คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 177 วรรคสอง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 487 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2631/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำให้การขัดแย้งและยอมรับของจำเลย ทำให้โจทก์ไม่ต้องพิสูจน์หนี้ และสัญญากู้ที่ระบุรายละเอียดครบถ้วนมีผลผูกพัน
จำเลยให้การตอนแรกว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้เงินกับโจทก์จริงแต่ทำขึ้นเพื่อเป็นประกันการที่โจทก์ให้จำเลยเป็นตัวแทนนำเงินไปให้ผู้อื่นกู้ จำเลยไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้เงิน เป็นการปฏิเสธว่ามิได้กู้เงินจากโจทก์ แต่จำเลยให้การตอนหลังว่าหากฟังว่าจำเลยกู้เงินโจทก์จริง จำเลยได้ชำระเงินแก่โจทก์แล้วเป็นการรับว่าจำเลยกู้เงินโจทก์จริง คำให้การของจำเลยจึงขัดแย้งกัน จำเลยมิได้ปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์โดยชัดแจ้งว่าจำเลยไม่ได้ทำสัญญากู้เงินกับโจทก์ จึงเป็นคำให้การที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จึงถือว่าจำเลยได้ยอมรับตามข้ออ้างของโจทก์ว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์แล้ว โจทก์ไม่ต้องนำสืบตามข้ออ้างนั้นอีก ส่วนที่จำเลยอ้างว่าโจทก์เพิ่งมาเติม วัน เดือน ปี จำนวนเงินที่กู้และกำหนดเวลาชำระเงินคืนในภายหลังนั้น จำเลยมิได้ปฏิเสธว่าสัญญากู้ดังกล่าวเป็นสัญญาปลอมหรือไม่ถูกต้องอย่างใด เมื่อสัญญากู้ระบุวันเดือน ปี จำนวนเงินที่กู้และกำหนดเวลาชำระเงินครบถ้วนแล้วก็ย่อมรับฟังได้ตามสัญญากู้ดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2631/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำให้การขัดแย้งและผลของการยอมรับข้ออ้างโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง
จำเลยให้การตอนแรกว่า จำเลยทำสัญญากู้เงินกับโจทก์จริงแต่ทำขึ้นเพื่อเป็นประกันการที่โจทก์ให้จำเลยเป็นตัวแทนนำเงินไปให้ผู้อื่นกู้ จำเลยไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้ เป็นการปฏิเสธว่ามิได้กู้เงินจากโจทก์ แต่คำให้การของจำเลยตอนหลังจำเลยให้การว่า หากฟังว่าจำเลยกู้เงินโจทก์จริง จำเลยได้ชำระเงินแก่โจทก์แล้วเป็นการรับว่าจำเลยกู้เงินโจทก์จริง คำให้การของจำเลยจึงขัดแย้งกัน จำเลยมิได้ปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์โดยชัดแจ้งว่าจำเลยไม่ได้ทำสัญญากู้เงินกับโจทก์ จึงเป็นคำให้การที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ถือว่าจำเลยได้ยอมรับตามข้ออ้างของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2003/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตีความนัยของเอกสารประกวดราคา: การเสนอราคาในนามนิติบุคคล แม้ข้อความระบุชื่อผู้จัดการ
ประกาศของจำเลยที่ 1 เรื่องประกวดราคาเช่าสะพานท่าเทียบเรือวางเงื่อนไขไว้ว่า ผู้ยื่นซองจะต้องเป็นนิติบุคคลเท่านั้นคณะกรรมการรับซองของจำเลยที่ 1 ก็รับซองประกวดราคาไว้ว่าเป็นของโจทก์ แม้ใบเสนอการประกวดราคาจะกรอกข้อความว่า "ข้าพเจ้าบังเอียนโลหะคุปต์ ผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัดโรงน้ำแข็งเฉลิมพล" ก็เป็นการกรอกข้อความไปตามแบบพิมพ์ บ.ไม่มีสิทธิยื่นซองในฐานะส่วนตัวเพราะขัดกับเงื่อนไขตามประกาศ เมื่อโจทก์ฟ้องว่าโจทก์เข้ายื่นซองประกวดราคา จำเลยทั้งสามก็ไม่ได้ให้การโต้เถียงว่าเสนอราคาในนามของ บ. เป็นการส่วนตัว แต่กลับยอมรับว่าโจทก์ได้เข้าประกวดราคาและเสนอราคาสูงสุดจริง และจำเลยที่ 1 แจ้งให้โจทก์เข้าทำสัญญาแล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมเข้าทำสัญญาเอง เห็นได้ว่าโจทก์และจำเลยทั้งสามต่างก็ยอมรับข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นผู้เสนอราคาไม่เคยโต้แย้งว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสนอราคา นอกจากนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 10 เดิม และมาตรา 132 เดิมให้ตีความเอกสารตามนัยที่จะทำให้เป็นผลบังคับได้ และให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษรดังนั้นในกรณีนี้จึงต้องถือว่า บ. เสนอราคาในนามของโจทก์ มิใช่เสนอราคาในฐานะส่วนตัว เพราะหากถือว่า บ.เสนอราคาในฐานะส่วนตัวย่อมทำให้การเสนอราคาไร้ผล และขัดกับเจตนาของคู่กรณี การที่โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง ขอให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ จำเลยทั้งสามฎีกา ดังนี้อุทธรณ์ของโจทก์และฎีกาของจำเลยทั้งสามต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียงศาลละ 200 บาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 812/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดของตัวแทนและเจ้าของรถ กรณีรถแท็กซี่ทำละเมิด
จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า รถแท็กซี่คันที่เกิดเหตุเป็นรถแท็กซี่คันหมายเลขทะเบียน 1ท-3878กรุงเทพมหานครของอ. น้องชายจำเลยที่ 2 ไม่ใช่คันหมายเลขทะเบียน 1ท-3787 กรุงเทพมหานคร โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 จึงเป็นการฟ้องผิดตัวนั้น ปรากฏว่า ในข้อนี้จำเลยที่ 2 ให้การเพียงว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นเจ้าของรถแท็กซี่คันหมายเลขทะเบียน 1ท-3787 กรุงเทพมหานคร เท่านั้น จำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ว่า รถแท็กซี่คันเกิดเหตุไม่ใช่คันเดียวกับที่โจทก์ฟ้องข้ออ้างตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่นอกเหนือไปจากข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ 2 เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถแท็กซี่ ได้นำรถแท็กซี่ หมายเลขทะเบียน 1ท-3787 กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ 2 ไปเข้าเป็นสมาชิกในสหกรณ์แท็กซี่ก่อน แล้วให้จำเลยที่ 1 นำออกไปวิ่งรับส่งคนโดยสารเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน จำเลยที่ 1 จึงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ย่อมต้องร่วมรับผิดในการทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 802/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน: การฉ้อฉล, นอกคำให้การ, และขอบเขตการรับฟังพยานหลักฐาน
จำเลยเบิกความว่า ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทเพื่ออำพรางสัญญาโครงการบูรณะโรงแรม และอาคารพาณิชย์ที่จำเลยร่วมทุนกับ ส. และพวก เป็นการนำสืบนอกคำให้การของจำเลยที่ต่อสู้ว่าจำเลยลงลายมือชื่อในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาท เพราะการฉ้อฉลของ ส. กับพวก ทำให้จำเลยสำคัญผิดในสาระสำคัญของสัญญาการรับฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานของจำเลยจึงต้องจำกัดเพียงเฉพาะข้อต่อสู้ตามคำให้การเท่านั้น โจทก์อุทธรณ์และฎีกาในประเด็นเรื่องจำเลยผิดสัญญาและเรียกค่าเสียหายจากจำเลย แต่ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยให้ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในปัญหาดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 802/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการนำสืบพยานนอกคำให้การ: สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและการฉ้อฉล
จำเลยเบิกความว่า ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทเพื่ออำพรางสัญญาโครงการบูรณะโรงแรม และอาคารพาณิชย์ที่จำเลยร่วมทุนกับ ส.และพวก เป็นการนำสืบนอกคำให้การของจำเลยที่ต่อสู้ว่า จำเลยลงลายมือชื่อในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาท เพราะการฉ้อฉลของ ส. กับพวก ทำให้จำเลยสำคัญผิดในสาระสำคัญของสัญญา การรับฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานของจำเลยจึงต้องจำกัดเพียงเฉพาะข้อต่อสู้ตามคำให้การเท่านั้น
โจทก์อุทธรณ์และฎีกาในประเด็นเรื่องจำเลยผิดสัญญาและเรียกค่าเสียหายจากจำเลย แต่ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยให้ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในปัญหาดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 401/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เพิกถอนการชำระหนี้ล้มละลาย: การชำระหนี้ภายใน 3 เดือนก่อนล้มละลายโดยมีเจตนาให้เจ้าหนี้ได้เปรียบ
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการชำระหนี้ที่จำเลยชำระให้แก่โจทก์ ตามมาตรา 115 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483อ้างว่าเป็นการชำระหนี้ภายใน 3 เดือน ก่อนมีการขอให้ล้มละลายโดยมุ่งหมายให้เจ้าหนี้ได้เปรียบเสียเปรียบซึ่งกันและกัน ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านเพียงว่า ผู้คัดค้านได้รับชำระหนี้ไว้โดยสุจริตและโจทก์ไม่มีอำนาจขอรับชำระหนี้เพราะให้จำเลยกู้ยืมโดยรู้อยู่ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว มิได้คัดค้านว่าจำเลยชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านเกินกว่า 3 เดือน ก่อนมีการขอให้ล้มละลายและมิได้มุ่งหมายให้เจ้าหนี้ได้เปรียบเสียเปรียบซึ่งกันและกัน ผู้คัดค้านจึงไม่มีสิทธินำสืบในประเด็นดังกล่าว เมื่อผู้ร้องนำสืบได้ความตามคำร้องแล้ว คดีย่อมวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องสืบพยานกันต่อไปเพราะข้อต่อสู้ของผู้คัดค้านที่ว่าได้รับชำระหนี้ไว้โดยสุจริตก็ดี โจทก์ไม่มีอำนาจขอรับชำระหนี้ก็ดี หาได้เป็นข้อสาระสำคัญในการพิจารณาเพิกถอนการโอนหรือการกระทำของจำเลยตามมาตรา 115 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กำหนดเวลาฟ้องแย่งการครอบครอง 1 ปี ตามมาตรา 1375 ไม่ใช่เรื่องอายุความ แต่เป็นเรื่องอำนาจฟ้อง
กำหนดเวลาให้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 นั้น ไม่ใช่เรื่องอายุความ แต่เป็นกำหนดเวลาสำหรับฟ้องเมื่อโจทก์ผู้ถูกแย่งการครอบครองไม่ได้ฟ้องภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ก็ย่อมเสียสิทธิที่จะเอาคืนซึ่งการครอบครองที่หลุดมือไปแล้วทันทีปัญหาข้อนี้เป็นเรื่องอำนาจฟ้องอันเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้ยกต่อสู้ไว้ในคำให้การเป็นประเด็นโดยตรง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ย่อมมีอำนาจที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 48/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุม-ความรับผิดนายจ้าง: จำเลยต้องรับผิดเมื่อลูกจ้างทุจริตและศาลพบว่าฟ้องไม่เคลือบคลุม
คำให้การของจำเลยที่ 2 ปฏิเสธเพียงว่า คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมไม่บรรยายสภาพแห่งข้อหาให้ชัดแจ้ง ทั้งข้อความก็ไม่ต่อเนื่องไม่สามารถเข้าใจข้อความแห่งคำฟ้อง เป็นการยกถ้อยคำในกฎหมายมาอ้าง โดยมิได้บรรยายว่าสภาพแห่งข้อหาในคำฟ้องของโจทก์ข้อใดที่ไม่ชัดแจ้งและไม่ชัดแจ้งอย่างไร คำให้การจำเลยจึงแสดงเหตุไม่ชัดแจ้ง ไม่มีประเด็นว่าฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกา การฝากและถอนเงินจากบัญชีชื่อของโจทก์เป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 เองทั้งหมด โจทก์มิได้รู้เห็นด้วย จึงไม่ผูกพันโจทก์และการที่จำเลยที่ 1 ทุจริตปลอมลายมือชื่อโจทก์ถอนเงินจากบัญชีโจทก์ เป็นการละเมิด ธนาคารจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างจึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4050/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีซื้อขาย, การยอมรับข้อกล่าวหา, และการยกเว้นอายุความกรณีศาลไม่รับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธลอย ๆ ว่า จำเลยไม่รับรองว่าลายมือชื่อและตราประทับในใบมอบอำนาจให้ฟ้องคดีจะเป็นลายมือชื่อของกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์และเป็นตราสารสำคัญที่จดทะเบียนไว้ต่อสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร หรือไม่ คำให้การของจำเลยดังกล่าวไม่ได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธ จึงไม่เป็นประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัย แม้ศาลล่างทั้งสองจะได้วินิจฉัยให้ก็เป็นการนอกประเด็น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธโดยแจ้งชัดว่าจำเลยไม่ได้ตกลงทำสัญญากับโจทก์และไม่ได้ชำระหนี้บางส่วนให้แก่โจทก์ ตามที่ปรากฏในคำฟ้อง จึงต้องถือว่าจำเลยยอมรับว่าได้มีการ ตกลงทำสัญญาซื้อขายกันโดยโจทก์ได้ส่งมอบและตอกเสาเข็มคอนกรีตให้แก่จำเลย และจำเลยได้ชำระหนี้บางส่วนให้แก่โจทก์แล้วจำเลยไม่มีประเด็นที่จะนำสืบหักล้างเป็นอย่างอื่น ดังนั้นข้อที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้ชำระหนี้บางส่วนจึงเป็นเรื่องที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นแม้ศาลล่างทั้งสองจะวินิจฉัยให้ก็เป็นการนอกประเด็นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ครบกำหนดชำระราคาเสาเข็มภายในวันที่ 19 กรกฎาคม 2526 แต่จำเลยไม่ชำระ อายุความย่อมเริ่มนับตั้งแต่วันที่20 กรกฎาคม 2526 โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่งเมื่อวันที่18 กรกฎาคม 2528 จึงยังไม่พ้นกำหนดอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) เดิม แต่ศาลแพ่งมีคำสั่งไม่รับฟ้องโจทก์เพราะคดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแพ่ง เนื่องจากจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่นอกเขตศาลแพ่งและมูลคดีมิได้เกิดในเขตศาลแพ่ง คำสั่งของศาลแพ่งดังกล่าวย่อมมีความหมายเป็นอย่างเดียวกันกับคำว่าศาลยกคดีเสียเพราะเหตุคดีไม่อยู่ในอำนาจศาล ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 176(เดิม) หาใช่ต้องเป็นกรณีที่ศาลรับฟ้องไว้แล้ว ภายหลังต่อมาจึงพิพากษายกฟ้องเพราะเหตุคดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาไม่ ดังนั้นเมื่อกำหนดอายุความในคดีของโจทก์จะครบ 2 ปี ในวันที่20 กรกฎาคม 2528 จึงเป็นกรณีที่อายุความจะสิ้นลงในระหว่างหกเดือนภายหลังที่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ไม่รับฟ้องถึงที่สุดจึงต้องขยายอายุความออกไปถึงหกเดือนภายหลังคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น ปรากฏว่าศาลแพ่งมีคำสั่งไม่รับฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2528 โจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2528 ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
of 49