พบผลลัพธ์ทั้งหมด 511 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1609/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การอุทธรณ์ และอำนาจศาล
ศาลชั้นต้นรับคำร้องขอแก้ไขคำให้การจำเลยไว้พิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้องนั้นเสียคำสั่งยกคำร้องนั้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาและไม่ใช่เป็นกรณีศาลสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 18 จำเลยอุทธรณ์คำสั่งนั้นไม่ได้ ต้องห้ามตามมาตรา 226 ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจรับพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลย และศาลฎีกาก็พิจารณาตามข้อฎีกาของจำเลยต่อไปไม่ได้ให้ยกอุทธรณ์ ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และฎีกาจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1609/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่รับแก้ไขคำให้การ จำเลยอุทธรณ์ไม่ได้ตามมาตรา 226
ศาลชั้นต้นรับคำร้องขอแก้ไขคำให้การจำเลยไว้พิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้องนั้นเสีย คำสั่งยกคำร้องนั้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาและไม่ใช่เป็นกรณีศาลสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 18 จำเลยอุทธรณ์คำสั่งนั้นไม่ได้ ต้องห้ามตามมาตรา 226 ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจรับพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยและศาลฎีกาก็พิจารณาตามข้อฎีกาของจำเลยต่อไปไม่ได้ ให้ยกอุทธรณ์ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และฎีกาจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 396/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งไม่รับฟ้องไม่ถือเป็นคำพิพากษา ฟ้องซ้ำต้องห้ามเฉพาะคำพิพากษาถึงที่สุด
ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรค 3, 18 วรรค 2, 3 และ 5 จะเห็นระบบการดังนี้คือ ในชั้นตรวจคำฟ้องหรือคำคู่ความนั้น ศาลอาจจะกระทำได้เพียง 3 ประการ คือ สั่งรับ สั่งไม่รับ และสั่งคืนไป เท่านั้น เมื่อสั่งไม่รับฟ้องไว้พิจารณาแล้วก็จะพิพากษายกฟ้องไม่ได้
คำว่า "ให้ยกเสีย" ในมาตรา 172 กับคำว่า "มีคำสั่งไม่รับ" ในมาตรา 18 กฎหมายประสงค์ให้มีผลอย่างเดียวกัน เพราะคำว่า "ให้ยกเสีย" ตามมาตรา 172 จะถือว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดีตามมาตรา 131 ไม่ได้
ในคดีก่อน ศาลชั้นต้นโดยผู้พิพากษารายเดียวสั่งในคำฟ้องว่า ไม่มีมูลหนี้ที่โจทก์จะฟ้องจำเลยในคดีนี้ได้ ไม่รับฟ้องไว้พิจารณา ให้ยกฟ้องโจทก์ คำสั่งนี้เป็นคำสั่งเหมือนให้ยกเสียตามมาตรา 172 ซึ่งมีผลเช่นเดียวกับคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามความในมาตรา 18 เพราะไม่ได้มีการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดีตามมาตรา 131 ่เลย เมื่อโจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ในเรื่องเดียวกันอีก จึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำ
คำว่า "ให้ยกเสีย" ในมาตรา 172 กับคำว่า "มีคำสั่งไม่รับ" ในมาตรา 18 กฎหมายประสงค์ให้มีผลอย่างเดียวกัน เพราะคำว่า "ให้ยกเสีย" ตามมาตรา 172 จะถือว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดีตามมาตรา 131 ไม่ได้
ในคดีก่อน ศาลชั้นต้นโดยผู้พิพากษารายเดียวสั่งในคำฟ้องว่า ไม่มีมูลหนี้ที่โจทก์จะฟ้องจำเลยในคดีนี้ได้ ไม่รับฟ้องไว้พิจารณา ให้ยกฟ้องโจทก์ คำสั่งนี้เป็นคำสั่งเหมือนให้ยกเสียตามมาตรา 172 ซึ่งมีผลเช่นเดียวกับคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามความในมาตรา 18 เพราะไม่ได้มีการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดีตามมาตรา 131 ่เลย เมื่อโจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ในเรื่องเดียวกันอีก จึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 396/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งไม่รับฟ้องในชั้นตรวจคำฟ้อง ไม่ถือเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดี ฟ้องซ้ำไม่มี
ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172วรรค 318 วรรค 2,3 และ 5 จะเห็นระบบการดังนี้ คือ ในชั้นตรวจคำฟ้องหรือคำคู่ความนั้นศาลอาจกระทำได้เพียง 3 ประการ คือ สั่งรับ สั่งไม่รับ และสั่งคืนไปเท่านั้นเมื่อสั่งไม่รับฟ้องไว้พิจารณาแล้วก็จะพิพากษายกฟ้องไม่ได้
คำว่า'ให้ยกเสีย' ในมาตรา 172 กับคำว่า'มีคำสั่งไม่รับ' ในมาตรา 18 กฎหมายประสงค์ให้มีผลอย่างเดียวกันเพราะคำว่า 'ให้ยกเสีย' ตามมาตรา 172 จะถือว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดีตามมาตรา 131 ไม่ได้
ในคดีก่อน ศาลชั้นต้นโดยผู้พิพากษานายเดียวสั่งในคำฟ้องว่า ไม่มีมูลหนี้ที่โจทก์จะฟ้องจำเลยในคดีนั้นได้ ไม่รับฟ้องไว้พิจารณา ให้ยกฟ้องโจทก์ คำสั่งนี้เป็นคำสั่งเสมือนว่าให้ยกเสียตามมาตรา 172 ซึ่งมีผลเช่นเดียวกับคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามความในมาตรา 18 เพราะไม่ได้มีการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดี ตามมาตรา 131 เลยเมื่อโจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ในเรื่องเดียวกันอีก จึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำ
คำว่า'ให้ยกเสีย' ในมาตรา 172 กับคำว่า'มีคำสั่งไม่รับ' ในมาตรา 18 กฎหมายประสงค์ให้มีผลอย่างเดียวกันเพราะคำว่า 'ให้ยกเสีย' ตามมาตรา 172 จะถือว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดีตามมาตรา 131 ไม่ได้
ในคดีก่อน ศาลชั้นต้นโดยผู้พิพากษานายเดียวสั่งในคำฟ้องว่า ไม่มีมูลหนี้ที่โจทก์จะฟ้องจำเลยในคดีนั้นได้ ไม่รับฟ้องไว้พิจารณา ให้ยกฟ้องโจทก์ คำสั่งนี้เป็นคำสั่งเสมือนว่าให้ยกเสียตามมาตรา 172 ซึ่งมีผลเช่นเดียวกับคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามความในมาตรา 18 เพราะไม่ได้มีการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดี ตามมาตรา 131 เลยเมื่อโจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ในเรื่องเดียวกันอีก จึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1012-1013/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มเติมคำให้การหลังชี้สองสถานและการอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งไม่อนุญาต รวมถึงประเด็นอายุความและค่าทนาย
(1) คำให้การเพิ่มเติมของจำเลยนั้น เป็นคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแห่งมาตรา 1 (5) เมื่อศาลไม่อนุญาตให้เพิ่มเติมก็เป็นการไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแห่งมาตรา 18 จึงอุทธรณ์และฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแห่งมาตรา มาตรา 228 (3) โดยไม่ต้องโต้แย้งคำสั่งไว้
(2) คำให้การเพิ่มเติมนั้น จะต้องยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมเสียก่อนวันชี้สองสถาน ถ้าทำภายหลังและคดีก็ไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
(3) ค่าทนายความชั้น3ีกานั้น เมื่อคำแก้ฎีกาของโจทก์ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย เพราะโจทก์หรือทนายโจทก์มิได้ลงชื่อไว้ในคำแก้ฎีกา ศาลย่อมไม่ให้
หมายเหตุ คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวกับข้อ (1) นั้น วินิจฉัยโดยประชุมใหญ่ ครั้งที่ 2/2505
(2) คำให้การเพิ่มเติมนั้น จะต้องยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมเสียก่อนวันชี้สองสถาน ถ้าทำภายหลังและคดีก็ไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
(3) ค่าทนายความชั้น3ีกานั้น เมื่อคำแก้ฎีกาของโจทก์ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย เพราะโจทก์หรือทนายโจทก์มิได้ลงชื่อไว้ในคำแก้ฎีกา ศาลย่อมไม่ให้
หมายเหตุ คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวกับข้อ (1) นั้น วินิจฉัยโดยประชุมใหญ่ ครั้งที่ 2/2505
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 793/2504 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สำเนาเอกสารทางกฎหมาย: ถือฉบับยื่นต่อศาลเป็นหลัก
ต้นฉบับใบมอบอำนาจฟ้องคดีมีพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือ 2 คนครบถ้วน แต่สำเนาที่ส่งให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งปรากฎว่าตกพยานไปคนหนึ่ง ดังนี้ ต้องถือต้นฉบับที่ยื่นต่อศาลเป็นสำคัญ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 925/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีแทนบริษัท การมอบอำนาจหลังยื่นฟ้อง และผลของการไม่มีอำนาจฟ้องตั้งแต่แรก
ในคดีแพ่ง ศาลจะจะต้องพิจารณาวินิจฉัยเฉพาะแต่ข้อประเด็นที่คู่ความอ้างอิงยกขึ้นเป็นสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาอันปรากฏตามฟ้องและคำให้การเหล่านั้น
ตามฟ้อง โจทก์กล่าวอ้างว่า นายฟูจิโอ ผู้จัดการสาขาในประเทศไทย ได้รับมอบหมายอำนาจให้ฟ้องคดีในรามบริษัทโจทก์ในญี่ปุ่นได้ โดยมีหนังสือมอบอำนาจเป็นหลักฐาน จะได้อ้างส่งศาลวันพิจารณา นายฟูจิโอมิได้อ้างว่าตนเป็นตัวแทนรับมอบอำนาจทั่วไปและมีกรณีฉุกเฉินเพื่อป้องกันความเสียหายของบริษัทโจทก์แต่อย่างไรเลย ต่อมาภายหลังที่จำเลยให้การตัดฟ้องและร้องขอให้ศาลวินิจฉัยเบื้องต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 แล้ว ทนายโจทก์จะอ้างหนังสือมอบอำนาจของบริษัทโจทก์ซึ่งเพิ่งมอบอำนาจขึ้นภายหลังวันที่นายฟูจิโอแต่งทนายยื่นฟ้องศาลแล้ว 9 วัน มาเพื่อแสดงว่านายฟูจิโอมีอำนาจแต่งทนายยื่นฟ้องแทนบริษัทโจทก์ได้หาไม่ และกรณีเช่นว่านี้หาเป็นกรณีฉุกเฉินประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 802 ไม่ เพราะการรู้ว่าบริษัทจะต้องเสียหายด้วยการเสียภาษีนั้น สาขาบริษัทได้รู้นับแต่วันรับแจ้งการประเมินแล้ว มีเวลาเพียงพอตามประมวลรัษฎากร ที่จะจัดการให้ได้รับมอบอำนาจให้การะทำการยื่นฟ้องต่อศาลได้ถ้าบริษัทโจทก์เห็นว่า การเรียกเก็บภาษีไม่ถูกต้องและติดใจจะยื่นฟ้องต่อศาลเมื่อการอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากร ไม่สำเร็จ
การที่นายฟูจิโอแต่ทนายยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว 9 วัน บริษัทโจทก์จึงได้ทำการมอบอำนาจให้นายฟูจิโอทำการยื่นฟ้องต่อศาลแทนบริษัทได้ ทั้งได้ให้สัตยาบันการกระทำที่แล้วมานั้นด้วย ก็ไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องอันชอบด้วยวิธีพิจารณา เพราะเมื่อนายฟูจิโอไม่มีอำนาจแต่งทนายยื่นฟ้องแทนบริษัทในเวลาที่ยื่นฟ้องนั้นแล้ว ฟ้องของโจทก์ก็ไม่เป็นฟ้องอันชอบด้วยวิธีพิจารณามาแต่แรก ไม่มีทางใด ๆ ที่ศาลจะรับฟ้องไว้พิจารณามาแต่ต้น แม้จะได้มีการรับรองหรือให้สัตยาบันในภายหลังต่อมา ก็หากระทำให้ฟ้องที่เสียใช้ไม่ได้แล้วนั้น กลับคืนดีมาเป็นฟ้องอันชอบด้วยวิธีพิจารณาในภายหลังได้ไม่ (อ้างฎีกาที่ 723-724/2503 ซึ่งวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 9/2502)
ตามฟ้อง โจทก์กล่าวอ้างว่า นายฟูจิโอ ผู้จัดการสาขาในประเทศไทย ได้รับมอบหมายอำนาจให้ฟ้องคดีในรามบริษัทโจทก์ในญี่ปุ่นได้ โดยมีหนังสือมอบอำนาจเป็นหลักฐาน จะได้อ้างส่งศาลวันพิจารณา นายฟูจิโอมิได้อ้างว่าตนเป็นตัวแทนรับมอบอำนาจทั่วไปและมีกรณีฉุกเฉินเพื่อป้องกันความเสียหายของบริษัทโจทก์แต่อย่างไรเลย ต่อมาภายหลังที่จำเลยให้การตัดฟ้องและร้องขอให้ศาลวินิจฉัยเบื้องต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 แล้ว ทนายโจทก์จะอ้างหนังสือมอบอำนาจของบริษัทโจทก์ซึ่งเพิ่งมอบอำนาจขึ้นภายหลังวันที่นายฟูจิโอแต่งทนายยื่นฟ้องศาลแล้ว 9 วัน มาเพื่อแสดงว่านายฟูจิโอมีอำนาจแต่งทนายยื่นฟ้องแทนบริษัทโจทก์ได้หาไม่ และกรณีเช่นว่านี้หาเป็นกรณีฉุกเฉินประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 802 ไม่ เพราะการรู้ว่าบริษัทจะต้องเสียหายด้วยการเสียภาษีนั้น สาขาบริษัทได้รู้นับแต่วันรับแจ้งการประเมินแล้ว มีเวลาเพียงพอตามประมวลรัษฎากร ที่จะจัดการให้ได้รับมอบอำนาจให้การะทำการยื่นฟ้องต่อศาลได้ถ้าบริษัทโจทก์เห็นว่า การเรียกเก็บภาษีไม่ถูกต้องและติดใจจะยื่นฟ้องต่อศาลเมื่อการอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากร ไม่สำเร็จ
การที่นายฟูจิโอแต่ทนายยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว 9 วัน บริษัทโจทก์จึงได้ทำการมอบอำนาจให้นายฟูจิโอทำการยื่นฟ้องต่อศาลแทนบริษัทได้ ทั้งได้ให้สัตยาบันการกระทำที่แล้วมานั้นด้วย ก็ไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องอันชอบด้วยวิธีพิจารณา เพราะเมื่อนายฟูจิโอไม่มีอำนาจแต่งทนายยื่นฟ้องแทนบริษัทในเวลาที่ยื่นฟ้องนั้นแล้ว ฟ้องของโจทก์ก็ไม่เป็นฟ้องอันชอบด้วยวิธีพิจารณามาแต่แรก ไม่มีทางใด ๆ ที่ศาลจะรับฟ้องไว้พิจารณามาแต่ต้น แม้จะได้มีการรับรองหรือให้สัตยาบันในภายหลังต่อมา ก็หากระทำให้ฟ้องที่เสียใช้ไม่ได้แล้วนั้น กลับคืนดีมาเป็นฟ้องอันชอบด้วยวิธีพิจารณาในภายหลังได้ไม่ (อ้างฎีกาที่ 723-724/2503 ซึ่งวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 9/2502)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 925/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีแทนบริษัท: การมอบอำนาจหลังยื่นฟ้องเป็นโมฆะ แม้มีการให้สัตยาบัน
ในคดีแพ่ง ศาลจำจะต้องพิจารณาวินิจฉัยเฉพาะแต่ในข้อประเด็นที่คู่ความอ้างอิงยกขึ้นเป็นสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาอันปรากฏตามฟ้องและคำให้การเท่านั้น
ตามฟ้อง โจทก์กล่าวอ้างว่า นายฟูจิโอ ผู้จัดการสาขาในประเทศไทย ได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีในนามบริษัทโจทก์ในญี่ปุ่นได้ โดยมีหนังสือมอบอำนาจเป็นหลักฐาน จะได้อ้างส่งศาลวันพิจารณา นายฟูจิโอมิได้อ้างว่าตนเป็นตัวแทนรับมอบอำนาจทั่วไปและมีกรณีฉุกเฉินเพื่อป้องกันความเสียหายของบริษัทโจทก์แต่อย่างไรเลย ต่อมาภายหลังที่จำเลยให้การตัดฟ้องและร้องขอให้ศาลวินิจฉัยเบื้องต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 แล้วทนายโจทก์จะอ้างหนังสือมอบอำนาจของบริษัทโจทก์ซึ่งเพิ่งมอบอำนาจขึ้นภายหลังวันที่นายฟูจิโอแต่งทนายยื่นฟ้องศาลแล้ว 9 วันมาเพื่อแสดงว่านายฟูจิโอมีอำนาจแต่งทนายยื่นฟ้องแทนบริษัทโจทก์หาได้ไม่ และกรณีเช่นว่านี้หาเป็นกรณีฉุกเฉินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 802 ไม่ เพราะการรู้ว่าบริษัทจะต้องเสียหายด้วยการเสียภาษีนั้น สาขาบริษัทได้รู้นับแต่วันรับแจ้งการประเมินแล้ว มีเวลาเพียงพอตามประมวลรัษฎากรที่จะจัดการให้ได้รับมอบอำนาจให้กระทำการยื่นฟ้องต่อศาลได้ถ้าบริษัทโจทก์เห็นว่าการเรียกเก็บภาษีไม่ถูกต้องและติดใจจะยื่นฟ้องต่อศาลเมื่อการอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากรไม่สำเร็จ
การที่นายฟูจิโอแต่งทนายยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว 9 วัน บริษัทโจทก์จึงได้ทำการมอบอำนาจให้นายฟูจิโอทำการยื่นฟ้องต่อศาลแทนบริษัทได้ ทั้งได้ให้สัตยาบันการกระทำที่แล้วมานั้นด้วย ก็ไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องอันชอบด้วยวิธีพิจารณา เพราะเมื่อนายฟูจิโอไม่มีอำนาจแต่งทนายยื่นฟ้องแทนบริษัทในเวลาที่ยื่นฟ้องนั้นแล้วฟ้องของโจทก์ก็ไม่เป็นฟ้องอันชอบด้วยวิธีพิจารณามาแต่แรก ไม่มีทางใดๆ ที่ศาลจะรับฟ้องไว้พิจารณามาแต่ต้น แม้จะได้มีการรับรองหรือให้สัตยาบันในภายหลังต่อมา ก็หากระทำให้ฟ้องที่เสียใช้ไม่ได้แล้วนั้นกลับคืนดีมาเป็นฟ้องอันชอบด้วยวิธีพิจารณาในภายหลังได้ไม่ (อ้างฎีกาที่ 723-724/2502 ซึ่งวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2502)
ตามฟ้อง โจทก์กล่าวอ้างว่า นายฟูจิโอ ผู้จัดการสาขาในประเทศไทย ได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีในนามบริษัทโจทก์ในญี่ปุ่นได้ โดยมีหนังสือมอบอำนาจเป็นหลักฐาน จะได้อ้างส่งศาลวันพิจารณา นายฟูจิโอมิได้อ้างว่าตนเป็นตัวแทนรับมอบอำนาจทั่วไปและมีกรณีฉุกเฉินเพื่อป้องกันความเสียหายของบริษัทโจทก์แต่อย่างไรเลย ต่อมาภายหลังที่จำเลยให้การตัดฟ้องและร้องขอให้ศาลวินิจฉัยเบื้องต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 แล้วทนายโจทก์จะอ้างหนังสือมอบอำนาจของบริษัทโจทก์ซึ่งเพิ่งมอบอำนาจขึ้นภายหลังวันที่นายฟูจิโอแต่งทนายยื่นฟ้องศาลแล้ว 9 วันมาเพื่อแสดงว่านายฟูจิโอมีอำนาจแต่งทนายยื่นฟ้องแทนบริษัทโจทก์หาได้ไม่ และกรณีเช่นว่านี้หาเป็นกรณีฉุกเฉินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 802 ไม่ เพราะการรู้ว่าบริษัทจะต้องเสียหายด้วยการเสียภาษีนั้น สาขาบริษัทได้รู้นับแต่วันรับแจ้งการประเมินแล้ว มีเวลาเพียงพอตามประมวลรัษฎากรที่จะจัดการให้ได้รับมอบอำนาจให้กระทำการยื่นฟ้องต่อศาลได้ถ้าบริษัทโจทก์เห็นว่าการเรียกเก็บภาษีไม่ถูกต้องและติดใจจะยื่นฟ้องต่อศาลเมื่อการอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากรไม่สำเร็จ
การที่นายฟูจิโอแต่งทนายยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว 9 วัน บริษัทโจทก์จึงได้ทำการมอบอำนาจให้นายฟูจิโอทำการยื่นฟ้องต่อศาลแทนบริษัทได้ ทั้งได้ให้สัตยาบันการกระทำที่แล้วมานั้นด้วย ก็ไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องอันชอบด้วยวิธีพิจารณา เพราะเมื่อนายฟูจิโอไม่มีอำนาจแต่งทนายยื่นฟ้องแทนบริษัทในเวลาที่ยื่นฟ้องนั้นแล้วฟ้องของโจทก์ก็ไม่เป็นฟ้องอันชอบด้วยวิธีพิจารณามาแต่แรก ไม่มีทางใดๆ ที่ศาลจะรับฟ้องไว้พิจารณามาแต่ต้น แม้จะได้มีการรับรองหรือให้สัตยาบันในภายหลังต่อมา ก็หากระทำให้ฟ้องที่เสียใช้ไม่ได้แล้วนั้นกลับคืนดีมาเป็นฟ้องอันชอบด้วยวิธีพิจารณาในภายหลังได้ไม่ (อ้างฎีกาที่ 723-724/2502 ซึ่งวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2502)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 495/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขฟ้องอุทธรณ์ที่ผิดพลาด: ศาลมีอำนาจกำหนดเวลาให้แก้ไขได้ ไม่ถือเป็นการยืดเวลา
ปัญหาว่า คำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ให้ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยแก้อุทธรณ์ของจำเลยที่ผิดพลาดมายื่นใหม่ภายในกำหนดระยะเวลาซึ่งแล้ว แต่ศาลชั้นต้นจะเห็นสมควร นั้น เป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลชั้นต้นตำหนิฟ้องอุทธรณ์ขอจำเลยเพราะพิมพ์ตัวเลข ตอนย่อคำพิพากษาศาลชั้นต้นไขว้เขวไป หาใช่ตัวบรรยายอุทธรณ์แท้ไม่ ศาลชั้นต้นสั่งให้ทำมาใหม่ซึ่งต้องเข้าใจว่า ศาลสั่งโดยอาศัยอำนาจ ป.วิ.พ. มาตรา 18 ประกอบด้วยมาตรา 15 ป.วิ.อ. ซึ่งศาลชอบที่จะกำหนดระยะเวลา ถ้าศาลไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ ก็พึงเข้าใจว่า ภายในระยะเวลาอันสมควร การที่ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้จำเลยแก้ฟ้องอุทธรณ์หรือยื่นฟ้องอุทธรณ์ใหม่ให้ถูกต้องตามที่ศาลชั้นต้นตำหนิ หาใช่เป็นยืดเวลา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ไม่ หากแต่เป็นเรื่องจะให้ยื่นอุทธรณ์ใหม่ตามที่สั่งไว้เดิมแล้ว หรือไม่เท่านั้น (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2503)
ศาลชั้นต้นตำหนิฟ้องอุทธรณ์ขอจำเลยเพราะพิมพ์ตัวเลข ตอนย่อคำพิพากษาศาลชั้นต้นไขว้เขวไป หาใช่ตัวบรรยายอุทธรณ์แท้ไม่ ศาลชั้นต้นสั่งให้ทำมาใหม่ซึ่งต้องเข้าใจว่า ศาลสั่งโดยอาศัยอำนาจ ป.วิ.พ. มาตรา 18 ประกอบด้วยมาตรา 15 ป.วิ.อ. ซึ่งศาลชอบที่จะกำหนดระยะเวลา ถ้าศาลไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ ก็พึงเข้าใจว่า ภายในระยะเวลาอันสมควร การที่ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้จำเลยแก้ฟ้องอุทธรณ์หรือยื่นฟ้องอุทธรณ์ใหม่ให้ถูกต้องตามที่ศาลชั้นต้นตำหนิ หาใช่เป็นยืดเวลา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ไม่ หากแต่เป็นเรื่องจะให้ยื่นอุทธรณ์ใหม่ตามที่สั่งไว้เดิมแล้ว หรือไม่เท่านั้น (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2503)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 495/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขอุทธรณ์ที่ผิดพลาด: ศาลชอบที่จะกำหนดเวลาให้จำเลยยื่นอุทธรณ์ใหม่ได้ ไม่เป็นการยืดเวลา
ปัญหาว่า คำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ให้ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยแก้อุทธรณ์ของจำเลยที่ผิดพลาดมายื่นใหม่ภายในกำหนดระยะเวลาซึ่งแล้วแต่ศาลชั้นต้นจะเห็นสมควร นั้นเป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลชั้นต้นตำหนิฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยเพราะพิมพ์ตัวเลขตอนย่อคำพิพากษาศาลชั้นต้นไขว้เขวไป หาใช่ตัวบรรยายอุทธรณ์แท้ไม่ ศาลชั้นต้นสั่งให้ทำมาใหม่ซึ่งต้องเข้าใจว่า ศาลสั่งโดยอาศัยอำนาจประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ประกอบด้วยมาตรา 15ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งศาลชอบที่จะกำหนดระยะเวลาถ้าศาลไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ ก็พึงเข้าใจว่า ภายในระยะเวลาอันสมควรการที่ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้จำเลยแก้ฟ้องอุทธรณ์หรือยื่นฟ้องอุทธรณ์ใหม่ให้ถูกต้องตามที่ศาลชั้นต้นตำหนิ หาใช่เป็นการยืดเวลาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ไม่หากแต่เป็นเรื่องจะให้ยื่นอุทธรณ์ใหม่ตามที่สั่งไว้เดิมแล้วหรือไม่เท่านั้น (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2503)
ศาลชั้นต้นตำหนิฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยเพราะพิมพ์ตัวเลขตอนย่อคำพิพากษาศาลชั้นต้นไขว้เขวไป หาใช่ตัวบรรยายอุทธรณ์แท้ไม่ ศาลชั้นต้นสั่งให้ทำมาใหม่ซึ่งต้องเข้าใจว่า ศาลสั่งโดยอาศัยอำนาจประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ประกอบด้วยมาตรา 15ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งศาลชอบที่จะกำหนดระยะเวลาถ้าศาลไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ ก็พึงเข้าใจว่า ภายในระยะเวลาอันสมควรการที่ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้จำเลยแก้ฟ้องอุทธรณ์หรือยื่นฟ้องอุทธรณ์ใหม่ให้ถูกต้องตามที่ศาลชั้นต้นตำหนิ หาใช่เป็นการยืดเวลาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ไม่หากแต่เป็นเรื่องจะให้ยื่นอุทธรณ์ใหม่ตามที่สั่งไว้เดิมแล้วหรือไม่เท่านั้น (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2503)