คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 18

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 511 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 264/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำฟ้องหลังรับฟ้อง และความรับผิดของหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดในสัญญาเช่าซื้อ
ในชั้นยื่นคำฟ้อง แม้ทนายความ ซึ่ง อ.เป็นผู้แต่งตั้งให้เป็นทนายความของโจทก์จะได้ลงชื่อในคำฟ้องในฐานะโจทก์ โดยโจทก์มิได้มอบอำนาจให้ อ.ฟ้องจำเลยและดำเนินคดีแทนโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นได้ตรวจและมีคำสั่งรับฟ้องของโจทก์ไว้ และจำเลยได้ยื่นคำให้การแล้ว ซึ่งเป็นกรณีล่วงเลยชั้นตรวจรับฟ้อง จึงนำ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 มาใช้บังคับไม่ได้ เมื่อไม่มีการชี้สองสถาน โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องก่อนสืบวันพยานโจทก์เป็นว่ามอบอำนาจให้ อ.เป็นผู้ฟ้องและดำเนินคดีแทนโจทก์ ศาลย่อมมีอำนาจอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องได้ ซึ่งมีผลทำให้ฟ้องที่ไม่สมบูรณ์กลับเป็นฟ้องที่สมบูรณ์มาแต่เริ่มแรก ทั้งนี้อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 66 ซึ่งให้อำนาจศาลไว้ว่าถ้ามีผู้อ้างว่าเป็นผู้แทนของนิติบุคคลเมื่อศาลเห็นสมควรก็สอบสวนได้เป็นอำนาจที่กฎหมายให้ไว้แก่ศาลโดยกว้างขวางเมื่อใดศาลเห็นว่าผู้นั้นไม่มีอำนาจดังที่อ้างหรืออำนาจบกพร่อง ศาลย่อมมีอำนาจยกฟ้อง หรือมีคำพิพากษาหรือคำสั่งอย่างอื่นได้ตามที่เห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดได้เข้าทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์ในนามของห้างจำเลยที่ 1 โดยลงชื่อตนเองและประทับตราของห้างจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าเป็นการสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของจำเลยที่ 1 แล้ว ส่วนห้างจำเลยที่ 1 นั้น ได้ยอมชำระเงินค่าเช่าซื้อให้โจทก์ถึง 4 งวดโดยมิได้ท้วงติงแต่ประการใด จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อต่อโจทก์ เมื่อห้างจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อ จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์เป็นการส่วนตัวตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1088.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 225/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจตัวแทนและการรับผิดของตัวแทนและตัวการ กรณีทำสัญญาชดใช้ค่าเสียหาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ลูกจ้างจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ชนรถยนต์ชนรถยนต์ของโจทก์ และจำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนมาติดต่อตกลงเรื่องค่าเสียหาย จำเลยที่ 2 ในฐานะตัวแทนได้ทำบันทึกชดใช้ค่าซ่อมแซมรถยนต์ของโจทก์ อันเป็นการกระทำภายในขอบอำนาจที่จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้ โดยโจทก์มิได้กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำการไปโดยปราศจากอำนาจหรือทำนอกเหนือขอบอำนาจของตัวแทน ดังนี้ ไม่ใช่กรณีที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 823 วรรคสอง และตามคำฟ้องก็ไม่มีทางที่ศาลจะพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดได้ที่ศาลไม่รับฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 จึงชอบแล้ว
โจทก์ฎีกาขอให้รับฟ้องจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณา โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ไม่ใช่เสียตามจำนวนทุนทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 225/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตความรับผิดของตัวแทน: ศาลไม่รับฟ้องจำเลยที่ 2 หากโจทก์บรรยายฟ้องว่ามีการมอบอำนาจและทำสัญญาภายในอำนาจ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ลูกจ้างจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ชนรถยนต์ของโจทก์ และจำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนมาติดต่อตกลงเรื่องค่าเสียหาย จำเลยที่ 2 ในฐานะตัวแทนได้ทำบันทึกชดใช้ค่าซ่อมแซมรถยนต์ของโจทก์ อันเป็นการกระทำภายในขอบอำนาจที่จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้ โดยโจทก์มิได้กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำการไปโดยปราศจากอำนาจหรือทำนอกเหนือขอบอำนาจของตัวแทน ดังนี้ ไม่ใช่กรณีที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 823วรรคสอง และตามคำฟ้องก็ไม่มีทางที่ศาลจะพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดได้ที่ศาลไม่รับฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2จึงชอบแล้ว
โจทก์ฎีกาขอให้รับฟ้องจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณา โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ไม่ใช่เสียตามจำนวนทุนทรัพย์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4209/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งศาลยกคำร้องขอรับคำให้การหลังพ้นกำหนด ถือเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ไม่ใช่คำสั่งไม่รับคำคู่ความ จึงไม่อุทธรณ์ได้
จำเลยที่5ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งรับคำให้การอ้างเหตุว่าตนมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การพร้อมกับยื่นคำให้การมาด้วยโดยยื่นมาก่อนที่ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า'ขยายระยะเวลาไม่ได้เพราะการขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การต้องขอก่อนสิ้นระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา23จำเลยมายื่นวันนี้พ้นกำหนด8วันแล้วทั้งไม่ปรากฏเหตุสุดวิสัยให้ยกคำร้อง'คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งยกคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การมิใช่คำสั่งไม่รับคำให้การอันถือเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา18จึงเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณาก่อนที่ศาลชั้นต้นจะได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวในระหว่างพิจารณาคดีตามมาตรา226(1).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4209/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งศาลยกคำร้องขอรับคำให้การพ้นกำหนด ไม่ใช่คำสั่งไม่รับคำคู่ความ จึงไม่อุทธรณ์ได้
จำเลยที่ 5 ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งรับคำให้การอ้างเหตุว่าตนมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การพร้อมกับยื่นคำให้การมาด้วยโดยยื่นมาก่อนที่ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า "ขยายระยะเวลาไม่ได้เพราะการขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การต้องขอก่อนสิ้นระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 จำเลยมายื่นวันนี้พ้นกำหนด 8 วันแล้ว ทั้งไม่ปรากฏเหตุสุดวิสัย ให้ยกคำร้อง' คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งยกคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ มิใช่คำสั่งไม่รับคำให้การอันถือเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 จึงเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณาก่อนที่ศาลชั้นต้นจะได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวในระหว่างพิจารณาคดี ตามมาตรา 226(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4209/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งยกคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การพ้นกำหนด ไม่เป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความ ไม่อุทธรณ์ได้
จำเลยที่ 5 ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งรับคำให้การอ้างเหตุว่าตนมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การพร้อมกับยื่นคำให้การมาด้วย โดยยื่นมาก่อนที่ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า "ขยายระยะเวลาไม่ได้เพราะการขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การต้องขอก่อนสิ้นระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 จำเลยมายื่นวันนี้พ้นกำหนด 8 วันแล้ว ทั้งไม่ปรากฏเหตุสุดวิสัย ให้ยกคำร้อง' คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งยกคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ มิใช่คำสั่งไม่รับคำให้การอันถือเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 จึงเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณาก่อนที่ศาลชั้นต้นจะได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวในระหว่างพิจารณาคดี ตามมาตรา 226 (1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3139/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์ที่ถูกยึดขายทอดตลาด: ศาลมีอำนาจไต่สวนก่อนสั่ง
ผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมตามส่วนในทรัพย์ที่ถูกยึดมาขายทอดตลาดมีสิทธิร้องขอให้จ่ายเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 การร้องขอไม่มีกำหนดระยะเวลาไว้ ร้องขอภายหลังจากการขายทอดตลาดแล้วได้
ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้จ่ายเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินซึ่งผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยให้แก่ผู้ร้องตามส่วน ศาลชั้นต้นสั่งจ่ายเงินให้แก่ผู้ร้องโดยมิได้สอบถามโจทก์ก่อน ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านอ้างว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิร้อง ผู้ร้องไม่มีกรรมสิทธิ์ร่วมและเป็นหนี้ร่วม ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งจ่ายเงินให้แก่ผู้ร้อง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งโดยมิได้ยกคำร้องของผู้ร้อง แต่ให้ทำการไต่สวนคำร้องต่อไป ถือได้ว่าศาลชั้นต้นรับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณา และคำร้องของผู้ร้องไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องโดยไม่ต้องทำการไต่สวนก่อน เมื่อโจทก์คัดค้านคำร้อง ศาลชั้นต้นมีอำนาจทำการไต่สวนก่อนที่จะสั่งคำร้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 21 (4) คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งทำการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อคดีอยู่ระหว่างไต่สวนพิจารณาสั่งคำร้องของผู้ร้อง โจทก์ไม่มีสิทธิอุทธรณ์ขอให้ยกเลิกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ทำการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 (1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3139/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมในการรับเงินจากการขายทอดตลาด และอำนาจศาลในการไต่สวนคำร้อง
ผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมตามส่วนในทรัพย์ที่ถูกยึดมาขายทอดตลาดมีสิทธิร้องขอให้จ่ายเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา287การร้องขอไม่มีกำหนดระยะเวลาไว้ร้องขอภายหลังจากการขายทอดตลาดแล้วได้ ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้จ่ายเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินซึ่งผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยให้แก่ผู้ร้องตามส่วนศาลชั้นต้นสั่งจ่ายเงินให้แก่ผู้ร้องโดยมิได้สอบถามโจทก์ก่อนต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านอ้างว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องผู้ร้องไม่มีกรรมสิทธิ์ร่วมและเป็นหนี้ร่วมขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งจ่ายเงินให้แก่ผู้ร้องการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งโดยมิได้ยกคำร้องของผู้ร้องแต่ให้ทำการไต่สวนคำร้องต่อไปถือได้ว่าศาลชั้นต้นรับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณาและคำร้องของผู้ร้องไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องโดยไม่ต้องทำการไต่สวนก่อนเมื่อโจทก์คัดค้านคำร้องศาลชั้นต้นมีอำนาจทำการไต่สวนก่อนที่จะสั่งคำร้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา21(4)คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งทำการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเมื่อคดีอยู่ระหว่างไต่สวนพิจารณาสั่งคำร้องของผู้ร้องโจทก์ไม่มีสิทธิอุทธรณ์ขอให้ยกเลิกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ทำการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา226(1).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2679/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องแย้งในคำให้การ: ศาลต้องพิจารณา แม้ใช้แบบพิมพ์ไม่ถูกต้อง
จำเลยฟ้องแย้งและมีคำขอบังคับโจทก์รวมมาในคำให้การแม้ไม่ได้พิมพ์คำว่า 'และฟ้องแย้ง' ต่อจากคำว่า 'คำให้การ' ในแบบพิมพ์ก็ตาม ก็เป็นฟ้องแย้งตรงกับบทบัญญัติของมาตรา 177 วรรคสาม แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแล้ว ศาลแรงงานกลางมีหน้าที่ต้องตรวจฟ้องแย้งของจำเลยและมีคำสั่งตามที่พิจารณาเห็นสมควรว่าจะรับไว้พิจารณาต่อไปหรือไม่ การที่ศาลแรงงานกลางมิได้มีคำสั่งเสียในชั้นแรกที่จำเลยยื่นคำให้การและฟ้องแย้งดังกล่าว และมาวินิจฉัยในคำพิพากษาว่าจะรับพิจารณาฟ้องแย้งไม่ได้ เพราะมิได้ใช้แบบพิมพ์ให้ถูกต้องจึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2679/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟ้องแย้งในคำให้การ: ศาลต้องตรวจและสั่งรับก่อนวินิจฉัยคดี หากใช้แบบพิมพ์ไม่ถูกต้อง คำพิพากษาไม่ชอบ
จำเลยฟ้องแย้งและมีคำขอบังคับโจทก์รวมมาในคำให้การแม้ไม่ได้พิมพ์คำว่า'และฟ้องแย้ง'ต่อจากคำว่า'คำให้การ'ในแบบพิมพ์ก็ตามก็เป็นฟ้องแย้งตรงกับบทบัญญัติของมาตรา177วรรคสามแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแล้วศาลแรงงานกลางมีหน้าที่ต้องตรวจฟ้องแย้งของจำเลยและมีคำสั่งตามที่พิจารณาเห็นสมควรว่าจะรับไว้พิจารณาต่อไปหรือไม่การที่ศาลแรงงานกลางมิได้มีคำสั่งเสียในชั้นแรกที่จำเลยยื่นคำให้การและฟ้องแย้งดังกล่าวและมาวินิจฉัยในคำพิพากษาว่าจะรับพิจารณาฟ้องแย้งไม่ได้เพราะมิได้ใช้แบบพิมพ์ให้ถูกต้องจึงไม่ชอบ.
of 52