คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 18

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 511 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 494/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำหน่ายคดีตาม พ.ร.บ.คุ้มครองฯ มาตรา 4 กรณีฟ้องร้องบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 3 และการงดฟังคำคัดค้านของโจทก์
ในภาวะแห่งการปฏิวัติ ระหว่างร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใช้ต่อไป ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร มาตรา 17 ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีที่จะมีคำสั่งหรือกระทำการภายในขอบเขตที่ระบุไว้ และให้ถือว่าคำสั่งหรือการกระทำนั้นชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งย่อมมีผลเป็นธรรมดาว่า ไม่เป็นมูลที่ผู้ใดจะนำมาฟ้องให้รับผิดตามกฎหมายได้ ศาลย่อมไม่รับฟ้องเช่นว่านั้น หรือถ้ารับฟ้องไว้แล้วก็มิได้หมายความว่าศาลจะเปลี่ยนแปลงคำสั่งนั้นในภายหลังไม่ได้ เพราะคำสั่งรับฟ้องเช่นนี้มิใช่คำสั่งวินิจฉัยขี้ขาดคดี ไม่อยู่ในบังคับที่ศาลนั้นจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143, 145 เพราะฉะนั้นพระราชบัญญัติให้ความคุ้มครองและห้ามฟ้องบุคคลผู้ปฏิบัติการเกี่ยวแก่มาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2508 ซึ่งบัญญัติให้บุคคลใดฟ้องร้องว่ากล่าวนายกรัฐมนตรีและผู้กระทำการตามคำสั่งนั้น จึงเป็นวิธีการอันพึงดำเนินเมื่อมีการฟ้องร้องคดีอันเป็นกรณีตามมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร มิใช่บทบัญญัตินอกเหนือขอบเขตแห่งมาตรา 17 และไม่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร เมื่อพระราชบัญญัติให้ความคุ้มครองและห้ามฟ้องบุคคลผู้ปฏิบัติเกี่ยวแก่มาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2508 เป็นกฎหมายที่ดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน มาตรา 17 โดยเฉพาะ มิใช่กฎหมายที่บัญญัติกรณีหนึ่งกรณีใดขึ้นเป็นการตัดสิทธิที่บุคคลจะดำเนินคดีทางศาล จึงไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
พระราชบัญญัติให้ความคุ้มครองและห้ามฟ้องบุคคลผู้ปฏิบัติตามมาตรา 17แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรบัญญัติว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีโดยมติคณะรัฐมนตรีได้มีคำสั่งหรือกระทำการใดโดยอ้างมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรฯลฯ ให้ได้รับความคุ้มครอง บุคคลใดจะฟ้องร้องว่ากล่าว ฯลฯ มิได้ นั้น หมายความว่าต้องเป็นคำสั่งหรือการกระทำที่อ้าง มาตรา 17 โดยเป็นกรณีที่อยู่ภายในขอบเขตของมาตรา 17 หากคำสั่งหรือการกระทำนั้น ๆ อยู่นอกเหนือขอบเขตของมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร ศาลย่อมวินิจฉัยได้ว่าคำสั่งหรือการกระทำนั้นมิได้รับความคุ้มครอง
มาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรให้อำนาจนายกรัฐมนตรีที่จะออกคำสั่งหรือกระทำการใด ๆ โดยมติคณะรัฐมนตรีในเมื่อนายกรัฐมนตรีเห็นสมควรเพื่อประโยชน์ในการระงับหรือปราบปรามการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของราชอาณาจักร ฯลฯ แสดงว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจที่จะวินิจฉัยพฤติการณ์ที่เห็นสมควรใช้มาตรการที่กำหนดไว้ การวินิจฉัยว่าคำสั่งหรือการกระทำชอบด้วยมาตรา 17 หรือไม่ อยู่ที่ความเห็นชอบของนายกรัฐมนตรีโดยมติคณะรัฐมนตรีว่าสมควรต้องมีคำสั่งหรือกระทำ มิได้อยู่ที่มีพฤติการณ์บ่อนทำลายจริงหรือไม่
มาตรา 17 มิได้ถูกระบุให้ใช้แก่ผู้ทำการบ่อนทำลายโดยเฉพาะแต่ให้ใช้เพื่อระงับหรือปราบปรามการบ่อนทำลาย แม้ผู้กระทำการบ่อนทำลายตายไปแล้ว แต่ผลของการกระทำยังคงอยู่ และมีผู้ได้ร่วมรับผลนั้นด้วย จึงถือได้ว่าผู้ได้ร่วมรับผลนั้นอยู่ในข่ายแห่งมาตรา 17 นั้นด้วย
พระราชบัญญัติให้ความคุ้มครองและห้ามฟ้องบุคคลผู้ปฏิบัติการเกี่ยวแก่มาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2508 มาตรา 4 บัญญัติว่า ถ้ามีคดีฟ้องร้องบุคคลซึ่งได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 3 อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ศาลจำหน่ายคดีเสีย การที่ศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจึงเป็นการสั่งตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ มิใช่ว่าศาลจะจำหน่ายคดีได้ แต่เฉพาะกรณีที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเท่านั้น แม้พระราชบัญญัตินี้จะมีผลย้อนหลังบังคับแก่คดีที่ยื่นฟ้องไว้แล้วด้วย และไม่ใช่กฎหมายที่บัญญัติขึ้นเพื่อการตีความ ก็เป็นกฎหมายที่ใช้บังคับได้ เพราะมิใช่กฎหมายที่ย้อนหลังเป็นการลงโทษบุคคลในทางอาญา
ศาลมีอำนาจที่จะพิเคราะห์ว่ากระบวนพิจารณาใดจำเป็นจะต้องทำเพียงใดหรือไม่ ถ้าเห็นว่ากระบวนพิจารณาใดเป็นการประวิงหรือฟุ่มเฟือยชักช้าโดยไม่จำเป็น ศาลย่อมงดดำเนินกระบวนพิจารณาในทำนองนั้นได้ หรือจะสั่งคู่ความให้งดดำเนินกระบวนพิจารณาในทำนองนั้นก็ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 30, 86 วรรค 2 และดังนัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 174 วรรค 4 และเมื่อศาลไม่เห็นประโยชน์ที่จะฟังคำคัดค้านของคู่ความ เพราะกฎหมายบัญญัติให้จำหน่ายคดีโดยชัดแจ้งแล้ว การฟังคำคัดค้านของคู่ความมีแต่จะทำความชักช้าประวิง ยุ่งยาก ศาลก็งดฟังคำคัดค้านและมีคำสั่งจำหน่ายคดีไปทีเดียวได้
เมื่อศาลไม่เห็นควรรับคำฟ้องที่ไม่ระบุตัวทรัพย์สินที่พิพาทให้ชัดเจนไว้พิจารณา ศาลก็ทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 18 และเมื่อศาลรับคำฟ้องโจทก์ไว้แล้วต่อมามีเหตุที่ศาลสั่งจำหน่ายคดีของโจทก์ ศาลก็มีคำสั่งในเรื่องนี้ใหม่โดยให้จำหน่ายคดีที่ไม่มีคำฟ้องชัดเจนพอนั้นเสียได้ ไม่ใช่กรณีที่จะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 29 มาใช้
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 12/2510)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 319/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องชำระหนี้แทนกัน: สัญญาตัวแทนไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่โจทก์ชำระหนี้แทนจำเลย เป็นฟ้องในมูลหนี้ตามสัญญาตัวแทนแม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็ก็ฟ้องร้องบังคับคดีได้
หมายเหตุ คดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกฟ้องโจทก์โดยยังไม่ได้สำเนาฟ้องให้จำเลยจำเลยยังไม่ได้ยื่นคำให้การ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปจำเลยฎีกาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 319/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเรียกเงินชำระหนี้แทนกันตามสัญญาตัวแทน แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็ฟ้องร้องได้
โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่โจทก์ชำระหนี้แทนจำเลย เป็นฟ้องในมูลหนี้ตามสัญญาตัวแทน แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็ฟ้องร้องบังคับคดีได้
หมายเหตุ คดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกฟ้องโจทก์โดยยังไม่ได้สำเนาฟ้องให้จำเลย จำเลยยังไม่ได้ยื่นคำให้การ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปจำเลยฎีกาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1204/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลจำกัดในคดีหนี้เหนือบุคคล จำเลยต่างชาติ – ต้องส่งหมายเรียกก่อน
ในกรณีเกี่ยวกับหนี้เหนือบุคคล ถ้าจำเลยเป็นชาวต่างประเทศและอยู่ในต่างประเทศ ไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยแม้มูลกรณีจะเกิดในเขตศาลไทยหรือจำเลยมีทรัพย์อยู่ในเขตศาลนั้น โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยต่อศาลไทย จนกว่าจำเลยจะได้เข้ามาในประเทศไทย และศาลจะดำเนินคดีต่อไปได้ก็ต่อเมื่อได้ส่งหมายเรียกให้แก่จำเลยแล้ว
การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลในเมืองต่างประเทศตามมาตรา 34 นั้น ใช้ในกรณีที่ศาลรับฟ้องของโจทก์ไว้โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว แต่ศาลจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาในต่างประเทศซึ่งศาลอาจขอร้องให้รัฐบาลต่างประเทศจัดการให้ตามความสัมพันธ์ทางการต่างประเทศได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1204/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลไทยเหนือจำเลยต่างชาติในคดีหนี้เหนือบุคคล
ในกรณีเกี่ยวกับหนี้เหนือบุคคล ถ้าจำเลยเป็นชาวต่างประเทศและอยู่ในต่างประเทศ ไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย แม้มูลกรณีจะเกิดในเขตศาลไทยหรือจำเลยมีทรัพย์อยู่ในเขตศาลนั้น โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยต่อศาลไทย จนกว่าจำเลยจะได้เข้ามาในประเทศไทย และศาลจะดำเนินคดีต่อไปได้ก็ต่อเมื่อไดส่งหมายเรียกให้แก่จำเลยแล้ว
การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลในเมืองต่างประเทศตามมาตรา 34 นั้น ใช้ในกรณีที่ศาลรับฟ้องของโจทก์ไว้โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว แต่ศาลจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาในต่างประเทศซึ่งศาลอาจขอร้องให้รัฐบาลต่างประเทศจัดการให้ตามความสัมพันธ์ทางการต่างประเทศได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 996/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งทำสัญญาเช่า: ศาลพิจารณาแล้วยกฟ้อง หากจำเลยไม่มีทางชนะคดี แม้ข้อเท็จจริงเป็นไปตามฟ้องแย้ง
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 131(2),133,139 นั้น เมื่อจำเลยยื่นคำให้การฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นสั่งว่า ......ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยนั้น ศาลได้พิจารณาแล้ว........จึงพร้อมกันมีคำสั่งให้ยกฟ้องแย้งเสียค่าธรรมเนียมเป็นพับ เช่นนี้ เป็นปริยายว่าศาลชั้นต้นพิจารณาเสร็จแล้วจึงชี้ขาดฟ้องแย้งโดยทำเป็นคำสั่งให้ยกฟ้องแย้ง ไม่ใช่สั่งให้คืนไปหรือไม่รับ ตามมาตรา 18
ฟ้องแย้งว่า โจทก์มีหนังสือขอให้จำเลยไปพบเพื่อรับคำบอกกล่าวขับไล่ หรือทำสัญญาเช่าแล้วแต่กรณี จำเลยได้ทำหนังสือขอทำสัญญาเช่าแต่โจทก์เรียกเงินกินเปล่า 30,000 บาท กับชำระค่าเช่าที่ค้าง จำเลยขอให้ 25,000 บาท จึงไม่ตกลงกัน เช่นนี้ นับว่ามิได้มีสัญญาต่อกันจำเลยไม่มีอำนาจแห่งมูลหนี้ที่จะฟ้องแย้งให้โจทก์ทำสัญญาเช่า ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่าเมื่อศาลเห็นว่า แม้เป็นจริงดังฟ้องแย้ง จำเลยก็ไม่มีทางชนะคดีตามฟ้องแย้ง ศาลยกฟ้องแย้งเสียเลยได้.
(เฉพาะปัญหาที่ 2 เป็นมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 14/2508).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 996/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งทำสัญญาเช่า: ศาลพิจารณาแล้วยกฟ้อง หากแม้ข้อเท็จจริงเป็นจริงก็ไม่มีทางชนะคดี
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 131(2),133,139 นั้นเมื่อจำเลยยื่นคำให้การฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นสั่งว่า......ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยนั้นศาลได้พิจารณาแล้ว.......จึงพร้อมกันมีคำสั่งให้ยกฟ้องแย้งเสีย ค่าธรรมเนียมเป็นพับ เช่นนี้ เป็นปริยายว่าศาลชั้นต้นพิจารณาเสร็จแล้ว จึงชี้ขาดฟ้องแย้งโดยทำเป็นคำสั่งให้ยกฟ้องแย้งไม่ใช่สั่งให้คืนไปหรือไม่รับ ตามมาตรา 15
ฟ้องแย้งว่า โจทก์มีหนังสือขอให้จำเลยไปพบเพื่อรับคำบอกกล่าวขับไล่ หรือทำสัญญาเช่าแล้วแต่กรณี จำเลยได้ทำหนังสือขอทำสัญญาเช่าแต่โจทก์เรียกเงินกินเปล่า 30,000 บาท กับชำระค่าเช่าที่ค้าง จำเลยขอให้ 25,000 บาท จึงไม่ตกลงกัน เช่นนี้นับว่ามิได้มีสัญญาต่อกัน จำเลยไม่มีอำนาจแห่งมูลหนี้ที่จะฟ้องแย้งให้โจทก์ทำสัญญาเช่า ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า เมื่อศาลเห็นว่าแม้เป็นจริงดังฟ้องแย้ง จำเลยก็ไม่มีทางชนะคดีตามฟ้องแย้ง ศาลยกฟ้องแย้งเสียเลยได้ (เฉพาะปัญหาที่ 2 เป็นมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 14/2508)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 936/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องอุทธรณ์ต้องมีลายมือชื่อผู้อุทธรณ์ หากไม่มีถือเป็นฟ้องไม่บริบูรณ์ ศาลต้องแก้ไขก่อนพิจารณา
ฟ้องอุทธรณ์ที่มิได้ลงชื่อผู้อุทธรณ์ ย่อมเป็นฟ้องที่ไม่บริบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 67(5) และศาลอุทธรณ์ก็ชี้ขาดตัดสินฟ้องอุทธรณ์ไปโดยมิได้แก้ไขข้อบกพร่องให้บริบูรณ์ตามกฎหมายเสียก่อนนั้น ศาลฎีกาควรยกคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์เสีย แล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 วรรคสองโดยให้โจทก์ลงชื่อในฐานะผู้อุทธรณ์ในฟ้องอุทธรณ์เสียให้บริบูรณ์ตามกฎหมาย แล้วส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 13/2508)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 936/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องอุทธรณ์ไม่สมบูรณ์เพราะขาดลายมือชื่อผู้ฟ้อง ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เพื่อให้แก้ไขฟ้องก่อนพิจารณาใหม่
ฟ้องอุทธรณ์ที่มิได้ลงชื่อผู้อุทธรณ์ ย่อมเป็นฟ้องที่ไม่บริบูรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 67(5) และศาลอุทธรณ์ก็ชี้ขาดตัดสินฟ้องอุทธรณ์ไปโดยมิได้แก้ไขข้อบกพร่องให้บริบูรณ์ตามกฎหมายเสียก่อน นั้น ศาลฎีกาชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 18 วรรค 2 โดยให้โจทก์ลงชื่อในฐานะผู้อุทธรณ์ในฟ้องอุทธรณ์เสียให้บริบูรณ์ตามกฎหมาย แล้วส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่.
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 13/2508).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาต้องยื่นต่อศาลฎีกาโดยตรง การอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบ
ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาต่อศาลอุทธรณ์ไม่ได้ เพราะอำนาจสั่งให้รับฎีกาหรือไม่นั้น เป็นอำนาจเฉพาะของศาลฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 252
ศาลชั้นต้นสั่งตำหนิไม่รับฎีกาฉบับแรกของผู้ร้องผู้ร้องมิได้อุทธรณ์ฎีกาคำสั่งนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 แต่ยอมทำฎีกาฉบับใหม่มายื่นแทน ในฎีกาชั้นนี้ผู้ร้องจะย้อนอ้างว่าฎีกาตามสิทธิในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 อีกไม่ได้เพราะคำสั่งศาลแพ่งที่ติอุทธรณ์ของผู้ร้องขาดตอนไปแล้ว
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227,228 เป็นเรื่องคำสั่งไม่รับคำคู่ความของศาลชั้นต้นในกรณีอื่นไม่ใช่กรณีไม่รับฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 252
of 52