คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 ม. 54

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 67 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 896/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดตัดฟันไม้หวงห้ามและการครอบครองไม้หวงห้ามเป็นคนละกรรมกัน แม้ไม้ยังไม่ถูกเคลื่อนย้าย
การตัดฟันไม้หวงห้ามกับการมีไม้หวงห้ามไว้ในความครอบครองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน. แม้จะยังมิได้เคลื่อนย้าย ไม้หวงห้ามนั้นจากที่ได้ตัดฟันไปไว้ที่อื่นก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1486/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ การอ้างหนังสืออนุญาตจากนายกรัฐมนตรีหลังเกิดเหตุไม่เป็นเหตุให้พ้นผิด
จำเลยร่วมกันเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินเขตป่าสงวนแห่งชาติและอ้างว่ามีหนังสือของนายกรัฐมนตรีที่สั่งให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติเรื่องราษฎรเข้าทำกินในที่ป่าสงวนแห่งชาติ ทำให้จำเลยหลุดพ้นจากการกระทำผิด เมื่อจำเลยทราบข้อความตามหนังสือของนายกรัฐมนตรีหลังที่เกิดเหตุคดีนี้แล้ว จำเลยจึงไม่อาจอ้างได้ว่าจำเลยเชื่อโดยสุจริตใจตามหนังสือฉบับนั้นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด การที่หนังสือดังกล่าวไม่ให้เอาผิดราษฎรที่เข้าทำไร่นาในป่าสงวนอยู่ก่อนแล้ว และถ้าถูกเจ้าหน้าที่จับกุมคุมขังไว้ก็ให้ปล่อยตัวไปนั้น เป็นเรื่องของฝ่ายบริหาร จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินเขตป่าสงวนแห่งชาติจำเลยฎีกาว่า ถ้าศาลฎีกาจะลงโทษจำเลยก็ขอให้รอการลงโทษนั้น เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1486/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดครองป่าสงวนแห่งชาติ แม้มีหนังสืออนุญาตจากนายกฯ แต่ทราบหลังเกิดเหตุ จึงไม่อาจอ้างความสุจริตได้
จำเลยร่วมกันเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินเขตป่าสงวนแห่งชาติ และอ้างว่ามีหนังสือของนายกรัฐมนตรีที่สั่งให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติเรื่องราษฎรเข้าทำกินในที่ป่าสงวนแห่งชาติ ทำให้จำเลยหลุดพ้นจากการกระทำผิด เมื่อจำเลยทราบข้อความตามหนังสือของนายกรัฐมนตรีหลังที่เกิดเหตุคดีนี้แล้ว จำเลยจึงไม่อาจอ้างได้ว่าจำเลยเชื่อโดยสุจริตใจตามหนังสือฉบับนั้นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด การที่หนังสือดังกล่าวไม่ให้เอาผิดราษฎรที่เข้าทำไร่นาในป่าสงวนอยู่ก่อนแล้ว และถ้าถูกเจ้าหน้าที่จับกุมคุมขังไว้ก็ให้ปล่อยตัวไปนั้น เป็นเรื่องของฝ่ายบริหาร จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำเลยฎีกาว่า ถ้าศาลฎีกาจะลงโทษจำเลยก็ขอให้รอการลงโทษนั้น เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 339/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษผู้ใช้หรือผู้สนับสนุนการกระทำความผิดบุกรุกป่า และการจำกัดขอบเขตการลงโทษตามฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยตัดฟันไม้ แผ้วถางป่า ฯลฯ แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิด ดังนี้ จะลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้ใช้ไม่ได้คงลงโทษได้เพียงเป็นผู้สนับสนุน
เมื่อโจทก์ไม่ด้บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 11 ก็จะลงโทษจำเลยตามมาตรานี้ตามคำขอท้ายฟ้องไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1536-1540/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขโทษปรับและคำขอให้ออกจากพื้นที่ป่าในคดีความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ ศาลอุทธรณ์แก้ไขเล็กน้อย ไม่ต้องฎีกา
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ปรับจำเลยเพียงแต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ยกคำขอที่สั่งให้จำเลยออกไปจากป่าที่จำเลยยึดถือครอบครองเสียเท่านั้น คำขอส่วนนี้เป็นวิธีการอุปกรณ์ของโทษ ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484มาตรา 72 ตรี ซึ่งศาลมีอำนาจใช้ ดุลพินิจสั่งได้ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ข้อนี้ย่อมถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อย
ศาลอุทธรณ์มิได้แก้บทความผิดเพียงแต่แก้โทษปรับให้ต่ำกว่าที่ศาลชั้นต้นลงไว้ และมิได้วางโทษจำคุกแล้วรอไว้ดังที่ศาลชั้นต้นพิพากษา กับแก้ในข้อที่ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยออกไปจากป่าที่จำเลยยึดถือครอบครองเป็นให้ยกเสีย ดังนี้ เป็นเพียงการแก้ไขเล็กน้อย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1536-1540/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขโทษปรับและคำขอให้จำเลยออกจากพื้นที่ป่าในคดีครอบครองป่าโดยไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์แก้ไขเล็กน้อย ฎีกาไม่รับ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ปรับจำเลยเพียงแต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ยกคำขอที่สั่งให้จำเลยออกไปจากป่าที่จำเลยยึดถือครอบครองเสียเท่านั้น คำขอส่วนนี้เป็นวิธีการอุปกรณ์ของโทษ ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 72 ตรี ซึ่งศาลมีอำนาจใช้ ดุลพินิจสั่งได้ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ข้อนี้ย่อมถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อย
ศาลอุทธรณ์มิได้แก้บทความผิดเพียงแต่แก้โทษปรับให้ต่ำกว่าที่ศาลชั้นต้นลงไว้ และมิได้วางโทษจำคุกแล้วรอไว้ดังที่ศาลชั้นต้นพิพากษา กับแก้ในข้อที่ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยออกไปจากป่าที่จำเลยยึดถือครอบครองเป็นให้ยกเสีย ดังนี้ เป็นเพียงการแก้ไขเล็กน้อย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1220/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกป่า: ที่รกร้างว่างเปล่าถือเป็นป่าตามกฎหมาย แม้ขึ้นทะเบียนสาธารณะประโยชน์
ที่พิพาทไม่ใช่เป็นที่ดินของจำเลย แต่เป็นที่รกร้างว่างเปล่า ย่อมต้องถือว่าเป็นป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4(1) เมื่อจำเลยเข้าทำการแผ้วถางป่านั้นซึ่งยังไม่เคยถูกแผ้วถางมาก่อน และเข้าไปยึดถือครอบครองที่ป่านั้นโดยมิได้รับอนุญาตย่อมต้องมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54,72 ตรี ตามที่มีแก้ไขเพิ่มเติมและประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 แม้โจทก์จะได้กล่าวในฟ้องว่าที่พิพาทนี้เป็นที่ดินซึ่งทางราชการสงวนไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ด้วย ข้อนี้ก็มิใช่องค์ประกอบความผิดของบทกฎหมายดังกล่าว การขึ้นทะเบียนที่ดินนี้ไว้เป็นที่สาธารณะประจำหมู่บ้านจะได้กระทำไปโดยถูกต้องครบถ้วนหรือไม่จึงไม่ใช่ข้อสำคัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1862-1863/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาในการกระทำความผิดทางอาญา: การครอบครองที่ดินโดยสุจริตและพฤติการณ์ที่ทำให้เข้าใจผิด
จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทถึง 30 ปี ได้เสียภาษีบำรุงท้องที่และได้รับ น.ส.3. ต่อมาทางราชการได้รังวัดปักหลักเขตทำเลเลี้ยงสัตว์สาธารณะ จำเลยได้ฟ้องเจ้าพนักงานเป็นคดีแพ่ง เมื่อทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน จำเลยยอมรับว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ และฝ่ายเจ้าพนักงานยินยอมให้จำเลยครอบครองที่พิพาทไปก่อน โดยจะดำเนินการให้ทางราชการถอนสภาพที่พิพาทนั้น เปิดโอกาสให้จำเลยจับจองครอบครองที่พิพาท แม้จะยังมิได้มีพระราชกฤษฎีกาให้เพิกถอนที่ดินดังกล่าวก็ตาม ก็เป็นพฤติการณ์ที่ทำให้จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าจำเลยเข้าครอบครองโดยชอบ หาได้จงใจฝ่าฝืนกฎหมายไม่ จึงขาดเจตนาอันเป็นองค์ประกอบความผิดทางอาญา จำเลยไม่มีความผิด (อ้างฎีกาที่ 1462/2509)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1862-1863/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาในการครอบครองที่ดินสาธารณประโยชน์ หากเข้าใจโดยสุจริต ย่อมไม่มีความผิดทางอาญา
จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทถึง 30 ปี ได้เสียภาษีบำรุงท้องที่และได้รับ น.ส.3. ต่อมาทางราชการได้รังวัดปักหลักเขตทำเลเลี้ยงสัตว์สาธารณะ. จำเลยได้ฟ้องเจ้าพนักงานเป็นคดีแพ่ง. เมื่อทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน จำเลยยอมรับว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ และฝ่ายเจ้าพนักงานยินยอมให้จำเลยครอบครองที่พิพาทไปก่อน. โดยจะดำเนินการให้ทางราชการถอนสภาพที่พิพาทนั้น เปิดโอกาสให้จำเลยจับจองครอบครองที่พิพาท. แม้จะยังมิได้มีพระราชกฤษฎีกาให้เพิกถอนที่ดินดังกล่าวก็ตาม.ก็เป็นพฤติการณ์ที่ทำให้จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าจำเลยเข้าครอบครองโดยชอบ หาได้จงใจฝ่าฝืนกฎหมายไม่. จึงขาดเจตนาอันเป็นองค์ประกอบความผิดทางอาญา. จำเลยไม่มีความผิด.(อ้างฎีกาที่ 1462/2509).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1862-1863/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินสาธารณประโยชน์โดยสุจริตและต่อเนื่อง ย่อมไม่มีความผิดอาญา
จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทถึง 30 ปี ได้เสียภาษีบำรุงท้องที่และได้รับ น.ส.3 ต่อมาทางราชการได้รังวัดปักหลักเขตทำเลเลี้ยงสัตว์สาธารณะ จำเลยได้ฟ้องเจ้าพนักงานเป็นคดีแพ่ง เมื่อทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน จำเลยยอมรับว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ และฝ่ายเจ้าพนักงานยินยอมให้จำเลยครอบครองที่พิพาทไปก่อน โดยจะดำเนินการให้ทางราชการถอนสภาพที่พิพาทนั้น เปิดโอกาสให้จำเลยจับจองครอบครองที่พิพาท แม้จะยังมิได้มีพระราชกฤษฎีกาให้เพิกถอนที่ดินดังกล่าวก็ตาม ก็เป็นพฤติการณ์ที่ทำให้จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าจำเลยเข้าครอบครองโดยชอบ หาได้จงใจฝ่าฝืนกฎหมายไม่ จึงขาดเจตนาอันเป็นองค์ประกอบความผิดทางอาญา จำเลยไม่มีความผิด (อ้างฎีกาที่ 1462/2507)
of 7