คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 18

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 511 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8256/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อน, สัญญาประนีประนอมยอมความ, อายุความ, อำนาจฟ้อง, สิทธิเรียกร้อง
โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีแต่ไม่ชำระค่าขึ้นศาลภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีมีคำสั่งไม่รับ โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ยื่นอุทธรณ์คัดค้าน คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์การที่โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 มายื่นฟ้องจำเลยคดีนี้ต่อศาลแพ่งในระหว่างที่คดีก่อนค้างพิจารณาอยู่ในศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามมิให้ฟ้องตาม ป.วิ.พ.มาตรา 173วรรคสอง
จำเลยเป็นทายาทและผู้จัดการมรดกของ พ. ตกลงกับ ล.โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 และ พ.เพื่อแบ่งที่พิพาทส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกของ พ.ออกไปเพื่อจะนำไปแบ่งให้แก่ทายาท พ.ต่อไป จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของ พ.จึงมีสิทธิทำสัญญาดังกล่าวได้ เมื่อคู่กรณีมีเจตนาทำสัญญาขึ้นเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างกันอันอาจมีขึ้นในภายหน้าให้เสร็จไป จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ.มาตรา 850จำเลยต้องผูกพันตามสัญญาดังกล่าวทั้งในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้ปกครองผู้เยาว์ทั้งสอง
โจทก์ที่ 1 ฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 168เดิม
แม้ พ.จะมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นก็เป็นเรื่องที่ พ.จะต้องเรียกร้องจากจำเลยเอง โจทก์ที่ 1 ไม่มีสิทธิเรียกร้องแทน พ.และเมื่อฟ้องโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นฟ้องซ้อน จึงไม่อาจบังคับให้จำเลยแบ่งทรัพย์ให้โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ได้
การที่ศาลยกฟ้องโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ในเรื่องเกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ยกขึ้นอ้างอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่ามีอยู่จริงหรือไม่ จึงสมควรไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 148 (3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8252/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อน, สัญญาประนีประนอมยอมความ, อายุความ, อำนาจฟ้อง, การเรียกร้องสิทธิ
โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีแต่ไม่ชำระค่าขึ้นศาลภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีมีคำสั่งไม่รับ โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ยื่นอุทธรณ์คัดค้าน คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์การที่โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 มายื่นฟ้องจำเลยคดีนี้ต่อศาลแพ่งในระหว่างที่คดีก่อนค้างพิจารณาอยู่ในศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามมิให้ฟ้องตาม ป.วิ.พ.มาตรา 173วรรคสอง
จำเลยเป็นทายาทและผู้จัดการมรดกของ พ. ตกลงกับ ล.โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 และ พ.เพื่อแบ่งที่พิพาทส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกของ พ.ออกไปเพื่อจะนำไปแบ่งให้แก่ทายาท พ.ต่อไป จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของ พ.จึงมีสิทธิทำสัญญาดังกล่าวได้ เมื่อคู่กรณีมีเจตนาทำสัญญาขึ้นเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างกันอันอาจมีขึ้นในภายหน้าให้เสร็จไป จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ.มาตรา 850จำเลยต้องผูกพันตามสัญญาดังกล่าวทั้งในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้ปกครองผู้เยาว์ทั้งสอง
โจทก์ที่ 1 ฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 168เดิม
แม้ พ.จะมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นก็เป็นเรื่องที่ พ.จะต้องเรียกร้องจากจำเลยเอง โจทก์ที่ 1 ไม่มีสิทธิเรียกร้องแทน พ.และเมื่อฟ้องโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นฟ้องซ้อน จึงไม่อาจบังคับให้จำเลยแบ่งทรัพย์ให้โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ได้
การที่ศาลยกฟ้องโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ในเรื่องเกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ยกขึ้นอ้างอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่ามีอยู่จริงหรือไม่ จึงสมควรไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 148 (3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8252/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อน สัญญาประนีประนอมยอมความ อายุความ และการแบ่งทรัพย์สินมรดก
โจทก์ที่2ถึงที่4ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีแต่ไม่ชำระค่าขึ้นศาลภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนดศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีมีคำสั่งไม่รับโจทก์ที่2ถึงที่4ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์การที่โจทก์ที่2ถึงที่4มายื่นฟ้องจำเลยคดีนี้ต่อศาลแพ่งในระหว่างที่คดีก่อนค้างพิจารณาอยู่ในศาลอุทธรณ์จึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา173วรรคสอง จำเลยเป็นทายาทและผู้จัดการมรดกของพ. ตกลงกับล.โจทก์ที่2ถึงที่4และพ. เพื่อแบ่งที่พิพาทส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกของพ. ออกไปเพื่อจะนำไปแบ่งให้แก่ทายาทพ.ต่อไปจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของพ. จึงมีสิทธิทำสัญญาดังกล่าวได้เมื่อคู่กรณีมีเจตนาทำสัญญาขึ้นเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างกันอันอาจมีขึ้นในภายหน้าให้เสร็จไปจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา850จำเลยต้องผูกพันตามสัญญาดังกล่าวทั้งในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้ปกครองผู้เยาว์ทั้งสอง โจทก์ที่1ฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความจึงมีอายุความ10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา168เดิม แม้พ. จะมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นก็เป็นเรื่องที่พ. จะต้องเรียกร้องจากจำเลยเองโจทก์ที่1ไม่มีสิทธิเรียกร้องแทนพ. และเมื่อฟ้องโจทก์ที่2ถึงที่4เป็นฟ้องซ้อนจึงไม่อาจบังคับให้จำเลยแบ่งทรัพย์ให้โจทก์ที่2ถึงที่4ได้ การที่ศาลยกฟ้องโจทก์ที่2ถึงที่4ในเรื่องเกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่โจทก์ที่2ถึงที่4ยกขึ้นอ้างอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่ามีอยู่จริงหรือไม่จึงสมควรไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148(3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7254/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องไม่เคลือบคลุม แม้เอกสารท้ายฟ้องเป็นภาษาต่างประเทศ จำเลยมีหน้าที่ชำระเงินเมื่อติดตั้งเครื่องปรับสภาพน้ำแล้ว
คำฟ้องของโจทก์บรรยายมาเป็นภาษาไทยชัดแจ้งแล้วเกี่ยวกับการซื้อเครื่องปรับสภาพน้ำการติดตั้งและการชำระราคาจำเลยย่อมเข้าใจได้ดีกฎหมายไม่ได้บังคับให้ต้องส่งเอกสารมาท้ายคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา18โจทก์อาจอ้างเอกสารเป็นพยานเมื่อจำเลยปฏิเสธและมีการสืบพยานแม้โจทก์จะไม่ได้ทำคำแปลเอกสารท้ายฟ้องเป็นภาษาไทยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา46วรรคสามบัญญัติไว้แต่เพียงว่าให้ศาลสั่งให้คู่ความที่ส่งทำคำแปลแนบไว้กับต้นฉบับเท่านั้นฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม จำเลยซื้อเครื่องปรับสภาพน้ำจากโจทก์และชำระราคาบางส่วนเมื่อโจทก์ติดตั้งให้จำเลยเรียบร้อยแล้วโดยไม่ได้ผิดสัญญาจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระเงินส่วนที่เหลือให้แก่โจทก์ส่วนเครื่องปรับสภาพน้ำที่โจทก์ติดตั้งให้นั้นมีความชำรุดบกพร่องซึ่งโจทก์ต้องแก้ไขให้ตามสัญญานั้นเป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องดำเนินการตามข้อสัญญาที่มีอยู่อีกส่วนหนึ่งจะอ้างมาเป็นเหตุไม่ยอมชำระเงินให้โจทก์หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7254/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เอกสารประกอบฟ้องไม่เคลือบคลุม & หน้าที่ชำระราคาตามสัญญา แม้มีข้อบกพร่อง
คำฟ้องของโจทก์บรรยายมาเป็นภาษาไทยชัดแจ้งแล้วเกี่ยวกับการซื้อเครื่องปรับสภาพน้ำ การติดตั้งและการชำระราคา จำเลยย่อมเข้าใจได้ดีกฎหมายไม่ได้บังคับให้ต้องส่งเอกสารมาท้ายคำฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18โจทก์อาจอ้างเอกสารเป็นพยานเมื่อจำเลยปฏิเสธและมีการสืบพยาน แม้โจทก์จะไม่ได้ทำคำแปลเอกสารท้ายฟ้องเป็นภาษาไทย ป.วิ.พ. มาตรา 46 วรรคสามบัญญัติไว้แต่เพียงว่า ให้ศาลสั่งให้คู่ความที่ส่งทำคำแปลแนบไว้กับต้นฉบับเท่านั้นฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
จำเลยซื้อเครื่องปรับสภาพน้ำจากโจทก์และชำระราคาบางส่วนเมื่อโจทก์ติดตั้งให้จำเลยเรียบร้อยแล้วโดยไม่ได้ผิดสัญญา จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระเงินส่วนที่เหลือให้แก่โจทก์ ส่วนเครื่องปรับสภาพน้ำที่โจทก์ติดตั้งให้นั้นมีความชำรุดบกพร่อง ซึ่งโจทก์ต้องแก้ไขให้ตามสัญญานั้น เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องดำเนินการตามข้อสัญญาที่มีอยู่อีกส่วนหนึ่ง จะอ้างมาเป็นเหตุไม่ยอมชำระเงินให้โจทก์หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6916/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายระยะเวลายื่นคำให้การที่ไม่ถูกต้อง และผลกระทบต่อกระบวนการพิจารณา
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การโดยขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การให้แก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 ด้วย แต่คำร้องดังกล่าวระบุชัดว่าเป็นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การของจำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียว มิใช่เป็นกรณีที่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การโดยมิได้แต่งทนายความให้ถูกต้องอันจะต้องพิจารณาบทบัญญัติแห่งป.วิ.พ. มาตรา 18 และมิใช่กรณีที่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 จะพึงให้สัตยาบันในภายหลังได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องของจำเลยที่ 2 ให้ขยายระยะเวลายื่นคำให้การให้แก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 ด้วย และมีคำสั่งรับคำให้การของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 เป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้อง ทั้งตามพฤติการณ์ยังไม่อาจถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้ใช้ดุลพินิจอันเป็นอำนาจของศาลเองอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำให้การ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งรับคำให้การและสั่งไม่รับคำให้การของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 เนื่องจากมิได้ยื่นคำให้การภายในกำหนด 15 วัน ตามกฎหมาย จึงเท่ากับศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวทั้งหมด ซึ่งในกรณีนี้โจทก์มิได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ และการที่โจทก์ยื่นคำร้อง ขอให้ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยที่ 3 ถึงที่ 11ขาดนัดยื่นคำให้การ ก็มิใช่ข้อค้านเรื่องผิดระเบียบอันจะต้องยกขึ้นกล่าวไม่ช้ากว่า8 วัน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคสอง แต่เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบโดยอาศัยอำนาจของศาลเอง ตามมาตรา 27 วรรคแรกซึ่งไม่อยู่ในบังคับของระยะเวลา 8 วัน ตามมาตรา 27 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6916/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายระยะเวลายื่นคำให้การที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และผลกระทบต่อการดำเนินคดี
จำเลยที่2ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การโดยขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การให้แก่จำเลยที่3ถึงที่11ด้วยแต่คำร้องดังกล่าวระบุชัดว่าเป็นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การของจำเลยที่2แต่เพียงผู้เดียวมิใช่เป็นกรณีที่จำเลยที่3ถึงที่11ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การโดยมิได้แต่งทนายความให้ถูกต้องอันจะต้องพิจารณาบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา18และมิใช่กรณีที่จำเลยที่3ถึงที่11จะพึงให้สัตยาบันในภายหลังได้การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องของจำเลยที่2ให้ขยายระยะเวลายื่นคำให้การให้แก่จำเลยที่3ถึงที่11ด้วยและมีคำสั่งรับคำให้การของจำเลยที่3ถึงที่1เป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้องทั้งตามพฤติการณ์ยังไม่อาจถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้ใช้ดุลพินิจอันเป็นอำนาจของศาลเองอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา23จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งรับคำให้การและสั่งไม่รับคำให้การของจำเลยที่3ถึงที่11เนื่องจากมิได้ยื่นคำให้การภายในกำหนด15วันตามกฎหมายจึงเท่ากับกับศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวทั้งหมดซึ่งในกรณีนี้โจทก์มิได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบและการที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยที่3ถึงที่11ขาดนัดยื่นคำให้การก็มิใช่ข้อค้านเรื่องผิดระเบียบอันจะต้องยกขึ้นกล่าวไม่ช้ากว่า8วันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา27วรรคสองแต่เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบโดยอาศัยอำนาจของศาลเองตามมาตรา27วรรคแรกซึ่งไม่อยู่ในบังคับของระยะเวลา8วันตามมาตรา27วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6107/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของคนเสมือนไร้ความสามารถและการแก้ไขคำฟ้องให้สมบูรณ์ รวมถึงความรับผิดทางละเมิด
น.ผู้พิทักษ์ของ ด.คนเสมือนไร้ความสามารถไม่ใช่ผู้แทนของ ด.ไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทน เมื่อ น.เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยโดยเป็นผู้ลงชื่อแต่งทนายความและทนายความลงชื่อในคำฟ้องอันเป็นการที่ผู้พิทักษ์เป็นโจทก์ฟ้องคดีแทนคนเสมือนไร้ความสามารถโดยไม่ได้รับมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทนจาก ด. คำฟ้องของโจทก์จึงมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขตาม ป.พ.พ. มาตรา 35 เดิม เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำฟ้องของโจทก์ไว้ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็ได้ยื่นคำให้การแล้ว ซึ่งเป็นกรณีล่วงเลยการตรวจวินิจฉัยคำฟ้อง จึงนำ ป.วิ.พ. มาตรา 18 มาใช้บังคับไม่ได้เมื่อคดีไม่มีการชี้สองสถานโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องก่อนวันสืบพยานเป็นว่าด.ได้มอบให้ น.ฟ้องและดำเนินคดีแทนและได้รับความยินยอมจาก น.แล้ว และศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้อง จึงมีผลทำให้ฟ้องที่ไม่สมบูรณ์กลับเป็นฟ้องที่สมบูรณ์มาแต่เริ่มแรก โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ซึ่งเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถมอบอำนาจให้ น.ผู้พิทักษ์เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสาม จำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 ซึ่งนำเข้าร่วมกิจการขนส่งกับจำเลยที่ 3 โดยมีเครื่องหมายของจำเลยที่ 3 ติดอยู่ข้างตัวรถยนต์บรรทุกแล่นในซอยซึ่งเป็นถนนสายโทเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ที่โจทก์ขับอยู่ในถนนสายกลางซึ่งเป็นถนนสายเอกล้มลงโดยประมาทไม่ดูรถที่แล่นอยู่ในถนนสายกลาง เหตุเกิดทื่สี่แยกถนนสายกลางตัดกับถนนซอยในบริเวณการท่าเรือแห่งประเทศไทย เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัส คำฟ้องของโจทก์จึงแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
จำเลยที่ 3 ได้ว่าจ้างให้จำเลยที่ 2 เจ้าของหัวรถยนต์บรรทุกซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ลากตัวรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ของจำเลยที่ 3หรือนำเข้าร่วมในกิจการขนส่งสินค้าด้วยกัน จำเลยที่ 3 จึงมีฐานะเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ด้วย ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในเหตุละเมิดที่เกิดขึ้น
โจทก์ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้ นับแต่วันที่โจทก์ถูกออกจากงานจนถึงวันเกษียณอายุ เป็นการที่โจทก์เรียกค่าเสียหายเพื่อการที่โจทก์เสียความสามารถประกอบการงานสิ้นเชิงทั้งในเวลาปัจจุบันและในอนาคตตาม ป.พ.พ. มาตรา 444 วรรคหนึ่ง นั่นเองแต่โจทก์ถึงแก่กรรมในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวนับแต่โจทก์ถูกออกจากงานจนถึงวันที่โจทก์ถึงแก่กรรมเท่านั้น
เมื่อหนี้ตามคำฟ้องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้แม้จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจชี้ขาดให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 245 (1) ประกอบมาตรา 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5183/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ภาคหลังพ.ร.ก.กำหนดเขตศาล และการรับฟ้องแย้งที่เกี่ยวข้องกับสัญญาเช่า
ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนที่ตั้งเขตศาลและวันเปิดทำการของศาลอุทธรณ์ภาค(ฉบับที่2)พ.ศ.2536มาตรา4บัญญัติว่าบรรดาคดีทีได้อุทธรณ์ก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับให้ศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคแล้วแต่กรณีซึ่งคดีนั้นค้างพิจารณาอยู่คงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาต่อไปพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าวมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่29กรกฎาคม2536คดีนี้ปรากฎว่าจำเลยยื่นอุทธรณ์และศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยเมื่อวันที่26พฤษภาคม2536ก่อนพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าวมีผลใช้บังคับคดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลอุทธรณ์เท่านั้นศาลอุทธรณ์ภาค1ยังไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้ โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินโจทก์เพราะจำเลยประพฤติผิดสัญญาเช่าแต่จำเลยฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาว่าคำสั่งแต่งตั้งประธานกรรมการและผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นโมฆะเพราะขัดต่อมาตรา26แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทยพ.ศ.2494จึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมศาลล่างทั้งสองไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยส่วนนี้ชอบแล้วส่วนฟ้องแย้งที่จำเลยขอให้ศาลบังคับโจทก์ทำสัญญาให้จำเลยเช่าที่ดินโจทก์ต่อมีกำหนด3ปีนับแต่คำพิพากษาคดีนี้ถึงที่สุดและให้จำเลยมีสิทธิต่อสัญญาเช่าได้คราวละ3ปีตลอดไปนั้นเห็นพ้องแย้งที่กล่าวอ้างสัญญาเช่าเดิมที่่โจทก์ฟ้องฟ้องแย้งของจำเลยส่วนนี้จึงเกี่ยวกับฟ้องเดิมแต่ตามฟ้องแย้งของจำเลยนั้นแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ตามฟ้องแย้งศาลก็ไม่สามารถบังคับโจทก์ให้ทำสัญญาเช่าให้แก่จำเลยตามคำขอท้ายฟ้องแย้งได้ศาลชั้นต้นชอบที่จะยกฟ้องแย้งส่วนนี้เสียได้ในชั้นตรวจคำฟ้องแย้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา131(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5183/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องขับไล่และฟ้องแย้งเรื่องคำสั่งแต่งตั้งกรรมการ/ผู้ว่าการรถไฟฯ ศาลพิจารณาความเกี่ยวพันกับฟ้องเดิมและอำนาจบังคับสัญญา
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์เพราะจำเลยผิดสัญญาเช่าจำเลยฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาว่าคำสั่งแต่งตั้งประธานกรรมการและผู้ว่าการของโจทก์เป็นโมฆะจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมส่วนฟ้องแย้งที่ขอให้บังคับโจทก์ทำสัญญาให้จำเลยเช่าที่ดินต่อมีกำหนด3ปีและมีสิทธิต่อสัญญาได้คราวละ3ปีตลอดไปเป็นฟ้องแย้งที่กล่าวอ้างสัญญาเช่าเดิมจึงเกี่ยวกับฟ้องเดิมแต่แม้ฟังได้ตามฟ้องแย้งศาลก็ไม่สามารถบังคับโจทก์ให้ทำสัญญาเช่าให้แก่จำเลยได้โดยชอบที่จะยกฟ้องแย้งส่วนนี้ในชั้นตรวจคำฟ้องแย้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา131(2)การที่ศาลมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งและคืนค่าขึ้นศาลส่วนนี้แก่จำเลยจึงไม่ชอบ
of 52