คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 177 วรรคสอง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 487 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 137/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในเครื่องหมายการค้า: การใช้ก่อนและการจดทะเบียนโดยไม่สุจริต ทำให้เจ้าของเครื่องหมายการค้าเดิมมีสิทธิเรียกร้องได้
โจทก์ได้ใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า mita มาก่อนจำเลยทั้งได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นไว้ในต่างประเทศหลายประเทศ และได้ส่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าดังกล่าวเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยก่อนที่จำเลยจะจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า โจทก์จึงมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า mita ดีกว่าจำเลย จำเลยเป็นกรรมการของบริษัท ร. ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของโจทก์ที่มีเครื่องหมายการค้าดังกล่าว จำเลยย่อมรู้ถึงเครื่องหมายการค้าของโจทก์ จำเลยขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า mita โดยรู้อยู่แล้วว่าโจทก์เป็นเจ้าของ แม้เครื่องหมายการค้าที่จำเลยขอจดทะเบียนจะได้รับการจดทะเบียนแล้วก็ไม่ทำให้จำเลยมีสิทธิดีกว่าโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนเครื่องหมายการค้านั้นได้ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 มาตรา 41(1) ข้อที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้รับความคุ้มครองเนื่องจากโจทก์จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้ในประเทศญี่ปุ่น และประเทศไทยไม่มีความตกลงคุ้มครองเครื่องหมายการค้าในลักษณะที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กับรัฐบาลต่างประเทศนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยมิได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การ เป็นเรื่องนอกประเด็น แม้จำเลยได้นำสืบต่อสู้ไว้ในศาลชั้นต้น และยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ด้วยก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5970/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรังวัดที่ดิน, สิทธิครอบครอง, การรุกล้ำที่ดิน, และขอบเขตอำนาจฟ้องแย้ง
ที่ดินเดิม มีเพียง ส.ค.1 หากต่อมาเจ้าพนักงานออก น.ส.3 ให้แต่มีจำนวนเนื้อที่ไม่ตรงกัน ถือว่าจำนวนเนื้อที่ตามที่ปรากฏใน น.ส.3 ถูกต้องกว่า เพราะการออก น.ส.3 นั้น จะต้องมีการรังวัดเนื้อที่ดิน และมีเจ้าของที่ดินข้างเคียงรับรองแนวเขตว่าถูกต้อง แม้จำเลยฟ้องแย้งโจทก์เมื่อยังไม่เกิน 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครอง ไม่ขาดสิทธิฟ้องแย้งเพื่อเอาคืนการครอบครอง แต่เมื่อ โจทก์ปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำในที่ดินของจำเลยโดยสุจริต จำเลย จึงไม่อาจบังคับให้โจทก์รื้อถอนโรงเรือนส่วนที่รุกล้ำได้ ฟ้องแย้งของจำเลยไม่ได้ขอให้โจทก์ใช้ค่าที่ดินที่โจทก์รุกล้ำ ดังนั้น การที่ศาลล่างพิพากษาให้โจทก์ใช้ค่าที่ดินแก่จำเลยจึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอฟ้องแย้ง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้โจทก์จะไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็ หยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5646/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความค่าบริการโทรศัพท์: สิทธิเรียกร้องของผู้ให้บริการโทรคมนาคมมีอายุความ 2 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(7)
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เนื่องจากสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ค่าใช้บริการโทรศัพท์ตามฟ้องเริ่มวันที่ 1 เมษายน2526 โจทก์ฟ้องเกินกำหนดไม่อาจบังคับจำเลยได้ คำให้การดังกล่าวได้แสดงเหตุแห่งการขาดอายุความแล้ว ผู้ใช้บริการวิทยุโทรศัพท์ระหว่างประเทศของโจทก์ โดยเครื่องโทรศัพท์ที่เช่าจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยผ่านเครื่องวิทยุโทรศัพท์ของโจทก์ จะต้องเสียค่าบริการตามอัตราที่โจทก์กำหนดไว้ ค่าบริการดังกล่าวก็คือสินจ้างนั่นเอง ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ค้าในการรับทำการงานต่าง ๆ เมื่อโจทก์เรียกเอาสินจ้างอันพึงจะได้รับในการนั้นจากจำเลย สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(7).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5646/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความสิทธิเรียกร้องค่าบริการโทรศัพท์: การพิจารณาประเภทของโจทก์และลักษณะของสิทธิเรียกร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เนื่องจากสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ค่าใช้บริการโทรศัพท์ตามฟ้องเริ่มวันที่ 1 เมษายน2526 โจทก์ฟ้องเกินกำหนดไม่อาจบังคับจำเลยได้ คำให้การดังกล่าวได้แสดงเหตุแห่งการขาดอายุความแล้ว
ผู้ใช้บริการวิทยุโทรศัพท์ระหว่างประเทศของโจทก์ โดยเครื่องโทรศัพท์ที่เช่าจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยผ่านเครื่องวิทยุโทรศัพท์ของโจทก์ จะต้องเสียค่าบริการตามอัตราที่โจทก์กำหนดไว้ ค่าบริการดังกล่าวก็คือสินจ้างนั่นเอง ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ค้าในการรับทำการงานต่าง ๆ เมื่อโจทก์เรียกเอาสินจ้างอันพึงจะได้รับในการนั้นจากจำเลย สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(7).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5501/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องสัญญาเช่า, การครอบครอง, และการแย่งการครอบครอง: ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาเดิม
จำเลยให้การแต่เพียงว่า โจทก์จะได้ครอบครองที่พิพาทหรือไม่จำเลยไม่รับรองข้อต่อสู้ของจำเลยเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่แสดงชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ในเรื่องสิทธิครอบครองที่พิพาทจึงไม่มีประเด็นเรื่องอำนาจฟ้อง และแม้เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์เห็นไม่สมควรยกขึ้นวินิจฉัยก็ทำได้ บทบัญญัติแห่งประมวลแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 มิได้ให้ถือว่าสัญญาเช่าที่มีกำหนดระยะเวลาเกินกว่าสามปีเป็นโมฆะ เมื่อฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ให้เช่าและมีหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 หรือไม่ ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยให้จำเลยทั้งสองจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ย้อนสำนวน และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องแย่งการครอบครองศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 เข้าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เช่าที่พิพาทจากโจทก์ จำเลยทั้งสองไม่ได้อุทธรณ์คัดค้าน ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องแย่งการครอบครองที่พิพาทจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้แย่งการครอบครองที่พิพาทจึงไม่อาจนำมาตรา 1375 มาใช้บังคับแก่คดีนี้ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5501/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องสัญญาเช่า, การแย่งการครอบครอง, และผลของการไม่วินิจฉัยประเด็นโดยศาลอุทธรณ์
จำเลยให้การแต่เพียงว่า โจทก์จะได้ครอบครองที่พิพาทหรือไม่ จำเลยไม่รับรองข้อต่อสู้ของจำเลยเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่แสดงชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ในเรื่องสิทธิครอบครองที่พิพาท จึงไม่มีประเด็นเรื่องอำนาจฟ้อง และแม้เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์เห็นไม่สมควรยกขึ้นวินิจฉัยก็ทำได้
บทบัญญัติแห่งประมวลแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 มิได้ให้ถือว่าสัญญาเช่าที่มีกำหนดระยะเวลาเกินกว่าสามปีเป็นโมฆะ เมื่อฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ให้เช่าและมีหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 หรือไม่ ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยให้จำเลยทั้งสองจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ย้อนสำนวน และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องแย่งการครอบครองศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2เข้าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เช่าที่พิพาทจากโจทก์ จำเลยทั้งสองไม่ได้อุทธรณ์คัดค้าน ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องแย่งการครอบครองที่พิพาทจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้แย่งการครอบครองที่พิพาท จึงไม่อาจนำมาตรา 1375 มาใช้บังคับแก่คดีนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5332/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินพิพาท: ศาลต้องสืบพยานเพื่อพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่แท้จริงก่อนตัดสิน
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยอ้างว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินน.ส.3 ก. เลขที่ 1206 ของโจทก์ซึ่งซื้อจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดิน น.ส.3 ก.เลขที่ 993 ซึ่งจำเลยซื้อจากเจ้าของที่ดินเดิมและครอบครองต่อจากเจ้าของที่ดินเดิม น.ส.3 ก. ของโจทก์ออกภายหลัง เฉพาะตรงที่พิพาททับที่ดินจำเลย โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองที่พิพาท โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองซึ่งหมายความว่า ที่ดินตาม น.ส.3 ก. ของจำเลยเป็น น.ส.3 ก. ที่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เคยมีการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล โจทก์จะอ้างสิทธิว่าเป็นที่ดินที่โจทก์ซื้อมาจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลไม่ได้ ซึ่งโจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าน.ส.3ก.ของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะออกทับ น.ส.3ก. ของโจทก์ข้อเท็จจริงยังไม่เป็นที่ยุติทางใดทางหนึ่ง และตามฟ้องโจทก์ไม่ได้กล่าวหาว่าจำเลยรู้ถึงการขายทอดตลาดที่ดินน.ส.3ก.ของโจทก์ ซึ่งมีอาณาเขตมาทับที่ดินตาม น.ส.3ก.ของจำเลย จำเลยจึงไม่ได้ไปร้องขัดทรัพย์หรือไปคัดค้านการขายทอดตลาด อันเป็นเรื่องที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายเสียก่อน การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วฟังว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาทจึงไม่ชอบ
จำเลยขอเพิ่มประเด็นว่า ที่พิพาทได้มาโดยสุจริตหรือไม่เพียงใดปรากฏว่าจำเลยให้การไว้ตอนแรกว่า "โจทก์บกพร่องไม่สืบเรื่องราวก่อนซื้อว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ชอบที่จะไปร้องขอคืนเงินจากกองพิทักษ์ทรัพย์..."ซึ่งหมายความว่าโจทก์ไม่ทราบว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยชอบ เพราะความบกพร่องของโจทก์ที่ไม่สืบเรื่องราวก่อนซื้อ แต่ในตอนต่อมาจำเลยกล่าวในคำให้การว่า "โจทก์ทราบดีว่าที่ดินเป็นของจำเลยโดยชอบ โจทก์ได้ร้องต่อผู้อำนวยการกองพิทักษ์ทรัพย์บังคับคดีล้มละลาย กรมบังคับคดีให้กันค่าขายที่ดินไว้ก่อน..." จึงเป็นคำให้การที่ขัดกันเองในตัวไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จำเลยจึงไม่มีประเด็นที่จะสืบในเรื่องความสุจริตของโจทก์ ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง ของจำเลยข้อนี้ชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5332/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินทับซ้อน: ศาลต้องสืบพยานทั้งสองฝ่ายเพื่อพิสูจน์สิทธิที่แท้จริงก่อนพิพากษา
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยอ้างว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินน.ส.3ก. เลขที่ 1206 ของโจทก์ซึ่งซื้อจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดิน น.ส.3ก.เลขที่ 993 ซึ่งจำเลยซื้อจากเจ้าของที่ดินเดิมและครอบครองต่อจากเจ้าของที่ดินเดิม น.ส.3ก. ของโจทก์ออกภายหลัง เฉพาะตรงที่พิพาททับที่ดินจำเลย โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองที่พิพาท โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองซึ่งหมายความว่า ที่ดินตาม น.ส.3 ก. ของจำเลยเป็น น.ส.3ก. ที่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เคยมีการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล โจทก์จะอ้างสิทธิว่าเป็นที่ดินที่โจทก์ซื้อมาจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลไม่ได้ ซึ่งโจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าน.ส.3ก.ของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะออกทับ น.ส.3ก. ของโจทก์ข้อเท็จจริงยังไม่เป็นที่ยุติทางใดทางหนึ่ง และตามฟ้องโจทก์ไม่ได้กล่าวหาว่าจำเลยรู้ถึงการขายทอดตลาดที่ดินน.ส.3ก.ของโจทก์ ซึ่งมีอาณาเขตมาทับที่ดินตาม น.ส.3ก.ของจำเลย จำเลยจึงไม่ได้ไปร้องขัดทรัพย์หรือไปคัดค้านการขายทอดตลาด อันเป็นเรื่องที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายเสียก่อน การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วฟังว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาทจึงไม่ชอบ จำเลยขอเพิ่มประเด็นว่า ที่พิพาทได้มาโดยสุจริตหรือไม่เพียงใดปรากฏว่าจำเลยให้การไว้ตอนแรกว่า "โจทก์บกพร่องไม่สืบเรื่องราวก่อนซื้อว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ชอบที่จะไปร้องขอคืนเงินจากกองพิทักษ์ทรัพย์..."ซึ่งหมายความว่าโจทก์ไม่ทราบว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยชอบ เพราะความบกพร่องของโจทก์ที่ไม่สืบเรื่องราวก่อนซื้อ แต่ในตอนต่อมาจำเลยกล่าวในคำให้การว่า "โจทก์ทราบดีว่าที่ดินเป็นของจำเลยโดยชอบ โจทก์ได้ร้องต่อผู้อำนวยการกองพิทักษ์ทรัพย์บังคับคดีล้มละลาย กรมบังคับคดีให้กันค่าขายที่ดินไว้ก่อน..." จึงเป็นคำให้การที่ขัดกันเองในตัวไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จำเลยจึงไม่มีประเด็นที่จะสืบในเรื่องความสุจริตของโจทก์ ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง ของจำเลยข้อนี้ชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5177/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งมรดก ผู้จัดการมรดกมีหน้าที่แบ่งทรัพย์ให้ทายาทตามส่วน การวินิจฉัยอายุความของผู้จัดการมรดก
โจทก์ฟ้องกองมรดกของผู้ตายโดย นายส.นายอ.นายช.ผู้จัดการมรดกและบรรยายฟ้องว่า ศาลแต่งตั้งให้บุคคลทั้งสามเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายโจทก์ทวงถามให้แบ่งมรดกของผู้ตายให้แก่โจทก์แต่จำเลยไม่แบ่งทรัพย์มรดกให้ ถือได้ว่าโจทก์ฟ้องบุคคลทั้งสามดังกล่าวในฐานะผู้จัดการมรดก ศาลย่อมบังคับให้ได้ โจทก์มีอำนาจฟ้อง จำเลยมิได้ให้การโดยชัดแจ้งว่าคดีโจทก์ขาดอายุความเพราะเป็นคดีเกี่ยวกับการจัดการมรดกซึ่งจะต้องฟ้องเรียกเสียภายในห้าปีนับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1733 วรรคสอง การที่จำเลยระบุว่าโจทก์ฟ้องคดีเกินหนึ่งปีคดีจึงขาดอายุความนั้น ถือได้ว่าอายุความที่จำเลยอ้างถึงคืออายุความตา:มมาตรา 1755 มิใช่มาตรา 1733 วรรคสอง จึงมีประเด็นวินิจฉัยเฉพาะอายุความหนึ่งปีตามมาตรา 1754 เพียงอย่างเดียวที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความตามมาตรา 1733วรรคสอง และพิพากษายกฟ้องของโจทก์จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นไม่:ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 4291/2529) โจทก์ฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกจากจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย จำเลยตกอยู่ในฐานะผู้ครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาททั้งหลายเท่านั้น จำเลยไม่อาจจะยกอายุความมรดกตามมาตรา 1754 ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ ผู้ตายและ ล. เป็นสามีภริยากันก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 เดิมใช้บังคับ โดยไม่มีสินเดิมทั้งสองฝ่าย ผู้ตายจึงมีส่วนในสินสมรสสองในสามส่วนซึ่งตกเป็นมรดกแก่ทายาท โจทก์เป็นทายาทและมีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตาย การที่จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายให้ทายาทอื่นโดยไม่แบ่งปันให้โจทก์ตามส่วน เป็นการแบ่งปันที่มิชอบด้วยกฎหมายโจทก์ชอบที่จะขอให้แบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายใหม่ได้ จำเลยจะอ้างว่าได้แบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายให้ทายาทอื่น..................... ....................................................จนหมดสิ้นแล้ว ไม่มีทรัพย์มรดกอื่นใดที่จะแบ่งปันให้โจทก์อีกหาได้ไม่ วิธีการดำเนินการแบ่งทรัพย์มรดกตามฟ้องกันอย่างไรเป็นเรื่องของการบังคับคดี ไม่จำเป็นต้องกำหนดไว้ในคำพิพากษา.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5177/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจัดการมรดก: สิทธิทายาท, อายุความ, และการแบ่งทรัพย์สินโดยชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องกองมรดกของผู้ตายโดย นายส. นายอ. นายช.ผู้จัดการมรดกและบรรยายฟ้องว่า ศาลแต่งตั้งให้บุคคลทั้งสามเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายโจทก์ทวงถามให้แบ่งมรดกของผู้ตายให้แก่โจทก์แต่จำเลยไม่แบ่งทรัพย์มรดกให้ ถือได้ว่าโจทก์ฟ้องบุคคลทั้งสามดังกล่าวในฐานะผู้จัดการมรดก ศาลย่อมบังคับให้ได้ โจทก์มีอำนาจฟ้อง
จำเลยมิได้ให้การโดยชัดแจ้งว่าคดีโจทก์ขาดอายุความเพราะเป็นคดีเกี่ยวกับการจัดการมรดกซึ่งจะต้องฟ้องเรียกเสียภายในห้าปีนับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1733 วรรคสอง การที่จำเลยระบุว่าโจทก์ฟ้องคดีเกินหนึ่งปีคดีจึงขาดอายุความนั้น ถือได้ว่าอายุความที่จำเลยอ้างถึงคืออายุความตา:มมาตรา 1755 มิใช่มาตรา 1733 วรรคสอง จึงมีประเด็นวินิจฉัยเฉพาะอายุความหนึ่งปีตามมาตรา 1754 เพียงอย่างเดียวที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความตามมาตรา 1733วรรคสอง และพิพากษายกฟ้องของโจทก์จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นไม่:ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 4291/2529)
โจทก์ฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกจากจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย จำเลยตกอยู่ในฐานะผู้ครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาททั้งหลายเท่านั้น จำเลยไม่อาจจะยกอายุความมรดกตามมาตรา 1754 ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้
ผู้ตายและ ล. เป็นสามีภริยากันก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 เดิมใช้บังคับ โดยไม่มีสินเดิมทั้งสองฝ่าย ผู้ตายจึงมีส่วนในสินสมรสสองในสามส่วนซึ่งตกเป็นมรดกแก่ทายาท
โจทก์เป็นทายาทและมีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตาย การที่จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายให้ทายาทอื่นโดยไม่แบ่งปันให้โจทก์ตามส่วน เป็นการแบ่งปันที่มิชอบด้วยกฎหมายโจทก์ชอบที่จะขอให้แบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายใหม่ได้ จำเลยจะอ้างว่าได้แบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายให้ทายาทอื่น..................... ....................................................จนหมดสิ้นแล้ว ไม่มีทรัพย์มรดกอื่นใดที่จะแบ่งปันให้โจทก์อีกหาได้ไม่
วิธีการดำเนินการแบ่งทรัพย์มรดกตามฟ้องกันอย่างไรเป็นเรื่องของการบังคับคดี ไม่จำเป็นต้องกำหนดไว้ในคำพิพากษา.
of 49