแพลทินัมจำนวน 4 เบ้าของโจทก์ไป จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์
เฉพาะจำเลยที่ 2 เท่านั้นที่ให้การต่อสู้คดีว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุม จำเลยที่ 3 มิได้หยิบยกปัญหานี้ขึ้นต่อสู้เป็นประเด็นในคำให้การด้วย จำเลยที่ 3 จึงไม่มีสิทธิยกปัญหานี้ขึ้นอ้างในชั้นฎีกาเพราะนอกเหนือคำให้การของตน และถือว่าจำเลยที่ 3 มิได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
อายุความเป็นระยะเวลาอย่างหนึ่ง การนับอายุความเป็นปีจึงต้องบังคับตาม ป.พ.พ.มาตรา 158 เดิม ประกอบด้วยมาตรา 159 วรรคสองเดิม กล่าวคือ มิให้นับวันที่ 23 ธันวาคม 2529 ซึ่งเป็นวันแรกรวมคำนวณเข้าด้วยเพราะมิได้มีการเริ่มอะไรในวันนั้น ต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2529เป็นต้นไป โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 23 ธันวาคม 2530 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่จะครบ 1 ปีคดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
จำเลยที่ 3 ปฏิบัติฝ่าฝืนระเบียบกรมวิทยาศาสตร์ทหารเรือที่ 2กล่าวคือ ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่เป็นนายทหารเวรเวลาเกิดเหตุได้เปิดประตูเข้าไปในห้องปฏิบัติงานโดยไม่มีเหตุอันควรและไม่มีเหตุจำเป็นถึง 2 ครั้ง โดยไม่ปรากฏว่ามีหัวหน้าเวร 1 คน และเสมียนเวร 1 คน ร่วมเป็นพยานรู้เห็นด้วย ทั้งไม่ได้ลงปูมไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งนอกจากจะปฏิบัติหน้าที่ผิดระเบียบวินัยแล้ว ยังประมาทเลินเล่ออีกด้วย เมื่อคนร้ายเข้าไปทางประตูที่จำเลยที่ 3 เปิดทิ้งไว้ และลักเอาเบ้าแพลทินัมจำนวน 4 เบ้าของโจทก์ไป จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์
เฉพาะจำเลยที่ 2 เท่านั้นที่ให้การต่อสู้คดีว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุม จำเลยที่ 3 มิได้หยิบยกปัญหานี้ขึ้นต่อสู้เป็นประเด็นในคำให้การด้วย จำเลยที่ 3 จึงไม่มีสิทธิยกปัญหานี้ขึ้นอ้างในชั้นฎีกาเพราะนอกเหนือคำให้การของตน และถือว่าจำเลยที่ 3 มิได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
อายุความเป็นระยะเวลาอย่างหนึ่ง การนับอายุความเป็นปีจึงต้องบังคับตาม ป.พ.พ.มาตรา 158 เดิม ประกอบด้วยมาตรา 159 วรรคสองเดิม กล่าวคือ มิให้นับวันที่ 23 ธันวาคม 2529 ซึ่งเป็นวันแรกรวมคำนวณเข้าด้วยเพราะมิได้มีการเริ่มอะไรในวันนั้น ต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2529เป็นต้นไป โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 23 ธันวาคม 2530 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่จะครบ 1 ปีคดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 469/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้อง, อายุความ, และขอบเขตการชำระเงินแร่ตามกฎหมายควบคุมแร่ดีบุก: ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะฟ้องโจทก์ไม่ได้อ้างอิงและนำพยานหลักฐานมาแสดงให้เห็นว่า ศ. เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์หรือไม่อย่างไรจำเลยไม่ทราบไม่รับรองคำให้การดังกล่าวมิได้ปฏิเสธโดยชัดแจ้งว่า ศ. ไม่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์จึงรับฟังได้ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า ศ.มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์หรือไม่แม้ศาลล่างทั้งสองจะยกประเด็นข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย จำเลยให้การว่าจำเลยขนแร่ดีบุกปนตะกั่วซึ่งไม่ใช่แร่ดีบุกจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ของกฎหมายให้ต้องชำระเงินแทนแร่เพื่อส่งเข้ามูลภัณฑ์กันชนระหว่างประเทศฉะนั้นที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ต้องชำระเงินแทนแร่เพื่อส่งเข้ามูลภัณฑ์กันชนระหว่างประเทศเพราะแร่ที่จำเลยได้รับอนุญาตขนนั้นขายให้แก่ผู้ซื้อภายในประเทศและเป็นแร่ดีบุกปนตะกั่วมีดีบุกในเปอร์เซ็นต์ต่ำจึงนอกเหนือจากคำให้การเป็นเรื่องนอกประเด็นแม้ศาลล่างทั้งสองจะยกประเด็นข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์เป็นหน่วยงานของรัฐเรียกเก็บเงินแทนแร่เพื่อส่งเข้ามูลภัณฑ์กันชนระหว่างประเทศจากจำเลยตามอำนาจหน้าที่ที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติควบคุมแร่ดีบุกพ.ศ.2514มาตรา24โจทก์จึงมิใช่บุคคลที่ทางราชการได้ตั้งแต่งหรืออนุญาตให้จัดกิจการเฉพาะบางอย่างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา165(15)ซึ่งมีกำหนดอายุความ2ปี