คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 ม. 72 ทวิ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 59 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 97/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รอการลงโทษ จำเลยมีพฤติการณ์ขนไม้เถื่อนและใช้เครื่องวิทยุสื่อสารดักฟังตำรวจ
แม้ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนแต่ปรากฏตามรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติ ว่าจำเลยมีอาชีพรับจ้างขับรถไถลากไม้เถื่อน จากเขตแดน ประเทศไทย- พม่า และใช้เครื่องวิทยุคมนาคมของกลาง เพื่อดักฟังการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานตำรวจขณะจำเลย ขนไม้เถื่อน ทั้งการมีและพาอาวุธปืนของกลางก็เป็นไป เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าวด้วย พฤติการณ์แห่งคดีจึง ไม่สมควรรอการลงโทษให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 93/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานลักทรัพย์และมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองเป็นคนละกรรม, เจตนาใช้อาวุธเป็นภัยต่อสังคม ไม่รอการลงโทษ
หลังจากจำเลยที่ 1 ลักอาวุธปืนของผู้เสียหายไปจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองอาวุธปืนดังกล่าวติดต่อกันตลอดมาจนถึงวันจับกุมเป็นเวลา 1 ปีเศษ โดยไม่ได้รับอนุญาตจำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตลอดเวลาที่ครอบครองอาวุธปืนอยู่จนกระทั่ง ถูกจับกุม ส่วนการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์เป็นความผิด ในขณะใดขณะหนึ่งเท่านั้น การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็น ความผิดหลายกรรมต่างกัน พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ลักอาวุธปืนของนายจ้างแล้วครอบครองพาติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะแสดงว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาจะใช้อาวุธปืนดังกล่าว นับว่าเป็นภัยต่อความปลอดภัยของสุจริตชนโดยทั่วไป และกระทบต่อ ความสงบเรียบร้อยของสังคม สมควรที่จะปราบปรามอย่างเด็ดขาด จึงไม่รอการลงโทษให้จำเลยที่ 1

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 82/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบอาวุธปืน: ความผิดเฉพาะตัวของผู้กระทำ และอำนาจศาลตามบทบัญญัติกฎหมายอาวุธปืน
อาวุธปืนของกลางเป็นอาวุธปืนที่มีใบอนุญาตให้มีและ ใช้เป็นของผู้ร้องโดยถูกต้อง ความผิดของจำเลยอยู่ที่ การมีอาวุธปืนของผู้อื่นไว้โดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืน ดังกล่าวไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นความผิดเฉพาะตัว อาวุธปืนของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิด อันจะต้องริบเสียทั้งสิ้น และแม้จะถือว่าเป็นอาวุธ ซึ่งเมื่อจำเลยพาไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควรแล้ว ศาลมีอำนาจสั่งให้ริบได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 แต่ในเมื่อคดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติ อาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ ซึ่งมีบทลงโทษตามมาตรา 72 ทวิ อีกบทหนึ่ง และศาลชั้นต้นพิพากษาว่าเป็นการกระทำกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยตาม พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 72 ทวิ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษ หนักที่สุดแล้วศาลก็ย่อมไม่อาจพิพากษาให้ริบอาวุธปืน ของกลางได้ เพราะมาตรา 72 ทวิ มิได้บัญญัติให้อำนาจศาล สั่งริบอาวุธปืนที่พาไปโดยผิดกฎหมายได้เลย และจะสั่ง ให้ริบอาวุธปืนโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ที่โจทก์กล่าวมาในฟ้องซึ่งเป็นบทเบาก็ไม่ได้ด้วย เพราะศาล ไม่ได้ลงโทษจำเลยตามบทนี้ เมื่ออาวุธปืนของกลางริบไม่ได้ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำ ความผิดของจำเลยหรือไม่อีกต่อไป เมื่อศาลพิพากษาให้ริบอาวุธปืน ของกลางไปแล้ว ต่อมาผู้ร้องมาร้องขอคืน ก็ต้องคืนอาวุธปืน ของกลางแก่ผู้ร้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6496/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขู่เข็ญด้วยอาวุธปืนในที่ดินส่วนตัว ไม่ถือเป็นการพาอาวุธไปในหมู่บ้าน
ผู้เสียหายกับจำเลยต่างมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนทั้งก่อนเกิดเหตุคดีนี้เล็กน้อยผู้เสียหายกับจำเลยก็ยังมีปากเสียงโต้เถียงกัน ต่อมาเมื่อผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์ตามไปทันมารดาผู้เสียหาย จำเลยเดินเข้าไปหาผู้เสียหายแล้วจำเลยซักอาวุธปืนสั้นซึ่งยังใส่อยู่ในซองปืนออกจากเอวเล็งไปทางผู้เสียหายขณะอยู่ห่างกันประมาณ 2 เมตร ทั้งจำเลยยังพูดอีกด้วยว่า "มึงจะลองกับกูหรือมึงอยากตายหรือไง"ลักษณะกิริยาอาการตลอดจนคำพูดของจำเลยแสดงแจ้งชัดอยู่ในตัวว่า จำเลยใช้อาวุธปืนขู่เข็ญผู้เสียหาย การที่จำเลยใช้อาวุธปืน ซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงใช้ประหัตประหาร แม้จะยังอยู่ในซองปืน กระทำการดังกล่าวแล้วตามวิสัยวิญญูชนผู้ตกอยู่ในภาวะ อันมิได้คาดคิดมาก่อน ย่อมจะต้องตกใจกลัว ผู้เสียหาย ซึ่งประสบเหตุการณ์เช่นนี้ก็มิได้พูดอะไรกับจำเลย ทั้งที่ ก่อนหน้านั้นยังโต้เถียงกับจำเลย แต่ผู้เสียหายกลับขับรถจักรยานยนต์ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจทันทีแสดงว่าผู้เสียหายกลัวภัยที่จะเกิดขึ้นแก่ตนแล้ว ตามวิสัย ปุถุชนทั่วไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 392 การที่จำเลยพาอาวุธปืนติดตัวอยู่ในที่ดินซึ่งตนมีส่วน เป็นเจ้าของอยู่ด้วย หาใช่เป็นการพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านดังที่พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ,72 ทวิ ประสงค์ให้เป็นความผิดไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2960/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของคำฟ้องอาญา และการลงโทษความผิดฐานมีอาวุธปืนกับพาอาวุธปืน แม้กระทำในวาระเดียวกันก็เป็นความผิดหลายกรรม
โจทก์ได้บรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้ กระทำความผิดครบองค์ประกอบความผิดตามที่โจทก์มีคำขอให้ ลงโทษจำเลยในคำขอท้ายฟ้องแล้ว แม้ตามคำฟ้องโจทก์จะมิได้ ระบุเลขที่บ้านของจำเลยก็ตาม แต่โจทก์ก็ได้ระบุว่าจำเลย ตั้งบ้านเรือนอยู่หมู่ที่ 9 ตำบลห้วยใหญ่อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ อันเป็นที่อยู่ของจำเลย และบรรยายด้วยว่า จำเลยชื่อ ก. อายุ 38 ปีเชื้อชาติไทย สัญชาติไทย ดังนี้ ถือได้ว่าฟ้องโจทก์ได้บรรยายชื่อตัว นามสกุล อายุ ที่อยู่ ชาติและบังคับของจำเลยครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(4) แล้ว ความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดต่างกรรมกับความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะหรือในที่ชุมนุมชนที่จัดให้มีขึ้นเพื่อ การรื่นเริง การมหรสพโดยเปิดเผย โดยไม่มีเหตุสมควรและโดย ไม่ได้รับอนุญาต เพราะความผิดทั้งสองฐานมีเจตนาในการกระทำผิดเป็นคนละอันแตกต่างกันและเป็นความผิดต่างฐานกัน แม้จำเลย จะกระทำความผิดทั้งสองฐานนี้ในวาระเดียวกัน การกระทำของจำเลย เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3945/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองอาวุธปืนในรถยนต์: เจตนาขนย้าย vs. พาติดตัว
เจ้าพนักงานตำรวจได้ตรวจค้นและพบอาวุธปืนพร้อมกระสุนปืนของกลางในกระเป๋าเอกสารซึ่งปิดอยู่และวางอยู่ที่เบาะหลังรถยนต์ซึ่งจำเลยเป็นผู้ขับเมื่อปรากฎว่ากระเป๋าเอกสารที่อาวุธปืนของกลางบรรจุอยู่ภายในนั้นโดยสภาพมีกุญแจล็อกถึง 2 ด้านทั้งวางอยู่ที่เบาะด้านหลัง การจะหยิบฉวยอาวุธปืนมาใช้ทันทีทันใดนั้นย่อมเป็นได้ยาก ทั้งจำเลยมีเจตนาเพียงขนย้ายสิ่งของจึงมิอาจถือได้ว่าเป็นการพาติดตัว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7601/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองและพกพาอาวุธปืนในพื้นที่หมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต
สถานที่เกิดเหตุที่จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นยิงโจทก์ร่วมเกิดที่ร้านขายอาหารของโจทก์ร่วม ซึ่งตั้งอยู่หมู่ที่ 4 ตำบลนาชุมเห็ดอำเภอย่านตาขาว จังหวัดตรัง อยู่ห่างถนนสายลำปลอก-นาโยง ประมาณ 8 เมตรจึงเป็นหมู่บ้านตามความหมายของคำว่า หมู่บ้านแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 และตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1576/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากยิงด้วยอาวุธปืนร้ายแรง แม้ไม่ถึงแก่ชีวิต ถือเป็นความผิดฐานพยายามฆ่า
ความผิดฐานมีอาวุธปืน ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7,72 วรรคแรก จำคุก1 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามมาตรา 7,72 วรรคสาม จำคุก 6 เดือน ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219ส่วนความผิดฐานพาอาวุธปืนศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคแรก,72 ทวิ วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 จำคุก 6 เดือนศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เฉพาะบทลงโทษเป็น มาตรา 8 ทวิ วรรคสอง,72 ทวิ วรรคสอง ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก จำเลยทั้งสองฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดทั้งสองฐานเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว การที่จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์มีจำเลยที่ 1 ซ้อนท้ายโดยจำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนลูกซองสั้นติดตัวไป เมื่อพบผู้เสียหายทั้งสามกับพวกกำลังคุยกันอยู่ จำเลยที่ 1 ก็ยิงปืนไปที่ผู้เสียหายทั้งสาม อาวุธปืนเป็นอาวุธที่ร้ายแรงถ้าหากยิงถูกอวัยวะสำคัญอาจถึงตายได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายทั้งสาม จำเลยทั้งสองลงมือกระทำไปโดยตลอดแล้วแต่การกระทำไม่บรรลุผล เนื่องจากกระสุนปืนถูกอวัยวะไม่สำคัญจำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 293/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาครอบครองอาวุธปืน - จำเลยมีเจตนาส่งมอบอาวุธปืนให้เจ้าพนักงาน ไม่ถือว่ามีความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง
จำเลยเป็นพนักงานขับรถของมูลนิธิปอเต็กตึ้งได้ขับรถยนต์ไปที่เกิดเหตุรถชนกัน มีผู้นำถุงบรรจุอาวุธปืนมามอบให้แจ้งว่าเป็นของผู้ได้รับบาดเจ็บจำเลยได้ติดตามหาเจ้าของเพื่อมอบอาวุธปืนคืนเมื่อไม่พบก็ตั้งใจจะมอบให้แก่เจ้าพนักงานตำรวจ แต่ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับเสียก่อน ดังนี้จำเลยไม่มีความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพกพาไปในทางสาธารณะ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 89/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปรับบทลงโทษอาวุธปืน: ศาลฎีกาแก้ไขโทษฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนโดยพิจารณาจากข้อเท็จจริงและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
เจ้าพนักงานตำรวจไม่ได้อาวุธปืนที่จำเลยที่ 1 ใช้ในการกระทำความผิดมาเป็นของกลาง ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ให้การแต่เพียงว่าอาวุธปืนที่ใช้ยิงผู้ตายไม่ทราบว่ามีหมายเลขทะเบียนหรือไม่ มิได้ให้การว่า ได้ใช้อาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนยิงผู้ตาย ทั้งโจทก์ก็มิได้นำสืบให้เห็นว่าเป็นอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียน ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 72 วรรคแรก อันเป็นบทลงโทษสำหรับกรณีที่เป็นอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนโดยไม่ได้รับอนุญาตจึงเป็นการไม่ชอบ ต้องปรับบทลงโทษตาม มาตรา 72 วรรคสาม ซึ่งเป็นเพียงการมีอาวุธปืนของผู้อื่นซึ่งได้รับอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายส่วนข้อหาความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลอุทธรณ์มิได้ปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ซึ่งโจทก์ขอมาในคำขอท้ายฟ้องด้วย เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขโดยปรับบทลงโทษตามมาตรา 8 ทวิ วรรคแรก,72 ทวิ วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 แต่ให้ลงโทษตามมาตรา 72 ทวิ วรรคสองซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90และเมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอาวุธปืนที่จำเลยที่ 1 พาไปเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เป็นผลร้ายน้อยกว่า ศาลฎีกาย่อมกำหนดโทษสำหรับความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตลดลงจากที่ศาลอุทธรณ์กำหนดด้วย
of 6