พบผลลัพธ์ทั้งหมด 511 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 101/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            อำนาจฟ้องจำเลยในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐ: คำสั่งผ่อนผันการจับกุมละเมิดสิทธิโจทก์
                        
                        โจทก์ฟ้องจำเลย 18 คน ศาลรับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 ถึง 17 สำหรับฟ้องจำเลยที่ 18 ให้ยกเสีย ตามาตรา 172 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโจทก์อุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำสั่งศาลชั้นต้นเป็นว่า ให้รับคำฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 18 ดังนี้ จำเลยที่ 18  ฎีกาได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 18 ซึ่งเป็นอธิบดีกรมตำรวจได้มีคำสั่งไปยังสถานีตำรวจท้องที่ให้ผ่อนผันการจับกุมจำเลยที่ 1 ถึงที่ 17 โดยให้แย่งรับส่งคนโดยสารทับบนเส้นทางซึ่งโจทก์เป็นผู้ได้รับอนุญาตจากทางการ ให้ประกอบการขนส่งประจำทางด้วยรถยนต์แต่ผู้เดียว เพื่อโจทก์แจ้งความขอให้ตำรวจจับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 17 มาดำเนินคดีตำรวจไม่ยอมดำเนินการให้เพราะจำเลยที่ 18 มีคำสั่งผ่อนผันการจับกุมจำเลยไว้ โจทก์จะได้ขอให้ศาลเรียกคำสั่งดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาต่อไป ดังนี้ เห็นไดว่าคำสั่งของจำเลยที่ 18 เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ ประกอบกับมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับคำสั่งของจำเลยที่โจทก์ขอให้เพิกถอนว่าเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 45
ฟ้องของโจทก์ดังกล่าวยืนยันโดยแจ้งชัดแล้วว่าจำเลยที่ 18 ซึ่งเป็นอธิบดีกรมตำรวจเป็นผู้ออกคำสั่ง สั่งว่าอย่างไร ถึงใคร และมีผู้ใดกระทำตามคำสั่งนั้นโดยแจ้งชัดแล้ว ไม่เคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องระบุชื่อจำเลยที่ 18 ว่า พ.ต.อ.ป.กรมตำรวจ และยังได้บรรยายฟ้องอีกว่า จำเลยที่ 18 ซึ่งเป็นอธิบดีกรมตำรวจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้ ถือได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 18 ในฐานะอธิบดีกรมตำรวจ หาใช่ฟ้องในฐานะส่วนตัวไม่
                                    โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 18 ซึ่งเป็นอธิบดีกรมตำรวจได้มีคำสั่งไปยังสถานีตำรวจท้องที่ให้ผ่อนผันการจับกุมจำเลยที่ 1 ถึงที่ 17 โดยให้แย่งรับส่งคนโดยสารทับบนเส้นทางซึ่งโจทก์เป็นผู้ได้รับอนุญาตจากทางการ ให้ประกอบการขนส่งประจำทางด้วยรถยนต์แต่ผู้เดียว เพื่อโจทก์แจ้งความขอให้ตำรวจจับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 17 มาดำเนินคดีตำรวจไม่ยอมดำเนินการให้เพราะจำเลยที่ 18 มีคำสั่งผ่อนผันการจับกุมจำเลยไว้ โจทก์จะได้ขอให้ศาลเรียกคำสั่งดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาต่อไป ดังนี้ เห็นไดว่าคำสั่งของจำเลยที่ 18 เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ ประกอบกับมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับคำสั่งของจำเลยที่โจทก์ขอให้เพิกถอนว่าเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 45
ฟ้องของโจทก์ดังกล่าวยืนยันโดยแจ้งชัดแล้วว่าจำเลยที่ 18 ซึ่งเป็นอธิบดีกรมตำรวจเป็นผู้ออกคำสั่ง สั่งว่าอย่างไร ถึงใคร และมีผู้ใดกระทำตามคำสั่งนั้นโดยแจ้งชัดแล้ว ไม่เคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องระบุชื่อจำเลยที่ 18 ว่า พ.ต.อ.ป.กรมตำรวจ และยังได้บรรยายฟ้องอีกว่า จำเลยที่ 18 ซึ่งเป็นอธิบดีกรมตำรวจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้ ถือได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 18 ในฐานะอธิบดีกรมตำรวจ หาใช่ฟ้องในฐานะส่วนตัวไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1087/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            ฟ้องเรียกเงินคืนจากการสัญญาช่วยเหลือทางคดี การฟ้องไม่เคลือบคลุม และไม่ใช่การช่วยเหลือที่ผิดกฎหมาย
                        
                        ฟ้องเรียกเงินคืนที่โจทก์บรรยายข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหามาแล้วว่า  เมื่อเดือนมกราคม และกุมภาพันธ์ 2511  ก่อนพนักงานอัยการยื่นฟ้องบุตรโจทก์ต่อศาล  จำเลยได้เรียกเอาเงินโจทก์ไป 2 คราว ๆ ละ 500 บาท  โดยจำเลยรับจะช่วยบุตรโจทก์ให้พ้นโทษ  โดยจะหาทนายสู้คดีหรือช่วยด้วยวิธีอื่นให้บุตรโจทก์ถูกปล่อย  โจทก์หลงเชื่อจึงมอบเงินให้จำเลยไป  เมื่อบุตรโจทก์ถูกฟ้องศาล  จำเลยไม่ช่วยเหลืออย่างใด  กลับบอกให้บุตรโจทก์รับสารภาพโดยบอกว่าอายุยังไม่ถึง 20 ปี  ศาลไม่ลงโทษ  เป็นเหตุให้บุตรโจทก์หลงเชื่อรับสารภาพ  ดังนี้  ไม่จำเป็นต้องระบุว่าจำเลยเรียกเอาเงินจากโจทก์ที่ไหน  จำเลยก็เข้าใจฟ้องได้ดีแล้ว  เป็นฟ้องไม่เคลือบคลุมและไม่ใช่เป็นฟ้องที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน  เพราะไม่ใช่ให้เงินแก่จำเลยเพื่อช่วยเหลือโดยวิธีที่ผิดกฎหมาย
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1087/2513
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            ฟ้องเรียกเงินคืนจากการสัญญาช่วยเหลือทางคดีที่ไม่เป็นผล การฟ้องไม่เคลือบคลุมและไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย
                        
                        ฟ้องเรียกเงินคืนที่โจทก์บรรยายข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหามาแล้วว่า เมื่อเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2511  ก่อนพนักงานอัยการยื่นฟ้องบุตรโจทก์ต่อศาล จำเลยได้เรียกเอาเงินโจทก์ไป 2 คราว ๆ ละ500 บาท  โดยจำเลยรับจะช่วยบุตรโจทก์ให้พ้นโทษ โดยจะหาทนายสู้คดีหรือช่วยด้วยวิธีอื่นให้บุตรโจทก์ถูกปล่อย โจทก์หลงเชื่อจึงมอบเงินให้จำเลยไป  เมื่อบุตรโจทก์ถูกฟ้องศาล จำเลยไม่ช่วยเหลืออย่างใดกลับบอกให้บุตรโจทก์รับสารภาพโดยบอกว่า อายุยังไม่ถึง 20 ปี ศาลไม่ลงโทษเป็นเหตุให้บุตรโจทก์หลงเชื่อรับสารภาพ ดังนี้  ไม่จำเป็นต้องระบุว่าจำเลยเรียกเอาเงินจากโจทก์ที่ไหน  จำเลยก็เข้าใจฟ้องได้ดีแล้ว  เป็นฟ้องไม่เคลือบคลุม  และไม่ใช่เป็นฟ้องที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน  เพราะไม่ใช่ให้เงินแก่จำเลยเพื่อช่วยเหลือโดยวิธีที่ผิดกฎหมาย
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 862/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            คำฟ้องฟุ่มเฟือยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ศาลไม่รับฟ้องได้
                        
                        โจทก์ยื่นฟ้องที่มีคำบรรยายที่เขียนฟุ่มเฟือย ศาลสั่งให้ไปทำมาใหม่ใน 7 วัน โจทก์ไม่ปฏิบัติตาม ศาลย่อมสั่งไม่รับคำฟ้อง
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 862/2513
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            คำฟ้องฟุ่มเฟือยไม่แก้ไขตามคำสั่งศาล ศาลไม่รับฟ้อง ชอบด้วยกฎหมาย
                        
                        โจทก์ยื่นฟ้องที่มีคำบรรยายที่เขียนฟุ่มเฟือย ศาลสั่งให้ไปทำมาใหม่ใน 7 วัน โจทก์ไม่ปฏิบัติตาม ศาลย่อมสั่งไม่รับคำฟ้อง
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 748/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            ข้อตกลงค่าทนายในสัญญาประนีประนอมความ: การลดเบี้ยปรับค่าเสียหายที่สูงเกินควร
                        
                        จำเลยที่ 1  เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลทำหนังสือรับสภาพหนี้และประนีประนอมยอมความให้โจทก์เมื่อวันที่27 กุมภาพันธ์ 2506   โจทก์ฟ้องคดี พ.ศ. 2507   จึงไม่ขาดอายุความ
ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความไม่ได้บังคับว่าโจทก์ต้องแสดงใบรับเงินค่าจ้างทนายมาพร้อมฟ้อง
หนังสือสัญญารับสภาพหนี้และยอมความมีใจความว่าถ้าลูกหนี้ผิดนัดยอมให้เจ้าหนี้ฟ้อง ลูกหนี้ยอมใช้ค่าเสียหายที่เจ้าหนี้จ่ายเป็นค่าจ้างทนายความตามที่จ้างจริง โดยตกลงกำหนดเบี้ยปรับสำหรับค่าจ้างไว้เป็นเงิน 4,500 บาท หนี้สินรายนี้มีจำนวน 22,340 บาทนับว่าสูงเกินส่วน แม้โจทก์จ่ายเงินไปแล้วจริง 4,500 บาทก็เป็นเรื่องที่โจทก์ตกลงว่าจ้างแพงเกินควรที่จะให้จำเลยรับผิดศาลฎีกาเห็นควรลดเบี้ยปรับค่าจ้างทนายลงเหลือ 2,500 บาท
ฎีกาที่ว่า ข้อตกลงเรื่องให้จำเลยเสียค่าทนาย 4,500 บาทเป็นข้อตกลงที่ใช้บังคับกันไม่ได้ เพราะขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนนั้น จำเลยไม่ได้ยกขึ้นว่าในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์และไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
                                    ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความไม่ได้บังคับว่าโจทก์ต้องแสดงใบรับเงินค่าจ้างทนายมาพร้อมฟ้อง
หนังสือสัญญารับสภาพหนี้และยอมความมีใจความว่าถ้าลูกหนี้ผิดนัดยอมให้เจ้าหนี้ฟ้อง ลูกหนี้ยอมใช้ค่าเสียหายที่เจ้าหนี้จ่ายเป็นค่าจ้างทนายความตามที่จ้างจริง โดยตกลงกำหนดเบี้ยปรับสำหรับค่าจ้างไว้เป็นเงิน 4,500 บาท หนี้สินรายนี้มีจำนวน 22,340 บาทนับว่าสูงเกินส่วน แม้โจทก์จ่ายเงินไปแล้วจริง 4,500 บาทก็เป็นเรื่องที่โจทก์ตกลงว่าจ้างแพงเกินควรที่จะให้จำเลยรับผิดศาลฎีกาเห็นควรลดเบี้ยปรับค่าจ้างทนายลงเหลือ 2,500 บาท
ฎีกาที่ว่า ข้อตกลงเรื่องให้จำเลยเสียค่าทนาย 4,500 บาทเป็นข้อตกลงที่ใช้บังคับกันไม่ได้ เพราะขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนนั้น จำเลยไม่ได้ยกขึ้นว่าในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์และไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 748/2513
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            สัญญาประนีประนอมยอมความ ค่าทนายความเกินสมควร ศาลลดเบี้ยปรับ
                        
                        จำเลยที่ 1 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลทำหนังสือรับสภาพหนี้และประนีประนอมยอมความให้โจทก์เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2506  โจทก์ฟ้องคดี พ.ศ. 2507  จึงไม่ขาดอายุความ
ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความไม่ได้บังคับว่า โจทก์ต้องแสดงใบรับเงินค่าจ้างทนายมาพร้อมฟ้อง
หนังสือสัญญารับสภาพหนี้และยอมความมีใจความว่าถ้าลูกหนี้ผิดนัดยอมให้เจ้าหนี้ฟ้อง ลูกหนี้ยอมใช้ค่าเสียหายที่เจ้าหนี้จ่ายเป็นค่าจ้างทนายความตามที่จ้างจริง โดยตกลงกำหนดเบี้ยปรับสำหรับค่าจ้างไว้เป็นเงิน 4,500 บาท หนี้สินรายนี้มีจำนวน 22,340 บาทนับว่าสูงเกินส่วน แม้โจทก์จ่ายเงินไปแล้วจริง 4,500 บาท ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ตกลงว่าจ้างแพงเกินควรที่จะให้จำเลยรับผิดศาลฎีกาเห็นควรลดเบี้ยปรับค่าจ้างทนายลงเหลือ 2,500 บาท
ฎีกาที่ว่า ข้อตกลงเรื่องให้จำเลยเสียค่าทนาย 4,500 บาทเป็นข้อตกลงที่ใช้บังคับกันไม่ได้ เพราะขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนนั้น จำเลยไม่ได้ยกขึ้นว่าในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ และไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
                                    ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความไม่ได้บังคับว่า โจทก์ต้องแสดงใบรับเงินค่าจ้างทนายมาพร้อมฟ้อง
หนังสือสัญญารับสภาพหนี้และยอมความมีใจความว่าถ้าลูกหนี้ผิดนัดยอมให้เจ้าหนี้ฟ้อง ลูกหนี้ยอมใช้ค่าเสียหายที่เจ้าหนี้จ่ายเป็นค่าจ้างทนายความตามที่จ้างจริง โดยตกลงกำหนดเบี้ยปรับสำหรับค่าจ้างไว้เป็นเงิน 4,500 บาท หนี้สินรายนี้มีจำนวน 22,340 บาทนับว่าสูงเกินส่วน แม้โจทก์จ่ายเงินไปแล้วจริง 4,500 บาท ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ตกลงว่าจ้างแพงเกินควรที่จะให้จำเลยรับผิดศาลฎีกาเห็นควรลดเบี้ยปรับค่าจ้างทนายลงเหลือ 2,500 บาท
ฎีกาที่ว่า ข้อตกลงเรื่องให้จำเลยเสียค่าทนาย 4,500 บาทเป็นข้อตกลงที่ใช้บังคับกันไม่ได้ เพราะขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนนั้น จำเลยไม่ได้ยกขึ้นว่าในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ และไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1262/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            ค่าธรรมเนียมศาลและการรับอุทธรณ์: ศาลต้องเรียกค่าธรรมเนียมก่อนพิจารณา หากไม่เรียกเอง ผู้เสียหายไม่ต้องรับผิด
                        
                        ในคดีเรียกร้องให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์สิน ฯลฯ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 254 ซึ่งให้เรียกค่าธรรมเนียมดั่งคดีแพ่งนั้น หากผู้อุทธรณ์ในคดีส่วนแพ่งมิได้เสียค่าธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ขึ้นมา และไม่ปรากฏว่าผู้อุทธรณ์ขัดขืนไม่ยอมเสีย ไม่ชอบที่จะสั่งยกอุทธรณ์เสียเพียงเหตุที่มิได้เสียค่าธรรมเนียมโดยไม่พิเคราะห์ถึงมูลเหตุที่ไม่เสียนั้นเสียก่อน (ตามแนวฎีกาที่ 1426/2493, 389/2494, 1301 - 1302/2501)
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1262/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            ค่าธรรมเนียมศาลและการรับอุทธรณ์: ศาลต้องเรียกค่าธรรมเนียมก่อนพิจารณา หากไม่เรียกเอง ผู้อุทธรณ์ไม่ต้องรับผิดชอบ
                        
                        ในคดีเรียกร้องให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์สิน ฯลฯ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 254 ซึ่งให้เรียกค่าธรรมเนียมดั่งคดีแพ่งนั้น  หากผู้อุทธรณ์ในคดีส่วนแพ่งมิได้เสียค่าธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ขึ้นมา และไม่ปรากฏว่าผู้อุทธรณ์ขัดขืนไม่ยอมเสีย  ไม่ชอบที่จะสั่งยกอุทธรณ์เสียเพียงเหตุที่มิได้เสียค่าธรรมเนียมโดยไม่พิเคราะห์ถึงมูลเหตุที่ไม่เสียนั้นเสียก่อน (ตามแนวฎีกาที่ 1426/2493,389/2494,1301-1302/2501)
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1262/2511
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            ค่าธรรมเนียมศาลและการรับอุทธรณ์: ศาลควรเรียกค่าธรรมเนียมก่อนยกอุทธรณ์เนื่องจากไม่ชำระ
                        
                        ในคดีเรียกร้องให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์สิน ฯลฯ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 254 ซึ่งให้เรียกค่าธรรมเนียมดั่งคดีแพ่งนั้น. หากผู้อุทธรณ์ในคดีส่วนแพ่งมิได้เสียค่าธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ขึ้นมา และไม่ปรากฏว่าผู้อุทธรณ์ขัดขืนไม่ยอมเสีย. ไม่ชอบที่จะสั่งยกอุทธรณ์เสียเพียงเหตุที่มิได้เสียค่าธรรมเนียมโดยไม่พิเคราะห์ถึงมูลเหตุที่ไม่เสียนั้นเสียก่อน (ตามแนวฎีกาที่ 1426/2493,389/2494, 1301-1302/2501).