พบผลลัพธ์ทั้งหมด 370 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1866/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงขายฝากที่ดิน: เจตนาทุจริตนำชี้ที่ดินผิดแปลงหลอกลวงผู้เสียหาย
จำเลยมีเจตนาทุจริตนำชี้ที่ดินแปลงของผู้อื่นเพื่อหลอกลวงผู้เสียหายว่าเป็นที่ดินของจำเลยที่ประสงค์จะขายฝากแก่ผู้เสียหายทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและรับซื้อฝากที่ดินแปลงของจำเลยไว้จำเลยจึงมีความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1823/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา (มีเหตุทำร้ายร่างกาย) และช่วยเหลือตัวผู้กระทำผิด
++ เรื่อง ความผิดต่อชีวิต ++
++ ทดสอบทำงานในเครื่อง ++
++
++
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่7 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ 7 นาฬิกา มีผู้พบศพนายอุรินทร์หาญเสือเหลือง ผู้ตายอยู่ในร่องน้ำข้างสะพาน ริมถนนจากบ้านหนองหมูไปบ้านป่าแขมใต้ ตำบลบ้านมาง อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา
++
++ ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 1 มีว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่
++ โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบเพื่อให้เห็นสาเหตุว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันฆ่าผู้ตายเพราะว่าจำเลยทั้งสองเป็นชู้กัน โดยโจทก์ร่วมทั้งสองเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายเล่าให้ฟังว่าจำเลยที่ 2 เป็นชู้กับจำเลยที่ 1 ผู้ตายจะหย่ากับจำเลยที่ 2 โจทก์ร่วมทั้งสองห้ามปรามไว้เนื่องจากเห็นว่ามีบุตรด้วยกัน ผู้ตายพูดว่าเมื่อไม่หย่าก็จะร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 นอกจากนี้โจทก์และโจทก์ร่วมยังมีนางจันทนา เงินวงศ์นัยครูโรงเรียนเดียวกันกับผู้ตายเบิกความเป็นพยานว่า เมื่อประมาณปี 2536ถึงปี 2537 เคยไปบ้านจำเลยที่ 2 เพื่อจะนำมะม่วงไปให้ พบจำเลยที่ 2นั่งคลอเคลียพลอดรักอยู่กับจำเลยที่ 1 จึงทำทีออกมาเรียกว่ามีใครอยู่ในบ้านบ้าง เมื่อเข้าไปใหม่จำเลยทั้งสองจึงแยกจากกันและได้ยินข่าวว่าจำเลยทั้งสองมีเรื่องชู้สาวกัน นายสินธุ ทนันชัย พยานโจทก์และโจทก์ร่วมอีกปากหนึ่งก็เบิกความว่าทราบข่าวว่าจำเลยทั้งสองเป็นชู้กัน และชาวบ้านพูดกันว่าจำเลยที่ 2 เป็นชู้กับจำเลยที่ 1 พยานหลักฐานโดยตรงเกี่ยวกับจำเลยที่ 1นั้น โจทก์และโจทก์ร่วมมีนายสินธุเบิกความว่า เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2537มีการแข่งขันฟุตบอลที่โรงเรียนชุมชนบ้านมาง หลังจากเสร็จการแข่งขันแล้วเวลาประมาณ 17.30 นาฬิกา ได้มีการร่วมวงดื่มสุรากันข้างสนามฟุตบอลโดยมีผู้ตายร่วมด้วย เวลาประมาณ 18 นาฬิกา จำเลยที่ 1 มาร่วมดื่มสุราด้วย จากนั้นอีกประมาณ 1 ชั่วโมง คนที่ร่วมวงได้ขอตัวกลับคงเหลือแต่นายสินธุกับผู้ตายและจำเลยที่ 1 อีกประมาณ 15 นาทีทั้งหมดก็แยกย้ายกันกลับ นายสินธุเดินมาเอารถจักรยานยนต์ของตนเองผู้ตายกับจำเลยที่ 1 เดินคู่กันไปเอารถยนต์ของผู้ตายซึ่งจอดอยู่ที่โรงอาหารเมื่อนายสินธุขับรถผ่านผู้ตายตะโกนถามว่า จะไปต่อบนดอยซึ่งหมายถึงบ้านของจำเลยที่ 1 หรือไม่ นายสินธุตอบว่าขอคิดดูก่อน แล้วนายสินธุขับรถมาที่ประตูหน้าโรงเรียน แวะบ้านนายฮดที่หน้าโรงเรียน ระหว่างนั้นเห็นรถผู้ตายออกมา แต่ไม่ได้สังเกตว่าใครเป็นคนขับรถของผู้ตายเลี้ยวขึ้นไปจอดทางขึ้นบ้านจำเลยที่ 1 ห่างจากที่นายสินธุยืนอยู่ประมาณ 80 เมตร ขณะนั้นเวลาประมาณ 19.30 นาฬิกา นายสินธุคุยกับนายฮดต่ออีกประมาณ 10 นาที จึงกลับบ้าน ขณะนั้นรถของผู้ตายยังจอดอยู่ที่เดิม มีนางมาลัย ประสงค์ เบิกความว่า เป็นภิรยาของนายธานีประสงค์ ซึ่งเป็นนักการของโรงเรียนชุมชนบ้านมาง เห็นจำเลยที่ 1นั่งรถไปกับผู้ตายเพราะตอนนั้นพยานเข้าไปเก็บของ และมีนายธานีมาเบิกความสนับสนุนว่า เชื่อว่าจำเลยที่ 1 ไปกับผู้ตายเพราะได้ถามจำเลยที่ 1 ว่าจะให้พยานไปส่งหรือไม่ เนื่องจากเห็นว่าไม่ได้เอารถมา จำเลยที่ 1 บอกว่า ผู้ตายจะไปส่ง มีนายสวน ขันทะบุตรเบิกความว่า เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ 22 นาฬิกาได้ยินเสียงคนร้องให้ช่วยทางทิศเหนือของบ้านห่างจากบ้านประมาณ400 เมตร จำได้ว่าเป็นเสียงของผู้ตาย และมีนายวิน ตั๋นแก้วเบิกความสนับสนุนว่า มารับจ้างก่อสร้างห้องน้ำห้องส้วมที่โรงเรียนชุมชนบ้านมาง พักอาศัยอยู่ที่บ้านพักครูในโรงเรียนดังกล่าวในวันที่6 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ 22 นาฬิกา ขณะนอนหลับอยู่สะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงสุนัขเห่าหอนและได้ยินเสียงแว่ว ๆ มาเป็นเสียงคนร้องขอความช่วยเหลือทางทิศเหนือบริเวณเชิงดอยประมาณ 10 นาทีและเมื่อพบศพผู้ตายแล้ว โจทก์และโจทก์ร่วมมีพันตำรวจโททักษ์พลเมืองดี เบิกความว่า เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ6 ถึง 7 นาฬิกา ได้รับแจ้งจากร้อยตำรวจเอกสนิท เหมืองอุ่น ว่ามีรถแฉลบอยู่บริเวณถนนสายบ้านหนองหมู - ป่าแขม และมีศพคนตายนอนอยู่บริเวณร่องน้ำ จึงสั่งให้พนักงานสอบสวนไปที่เกิดเหตุและพันตำรวจโททักษ์ได้ติดตามไปด้วย จากการตรวจที่เกิดเหตุและประสบการณ์ที่ผ่านมา พันตำรวจโททักษ์มีความคลางแคลงใจว่าไม่น่าจะเป็นอุบัติเหตุโดยสังเกตบริเวณที่เกิดเหตุไม่มีร่องรอยเบรกของรถ รถอยู่ในสภาพเกียร์ว่างไม่มีรอยครูดของถนนบริเวณที่ผู้ตายตกลงไป ระหว่างรถกับศพมีต้นไม้ขึ้นอยู่ไม่มีลักษณะผิดปกติ ต่อมาวันที่ 12 ธันวาคม 2537 พันตำรวจโททักษ์พันตำรวจโทสงวน เขื่อนคำ จ่าสิบตำรวจกมล วงศ์แพทย์ และนายแก้วเมืองมีทรัพย์ทองทวี ได้ไปตรวจค้นบ้านของจำเลยที่ 1 พบจอบ 1 เล่ม ก้อนหิน3 ถึง 4 ก้อน และบริเวณโต๊ะยาว ซึ่งอยู่ในบริเวณบ้านของจำเลยที่ 1มีคราบโลหิตติดอยู่ พันตำรวจโททักษ์สั่งให้จ่าสิบตำรวจกมลเก็บหลักฐานร่องรอยคราบโลหิตที่พบและต่อมาวันที่ 13 ธันวาคม 2537 พันตำรวจโทสงวนร้อยตำรวจเอกสนิท และจ่าสิบตำรวจกมลไปตรวจบ้านจำเลยที่ 1 อีกครั้งที่ห้างห่างจากบ้านจำเลยที่ 1 ประมาณ 50 เมตร พบกางเกงเก่าอยู่บนห้างมีคราบโลหิตติดอยู่เต็มไปหมดและมีรอยคราบโลหิตใหม่ประมาณ 5 วันติดอยู่บนพื้นห้างไหลหยดลงใต้ถุนห้างด้วย พันตำรวจโททักษ์ได้ส่งคราบโลหิตทั้งหมดไปตรวจพิสูจน์ที่ภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นอกจากนี้ยังส่งศพผู้ตายไปให้แพทย์ตรวจโดยละเอียดอีกครั้งนายแพทย์สมศักดิ์ วงไวเวช เบิกความว่า พยานจบการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งแต่ปี 2529 ได้รับบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขานิติเวชศาสตร์ จากแพทยสภาเมื่อปี 2534 และรับราชการเป็นอาจารย์ประจำภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีหน้าที่ชันสูตรพลิกศพและตรวจวัตถุพยานในคดีต่าง ๆ เกี่ยวกับคดีนี้เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2537 พยานได้รับถุงพลาสติกบรรจุสิ่งของเป็นคราบลักษณะเป็นผงหยาบคล้ายคราบโลหิตจำนวน 2 ถุง จากพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยาตามหนังสือนำส่งแจ้งว่าพบกองโลหิตอยู่ที่พื้นดินห่างจากศพผู้ตายประมาณ1 เมตร ขอทราบว่าโลหิตแห้งที่ส่งมาตรวจเป็นหมู่โลหิตของผู้ตายหรือไม่ผลการตรวจเป็นคราบโลหิตมนุษย์หมู่บี ซึ่งเป็นโลหิตหมู่เดียวกับผู้ตายวันที่ 12 ธันวาคม 2537 พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเชียงม่วนได้ส่งศพผู้ตายมาตรวจเพื่อหาสาเหตุการตายและรายละเอียดต่าง ๆจากการตรวจศพปรากฏว่าสภาพศพเน่า ผ่านการฉีดฟอร์มาลินมาแล้วพบบาดแผลถลอกบริเวณคาง บาดแผลฟกช้ำที่เข่าซ้าย บาดแผลฟกช้ำที่บริเวณกลางทรวงอก บาดแผลฟกช้ำที่ศีรษะบาดแผลฉีกขาดบริเวณศีรษะด้านขวา ยาว 2 เซนติเมตร 3 เซนติเมตร อีกสองแผลยาวประมาณ 4 เซนติเมตร ตามลำดับอยู่เหนือใบหูขวามีลักษณะเป็นกลุ่มชิดกันยังพบบาดแผลใต้แผลฉีกขาดจนกะโหลกศีรษะมีลักษณะยุบ วัดความกว้างยาวประมาณ 3 เซนติเมตร ลึก 0.5 เซนติเมตร สันนิษฐานว่า ลักษณะบาดแผลทั้งหมดเกิดจากกระทบของแข็งไม่มีคมและบาดแผลที่ศีรษะด้านขวาน่าจะถูกของแข็งไม่มีคมแต่มีลักษณะเป็นเหลี่ยมเป็นมุมบาดแผลที่ตรวจพบไม่เป็นสาเหตุให้ตายทันที แต่การตายน่าจะเกิดจากการจมน้ำตาย เนื่องจากตรวจพบน้ำปนเมือกในทางเดินหายใจ ซึ่งน้ำเข้าไปในทางเดินหายใจมากจะทำให้ขาดอากาศหายใจ บาดแผลที่ศพไม่น่าเกิดจากเหตุที่รถจักรยานยนต์ล้ม เนื่องจากบาดแผลบริเวณกลางทรวงอกช้ำและกระดูกส่วนดังกล่าวไม่มีการแตกหัก หากเกิดจากอุบัติเหตุรถชนกันหรือรถล้ม บาดแผลที่เกิดบริเวณทรวงอกส่วนใหญ่จะพบว่าอวัยวะบริเวณใต้ตำแหน่งนั้นจะได้รับอันตรายร่วมด้วย แต่ศพของผู้ตายไม่มี และบาดแผลที่ศีรษะด้านขวาเป็นบาดแผลฉีกขาดมี 4 แผล อยู่ติดบริเวณกลุ่มเดียวกัน สันนิษฐานว่า บาดแผลทั้ง 4 แผล น่าจะเกิดจากการกระทำหลายครั้ง และต่อมาวันที่ 16 ธันวาคม 2537 พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเชียงม่วนส่งวัตถุพยานมีจอบพร้อมด้าม จำนวน 1 เล่มก้อนหิน 2 ก้อน เศษไม้ 4 ชิ้น แผ่นไม้ 1 แผ่น และกางเกงขายาว 1 ตัวมาให้ตรวจหาคราบโลหิต และหมู่โลหิตที่ติดกับของกลางดังกล่าวผลการตรวจสอบพบว่าวัตถุทุกชิ้นติดคราบโลหิตมนุษย์หมู่บี โดยเฉพาะจอบพบคราบโลหิตที่หัวจอบ และนายสินธุยังเบิกความด้วยว่า เมื่อวันที่8 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ 16.30 นาฬิกา พยานได้มาที่โรงเรียนชุมชนบ้านมาง ขณะที่กำลังเดินไปที่รถพบจำเลยที่ 1 กำลังจะขับรถออกจากโรงเรียน จำเลยที่ 1 ได้เรียกพยานให้ไปหายื่นกระดาษให้ 1 แผ่นบอกว่าเมื่อพนักงานสอบสวนถามให้ตอบตามข้อความในกระดาษซึ่งมีข้อความว่าออกจากโรงเรียน 2 ทุ่มกว่า อยู่กัน 2 คน กับผู้ตาย คุยกันเรื่องกีฬา ไม่ได้ทะเลาะกัน
++
++ เห็นว่า โจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้ตาย คงมีแต่พยานแวดล้อมเริ่มตั้งแต่นำสืบว่าจำเลยทั้งสองเป็นชู้กัน ในวันเกิดเหตุมีผู้พบเห็นจำเลยที่ 1 นั่งรถยนต์ไปกับผู้ตายในเส้นทางไปบ้านจำเลยที่ 1 ตกกลางคืนมีเสียงผู้ตายร้องขอความช่วยเหลือมาจากทางบ้านจำเลยที่ 1 พนักงานสอบสวนได้ตรวจพบวัตถุพยานมีจอบพร้อมด้ามจำนวน 1 เล่ม ก้อนหิน 2 ก้อน เศษไม้ 4 ชิ้นแผ่นไม้ 1 แผ่น และกางเกงขายาว 1 ตัว ในบริเวณบ้านของจำเลยที่ 1วัตถุพยานทุกชิ้นมีคราบโลหิตหมู่บี ซึ่งเป็นหมู่โลหิตเดียวกับผู้ตาย โดยเฉพาะจอบพบคราบโลหิตที่หัวจอบ หลังจากเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เขียนข้อความในกระดาษสั่งให้นายสินธุให้การต่อพนักงานสอบสวนบิดเบือนข้อเท็จจริงว่าผู้ตายไม่ได้ไปกับจำเลยที่ 1 เป็นลักษณะป้องกันตัว นอกจากนี้พนักงานสอบสวนผู้ไปตรวจที่พบศพและแพทย์ผู้ทำการชันสูตรพลิกศพต่างก็ไม่เชื่อว่าผู้ตายจะประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนยต์ล้มเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายเพราะขัดต่อหลักฐานในที่พบศพและลักษณะของบาดแผล
++ พยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีเชื่อได้ว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 นั่งรถยนต์ของผู้ตายไปบ้านจำเลยที่ 1 ผู้ตายถูกทำร้ายจากบ้านของจำเลยที่ 1 แล้วถูกนำมาทิ้งไว้ในร่องน้ำจนถึงแก่ความตายเพื่อเป็นการอำพรางคดี
++ จึงเชื่อได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำร้ายผู้ตายและจากบาดแผลของผู้ตายที่ถูกตีอย่างแรงจนกะโหลกศีรษะยุบแสดงว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าผู้ตายแม้ว่าผู้ตายจะไม่ถึงแก่ความตายในทันที แต่การที่ผู้ตายจมน้ำตายก็เป็นผลโดยตรงและต่อเนื่องจากการทำร้าย จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่น
++ แต่พฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดอาจเกิดขึ้นในทันทีเพราะจำเลยที่ 1 และผู้ตายดื่มสุรากันแล้วพากันไปบ้านของจำเลยที่ 1อาวุธที่ใช้ทำร้ายผู้ตายก็มีแต่เพีงจอบเท่านั้น หากจำเลยที่ 1 วางแผนจะฆ่าผู้ตายมาก่อนน่าจะต้องใช้อาวุธที่ดีกว่านี้ ดังนั้นจะฟังว่าเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนไม่ถนัดนัก จำเลยที่ 1 อาจคิดฆ่าผู้ตายในขณะที่พูดคุยกันที่บ้านของจำเลยที่ 1 ในตอนหลังก็เป็นได้ จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ++
++
++ สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังในเบื้องต้นได้ว่าเป็นชู้กับจำเลยที่ 1 ก่อนเกิดเหตุจะเคยไปขอซื้อยาสลบจากโรงพยาบาลให้จำเลยที่ 1 แต่ก็ซื้อไม่ได้ หลังจากเกิดเหตุแล้ว จำเลยที่ 2 ได้แนะนำนายสินธุให้ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าในวันเกิดเหตุมีนายสินธุอยู่กับผู้ตายสองคนเท่านั้น และแยกกับผู้ตายบริเวณสะพานน้ำพื้ คุยกับผู้ตายเกี่ยวกับเรื่องกีฬาไม่ได้ดื่มสุรา อันเป็นลักษณะช่วยเหลือกันตัวจำเลยที่ 1 ให้ออกไปไม่ให้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โดยไม่มีเหตุผลเป็นพิรุธเหมือนหนึ่งตนมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วย แต่ก็เป็นที่น่าสงสัยเท่านั้น เพราะไม่ปรากฏว่ามีพยานผู้ใดรู้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ได้ไปที่บ้านของจำเลยที่ 1 ในวันเกิดเหตุ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของผู้ตาย
++ พยานโจทก์และโจทก์ร่วมยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำผิดด้วยหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยที่ 2 ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ++
++ ทดสอบทำงานในเครื่อง ++
++
++
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่7 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ 7 นาฬิกา มีผู้พบศพนายอุรินทร์หาญเสือเหลือง ผู้ตายอยู่ในร่องน้ำข้างสะพาน ริมถนนจากบ้านหนองหมูไปบ้านป่าแขมใต้ ตำบลบ้านมาง อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา
++
++ ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 1 มีว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่
++ โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบเพื่อให้เห็นสาเหตุว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันฆ่าผู้ตายเพราะว่าจำเลยทั้งสองเป็นชู้กัน โดยโจทก์ร่วมทั้งสองเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายเล่าให้ฟังว่าจำเลยที่ 2 เป็นชู้กับจำเลยที่ 1 ผู้ตายจะหย่ากับจำเลยที่ 2 โจทก์ร่วมทั้งสองห้ามปรามไว้เนื่องจากเห็นว่ามีบุตรด้วยกัน ผู้ตายพูดว่าเมื่อไม่หย่าก็จะร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 นอกจากนี้โจทก์และโจทก์ร่วมยังมีนางจันทนา เงินวงศ์นัยครูโรงเรียนเดียวกันกับผู้ตายเบิกความเป็นพยานว่า เมื่อประมาณปี 2536ถึงปี 2537 เคยไปบ้านจำเลยที่ 2 เพื่อจะนำมะม่วงไปให้ พบจำเลยที่ 2นั่งคลอเคลียพลอดรักอยู่กับจำเลยที่ 1 จึงทำทีออกมาเรียกว่ามีใครอยู่ในบ้านบ้าง เมื่อเข้าไปใหม่จำเลยทั้งสองจึงแยกจากกันและได้ยินข่าวว่าจำเลยทั้งสองมีเรื่องชู้สาวกัน นายสินธุ ทนันชัย พยานโจทก์และโจทก์ร่วมอีกปากหนึ่งก็เบิกความว่าทราบข่าวว่าจำเลยทั้งสองเป็นชู้กัน และชาวบ้านพูดกันว่าจำเลยที่ 2 เป็นชู้กับจำเลยที่ 1 พยานหลักฐานโดยตรงเกี่ยวกับจำเลยที่ 1นั้น โจทก์และโจทก์ร่วมมีนายสินธุเบิกความว่า เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2537มีการแข่งขันฟุตบอลที่โรงเรียนชุมชนบ้านมาง หลังจากเสร็จการแข่งขันแล้วเวลาประมาณ 17.30 นาฬิกา ได้มีการร่วมวงดื่มสุรากันข้างสนามฟุตบอลโดยมีผู้ตายร่วมด้วย เวลาประมาณ 18 นาฬิกา จำเลยที่ 1 มาร่วมดื่มสุราด้วย จากนั้นอีกประมาณ 1 ชั่วโมง คนที่ร่วมวงได้ขอตัวกลับคงเหลือแต่นายสินธุกับผู้ตายและจำเลยที่ 1 อีกประมาณ 15 นาทีทั้งหมดก็แยกย้ายกันกลับ นายสินธุเดินมาเอารถจักรยานยนต์ของตนเองผู้ตายกับจำเลยที่ 1 เดินคู่กันไปเอารถยนต์ของผู้ตายซึ่งจอดอยู่ที่โรงอาหารเมื่อนายสินธุขับรถผ่านผู้ตายตะโกนถามว่า จะไปต่อบนดอยซึ่งหมายถึงบ้านของจำเลยที่ 1 หรือไม่ นายสินธุตอบว่าขอคิดดูก่อน แล้วนายสินธุขับรถมาที่ประตูหน้าโรงเรียน แวะบ้านนายฮดที่หน้าโรงเรียน ระหว่างนั้นเห็นรถผู้ตายออกมา แต่ไม่ได้สังเกตว่าใครเป็นคนขับรถของผู้ตายเลี้ยวขึ้นไปจอดทางขึ้นบ้านจำเลยที่ 1 ห่างจากที่นายสินธุยืนอยู่ประมาณ 80 เมตร ขณะนั้นเวลาประมาณ 19.30 นาฬิกา นายสินธุคุยกับนายฮดต่ออีกประมาณ 10 นาที จึงกลับบ้าน ขณะนั้นรถของผู้ตายยังจอดอยู่ที่เดิม มีนางมาลัย ประสงค์ เบิกความว่า เป็นภิรยาของนายธานีประสงค์ ซึ่งเป็นนักการของโรงเรียนชุมชนบ้านมาง เห็นจำเลยที่ 1นั่งรถไปกับผู้ตายเพราะตอนนั้นพยานเข้าไปเก็บของ และมีนายธานีมาเบิกความสนับสนุนว่า เชื่อว่าจำเลยที่ 1 ไปกับผู้ตายเพราะได้ถามจำเลยที่ 1 ว่าจะให้พยานไปส่งหรือไม่ เนื่องจากเห็นว่าไม่ได้เอารถมา จำเลยที่ 1 บอกว่า ผู้ตายจะไปส่ง มีนายสวน ขันทะบุตรเบิกความว่า เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ 22 นาฬิกาได้ยินเสียงคนร้องให้ช่วยทางทิศเหนือของบ้านห่างจากบ้านประมาณ400 เมตร จำได้ว่าเป็นเสียงของผู้ตาย และมีนายวิน ตั๋นแก้วเบิกความสนับสนุนว่า มารับจ้างก่อสร้างห้องน้ำห้องส้วมที่โรงเรียนชุมชนบ้านมาง พักอาศัยอยู่ที่บ้านพักครูในโรงเรียนดังกล่าวในวันที่6 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ 22 นาฬิกา ขณะนอนหลับอยู่สะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงสุนัขเห่าหอนและได้ยินเสียงแว่ว ๆ มาเป็นเสียงคนร้องขอความช่วยเหลือทางทิศเหนือบริเวณเชิงดอยประมาณ 10 นาทีและเมื่อพบศพผู้ตายแล้ว โจทก์และโจทก์ร่วมมีพันตำรวจโททักษ์พลเมืองดี เบิกความว่า เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ6 ถึง 7 นาฬิกา ได้รับแจ้งจากร้อยตำรวจเอกสนิท เหมืองอุ่น ว่ามีรถแฉลบอยู่บริเวณถนนสายบ้านหนองหมู - ป่าแขม และมีศพคนตายนอนอยู่บริเวณร่องน้ำ จึงสั่งให้พนักงานสอบสวนไปที่เกิดเหตุและพันตำรวจโททักษ์ได้ติดตามไปด้วย จากการตรวจที่เกิดเหตุและประสบการณ์ที่ผ่านมา พันตำรวจโททักษ์มีความคลางแคลงใจว่าไม่น่าจะเป็นอุบัติเหตุโดยสังเกตบริเวณที่เกิดเหตุไม่มีร่องรอยเบรกของรถ รถอยู่ในสภาพเกียร์ว่างไม่มีรอยครูดของถนนบริเวณที่ผู้ตายตกลงไป ระหว่างรถกับศพมีต้นไม้ขึ้นอยู่ไม่มีลักษณะผิดปกติ ต่อมาวันที่ 12 ธันวาคม 2537 พันตำรวจโททักษ์พันตำรวจโทสงวน เขื่อนคำ จ่าสิบตำรวจกมล วงศ์แพทย์ และนายแก้วเมืองมีทรัพย์ทองทวี ได้ไปตรวจค้นบ้านของจำเลยที่ 1 พบจอบ 1 เล่ม ก้อนหิน3 ถึง 4 ก้อน และบริเวณโต๊ะยาว ซึ่งอยู่ในบริเวณบ้านของจำเลยที่ 1มีคราบโลหิตติดอยู่ พันตำรวจโททักษ์สั่งให้จ่าสิบตำรวจกมลเก็บหลักฐานร่องรอยคราบโลหิตที่พบและต่อมาวันที่ 13 ธันวาคม 2537 พันตำรวจโทสงวนร้อยตำรวจเอกสนิท และจ่าสิบตำรวจกมลไปตรวจบ้านจำเลยที่ 1 อีกครั้งที่ห้างห่างจากบ้านจำเลยที่ 1 ประมาณ 50 เมตร พบกางเกงเก่าอยู่บนห้างมีคราบโลหิตติดอยู่เต็มไปหมดและมีรอยคราบโลหิตใหม่ประมาณ 5 วันติดอยู่บนพื้นห้างไหลหยดลงใต้ถุนห้างด้วย พันตำรวจโททักษ์ได้ส่งคราบโลหิตทั้งหมดไปตรวจพิสูจน์ที่ภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นอกจากนี้ยังส่งศพผู้ตายไปให้แพทย์ตรวจโดยละเอียดอีกครั้งนายแพทย์สมศักดิ์ วงไวเวช เบิกความว่า พยานจบการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งแต่ปี 2529 ได้รับบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขานิติเวชศาสตร์ จากแพทยสภาเมื่อปี 2534 และรับราชการเป็นอาจารย์ประจำภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีหน้าที่ชันสูตรพลิกศพและตรวจวัตถุพยานในคดีต่าง ๆ เกี่ยวกับคดีนี้เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2537 พยานได้รับถุงพลาสติกบรรจุสิ่งของเป็นคราบลักษณะเป็นผงหยาบคล้ายคราบโลหิตจำนวน 2 ถุง จากพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยาตามหนังสือนำส่งแจ้งว่าพบกองโลหิตอยู่ที่พื้นดินห่างจากศพผู้ตายประมาณ1 เมตร ขอทราบว่าโลหิตแห้งที่ส่งมาตรวจเป็นหมู่โลหิตของผู้ตายหรือไม่ผลการตรวจเป็นคราบโลหิตมนุษย์หมู่บี ซึ่งเป็นโลหิตหมู่เดียวกับผู้ตายวันที่ 12 ธันวาคม 2537 พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเชียงม่วนได้ส่งศพผู้ตายมาตรวจเพื่อหาสาเหตุการตายและรายละเอียดต่าง ๆจากการตรวจศพปรากฏว่าสภาพศพเน่า ผ่านการฉีดฟอร์มาลินมาแล้วพบบาดแผลถลอกบริเวณคาง บาดแผลฟกช้ำที่เข่าซ้าย บาดแผลฟกช้ำที่บริเวณกลางทรวงอก บาดแผลฟกช้ำที่ศีรษะบาดแผลฉีกขาดบริเวณศีรษะด้านขวา ยาว 2 เซนติเมตร 3 เซนติเมตร อีกสองแผลยาวประมาณ 4 เซนติเมตร ตามลำดับอยู่เหนือใบหูขวามีลักษณะเป็นกลุ่มชิดกันยังพบบาดแผลใต้แผลฉีกขาดจนกะโหลกศีรษะมีลักษณะยุบ วัดความกว้างยาวประมาณ 3 เซนติเมตร ลึก 0.5 เซนติเมตร สันนิษฐานว่า ลักษณะบาดแผลทั้งหมดเกิดจากกระทบของแข็งไม่มีคมและบาดแผลที่ศีรษะด้านขวาน่าจะถูกของแข็งไม่มีคมแต่มีลักษณะเป็นเหลี่ยมเป็นมุมบาดแผลที่ตรวจพบไม่เป็นสาเหตุให้ตายทันที แต่การตายน่าจะเกิดจากการจมน้ำตาย เนื่องจากตรวจพบน้ำปนเมือกในทางเดินหายใจ ซึ่งน้ำเข้าไปในทางเดินหายใจมากจะทำให้ขาดอากาศหายใจ บาดแผลที่ศพไม่น่าเกิดจากเหตุที่รถจักรยานยนต์ล้ม เนื่องจากบาดแผลบริเวณกลางทรวงอกช้ำและกระดูกส่วนดังกล่าวไม่มีการแตกหัก หากเกิดจากอุบัติเหตุรถชนกันหรือรถล้ม บาดแผลที่เกิดบริเวณทรวงอกส่วนใหญ่จะพบว่าอวัยวะบริเวณใต้ตำแหน่งนั้นจะได้รับอันตรายร่วมด้วย แต่ศพของผู้ตายไม่มี และบาดแผลที่ศีรษะด้านขวาเป็นบาดแผลฉีกขาดมี 4 แผล อยู่ติดบริเวณกลุ่มเดียวกัน สันนิษฐานว่า บาดแผลทั้ง 4 แผล น่าจะเกิดจากการกระทำหลายครั้ง และต่อมาวันที่ 16 ธันวาคม 2537 พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเชียงม่วนส่งวัตถุพยานมีจอบพร้อมด้าม จำนวน 1 เล่มก้อนหิน 2 ก้อน เศษไม้ 4 ชิ้น แผ่นไม้ 1 แผ่น และกางเกงขายาว 1 ตัวมาให้ตรวจหาคราบโลหิต และหมู่โลหิตที่ติดกับของกลางดังกล่าวผลการตรวจสอบพบว่าวัตถุทุกชิ้นติดคราบโลหิตมนุษย์หมู่บี โดยเฉพาะจอบพบคราบโลหิตที่หัวจอบ และนายสินธุยังเบิกความด้วยว่า เมื่อวันที่8 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ 16.30 นาฬิกา พยานได้มาที่โรงเรียนชุมชนบ้านมาง ขณะที่กำลังเดินไปที่รถพบจำเลยที่ 1 กำลังจะขับรถออกจากโรงเรียน จำเลยที่ 1 ได้เรียกพยานให้ไปหายื่นกระดาษให้ 1 แผ่นบอกว่าเมื่อพนักงานสอบสวนถามให้ตอบตามข้อความในกระดาษซึ่งมีข้อความว่าออกจากโรงเรียน 2 ทุ่มกว่า อยู่กัน 2 คน กับผู้ตาย คุยกันเรื่องกีฬา ไม่ได้ทะเลาะกัน
++
++ เห็นว่า โจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้ตาย คงมีแต่พยานแวดล้อมเริ่มตั้งแต่นำสืบว่าจำเลยทั้งสองเป็นชู้กัน ในวันเกิดเหตุมีผู้พบเห็นจำเลยที่ 1 นั่งรถยนต์ไปกับผู้ตายในเส้นทางไปบ้านจำเลยที่ 1 ตกกลางคืนมีเสียงผู้ตายร้องขอความช่วยเหลือมาจากทางบ้านจำเลยที่ 1 พนักงานสอบสวนได้ตรวจพบวัตถุพยานมีจอบพร้อมด้ามจำนวน 1 เล่ม ก้อนหิน 2 ก้อน เศษไม้ 4 ชิ้นแผ่นไม้ 1 แผ่น และกางเกงขายาว 1 ตัว ในบริเวณบ้านของจำเลยที่ 1วัตถุพยานทุกชิ้นมีคราบโลหิตหมู่บี ซึ่งเป็นหมู่โลหิตเดียวกับผู้ตาย โดยเฉพาะจอบพบคราบโลหิตที่หัวจอบ หลังจากเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เขียนข้อความในกระดาษสั่งให้นายสินธุให้การต่อพนักงานสอบสวนบิดเบือนข้อเท็จจริงว่าผู้ตายไม่ได้ไปกับจำเลยที่ 1 เป็นลักษณะป้องกันตัว นอกจากนี้พนักงานสอบสวนผู้ไปตรวจที่พบศพและแพทย์ผู้ทำการชันสูตรพลิกศพต่างก็ไม่เชื่อว่าผู้ตายจะประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนยต์ล้มเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายเพราะขัดต่อหลักฐานในที่พบศพและลักษณะของบาดแผล
++ พยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีเชื่อได้ว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 นั่งรถยนต์ของผู้ตายไปบ้านจำเลยที่ 1 ผู้ตายถูกทำร้ายจากบ้านของจำเลยที่ 1 แล้วถูกนำมาทิ้งไว้ในร่องน้ำจนถึงแก่ความตายเพื่อเป็นการอำพรางคดี
++ จึงเชื่อได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำร้ายผู้ตายและจากบาดแผลของผู้ตายที่ถูกตีอย่างแรงจนกะโหลกศีรษะยุบแสดงว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าผู้ตายแม้ว่าผู้ตายจะไม่ถึงแก่ความตายในทันที แต่การที่ผู้ตายจมน้ำตายก็เป็นผลโดยตรงและต่อเนื่องจากการทำร้าย จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่น
++ แต่พฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดอาจเกิดขึ้นในทันทีเพราะจำเลยที่ 1 และผู้ตายดื่มสุรากันแล้วพากันไปบ้านของจำเลยที่ 1อาวุธที่ใช้ทำร้ายผู้ตายก็มีแต่เพีงจอบเท่านั้น หากจำเลยที่ 1 วางแผนจะฆ่าผู้ตายมาก่อนน่าจะต้องใช้อาวุธที่ดีกว่านี้ ดังนั้นจะฟังว่าเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนไม่ถนัดนัก จำเลยที่ 1 อาจคิดฆ่าผู้ตายในขณะที่พูดคุยกันที่บ้านของจำเลยที่ 1 ในตอนหลังก็เป็นได้ จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ++
++
++ สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังในเบื้องต้นได้ว่าเป็นชู้กับจำเลยที่ 1 ก่อนเกิดเหตุจะเคยไปขอซื้อยาสลบจากโรงพยาบาลให้จำเลยที่ 1 แต่ก็ซื้อไม่ได้ หลังจากเกิดเหตุแล้ว จำเลยที่ 2 ได้แนะนำนายสินธุให้ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าในวันเกิดเหตุมีนายสินธุอยู่กับผู้ตายสองคนเท่านั้น และแยกกับผู้ตายบริเวณสะพานน้ำพื้ คุยกับผู้ตายเกี่ยวกับเรื่องกีฬาไม่ได้ดื่มสุรา อันเป็นลักษณะช่วยเหลือกันตัวจำเลยที่ 1 ให้ออกไปไม่ให้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โดยไม่มีเหตุผลเป็นพิรุธเหมือนหนึ่งตนมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วย แต่ก็เป็นที่น่าสงสัยเท่านั้น เพราะไม่ปรากฏว่ามีพยานผู้ใดรู้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ได้ไปที่บ้านของจำเลยที่ 1 ในวันเกิดเหตุ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของผู้ตาย
++ พยานโจทก์และโจทก์ร่วมยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำผิดด้วยหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยที่ 2 ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ++
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1780/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์รถยนต์โอนเมื่อซื้อขายสำเร็จ แม้มีข้อตกลงริบมัดจำ
สัญญาซื้อขายรถยนต์มีข้อความว่า" ... หากผู้ซื้อไม่นำเงินมาชำระตามกำหนด ผู้ซื้อยินยอมให้ผู้ขายริบเงินมัดจำและคืนรถทันทีในสภาพเรียบร้อยทุกประการ..." เป็นเพียงการกำหนดวิธีการบังคับเมื่อเกิดกรณีผิดสัญญาขึ้นเท่านั้นหาใช่เงื่อนไขการโอนกรรมสิทธิ์ไม่ ถือว่าสัญญาซื้อขายระหว่าง พ.กับ ป.เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด กรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทย่อมตกเป็นของ ป.ตั้งแต่ขณะที่การซื้อขายสำเร็จแล้ว
โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาท จำเลยซึ่งไม่ไช่เจ้าของไม่มีสิทธิที่จะยึดถือใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์พิพาทไว้ ต้องโอนทะเบียนและมอบใบคู่มือจดทะเบียนรถให้แก่โจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบใบคู่มือจดทะเบียนรถพร้อมเอกสารเกี่ยวกับการจดทะเบียนแก่โจทก์ หรือขอให้จำเลยออกเอกสารเกี่ยวกับการขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงรายการชื่อจำเลยเป็นชื่อโจทก์ จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์จำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน ไม่จำต้องคืนเอกสารแก่โจทก์ เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์
โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาท จำเลยซึ่งไม่ไช่เจ้าของไม่มีสิทธิที่จะยึดถือใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์พิพาทไว้ ต้องโอนทะเบียนและมอบใบคู่มือจดทะเบียนรถให้แก่โจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบใบคู่มือจดทะเบียนรถพร้อมเอกสารเกี่ยวกับการจดทะเบียนแก่โจทก์ หรือขอให้จำเลยออกเอกสารเกี่ยวกับการขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงรายการชื่อจำเลยเป็นชื่อโจทก์ จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์จำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน ไม่จำต้องคืนเอกสารแก่โจทก์ เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1780/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์รถยนต์โอนเมื่อซื้อขายเสร็จ การยึดใบคู่มือทะเบียนโดยผู้ไม่ใช่เจ้าของเป็นสิทธิที่ไม่มี
สัญญาซื้อขายรถยนต์มีข้อความว่า "หากผู้ซื้อไม่นำเงินมาชำระตามกำหนด ผู้ซื้อยินยอมให้ผู้ขายริบเงินมัดจำและคืนรถทันทีในสภาพเรียบร้อยทุกประการ" เป็นเพียงการกำหนดวิธีการบังคับเมื่อเกิดกรณีผิดสัญญาขึ้นเท่านั้นหาใช่เงื่อนไขการโอนกรรมสิทธิ์ไม่ ถือว่าสัญญาซื้อขายระหว่าง พ. กับ ป. เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด กรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทย่อมตกเป็นของ ป. ตั้งแต่ขณะที่การซื้อขายสำเร็จแล้ว
โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาท จำเลยซึ่งไม่ใช่เจ้าของไม่มีสิทธิที่จะยึดถือใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์พิพาทไว้ ต้องโอนทะเบียนและมอบใบคู่มือจดทะเบียนรถให้แก่โจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบใบคู่มือจดทะเบียนรถพร้อมเอกสารเกี่ยวกับการจดทะเบียนแก่โจทก์ หรือขอให้จำเลยออกเอกสารเกี่ยวกับการขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงรายการชื่อจำเลยเป็นชื่อโจทก์ จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์จำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกันไม่จำต้องคืนเอกสารแก่โจทก์ เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์
โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาท จำเลยซึ่งไม่ใช่เจ้าของไม่มีสิทธิที่จะยึดถือใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์พิพาทไว้ ต้องโอนทะเบียนและมอบใบคู่มือจดทะเบียนรถให้แก่โจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบใบคู่มือจดทะเบียนรถพร้อมเอกสารเกี่ยวกับการจดทะเบียนแก่โจทก์ หรือขอให้จำเลยออกเอกสารเกี่ยวกับการขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงรายการชื่อจำเลยเป็นชื่อโจทก์ จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์จำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกันไม่จำต้องคืนเอกสารแก่โจทก์ เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1754/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเพิกถอนการโอนมรดก และการโอนทรัพย์โดยสุจริต
โจทก์ไม่ได้ฟ้องผู้จัดการมรดกเป็นจำเลย คงฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 5 และที่ 6 ซึ่งเป็นทายาทของเจ้ามรดก และจำเลยที่ 3 ที่ 4 ซึ่งไม่ใช่ทายาท ขอให้กำจัดทายาทมิให้รับมรดกเนื่องจากปิดบังยักย้ายทรัพย์มรดก และให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินมรดกที่กระทำโดยมิชอบเพื่อโอนที่ดินกลับมาเป็นของเจ้ามรดกตามเดิม กรณีไม่ต้องด้วย ป.พ.พ. มาตรา 1733 วรรคสอง จึงไม่อาจนำบทบัญญัติอายุความ 5 ปี มาใช้บังคับแก่คดีได้
ในการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทระหว่าง ส. กับจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือของ ส. เพื่อให้ลายพิมพ์นิ้วมือนั้นถือเสมือนกับการลงลายมือชื่อ และจำเลยที่ 3 รับโอนที่ดินโฉนดส่วนหนึ่งเนื่องจากได้ซื้อไว้จาก ส. นานแล้ว ไม่ใช่รับโอนที่ดินมาในฐานะทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของเจ้ามรดกซึ่งเป็นสามีของ ส. เมื่อจำเลยที่ 3 รับโอนที่ดินมาโดยมีค่าตอบแทนและกระทำการโดยสุจริตตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 โจทก์จึงเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินระหว่าง ส. กับจำเลยที่ 3 ไม่ได้
ในการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทระหว่าง ส. กับจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือของ ส. เพื่อให้ลายพิมพ์นิ้วมือนั้นถือเสมือนกับการลงลายมือชื่อ และจำเลยที่ 3 รับโอนที่ดินโฉนดส่วนหนึ่งเนื่องจากได้ซื้อไว้จาก ส. นานแล้ว ไม่ใช่รับโอนที่ดินมาในฐานะทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของเจ้ามรดกซึ่งเป็นสามีของ ส. เมื่อจำเลยที่ 3 รับโอนที่ดินมาโดยมีค่าตอบแทนและกระทำการโดยสุจริตตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 โจทก์จึงเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินระหว่าง ส. กับจำเลยที่ 3 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1752/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกันภัยแยกจากสัญญาเช่าซื้อ ผู้รับประโยชน์มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ แม้รถยนต์จะถูกยึดคืน
ว. เช่าซื้อรถยนต์คันพิพาทจากโจทก์และได้ทำสัญญาประกันภัยรถยนต์ไว้กับจำเลย โดยระบุให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์สัญญาประกันภัยระหว่าง ว. กับจำเลยเป็นสัญญาอีกสัญญาหนึ่งแยกต่างหากจากสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับ ว. ผลของสัญญาจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ลักษณะของสัญญาแต่ละสัญญา แม้ว่าสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับ ว. จะสิ้นสุดลงเนื่องจาก ว. ผิดสัญญาเช่าซื้อและโจทก์ได้ยึดรถยนต์คืนไปก็มีผลเฉพาะสัญญาเช่าซื้อเท่านั้น ส่วนสัญญาประกันภัยนั้นจะสิ้นสุดลงหรือไม่ย่อมเป็นไปตามกฎหมายและข้อกำหนดในสัญญา เมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติหรือข้อกำหนดในสัญญาระบุให้สัญญาประกันภัยสิ้นสุดลง สัญญาประกันภัยก็จะมีผลใช้บังคับอยู่ จำเลยสมัครใจเข้าทำสัญญาประกันภัย จะปัดความรับผิดชอบตามสัญญาหาได้ไม่ และเมื่อสัญญาประกันภัยระหว่างจำเลยกับ ว. ระบุให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ จึงเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลภายนอก ตาม ป.พ.พ. มาตรา 374 โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกย่อมมีสิทธิที่จะเรียกชำระหนี้จากจำเลยที่เป็นลูกหนี้โดยตรงได้ สัญญาประกันภัยระหว่างจำเลยกับ ว. ไม่ระงับไป
โจทก์ยึดรถยนต์คืนเนื่องจาก ว. ผิดสัญญาเช่าซื้อ โจทก์นำรถยนต์ไปเก็บไว้ที่วัดซึ่งเป็นลานจอดรถสาธารณะบุคคลทั่วไปก็สามารถนำรถไปจอดได้ โจทก์ได้ตกลงกับวัด ให้ทางวัดจัดที่จอดรถให้ โดยโจทก์ให้ค่าตอบแทนเป็นรายเดือนต่อคัน แม้ว่าโจทก์จะไม่มีพนักงานของตนไปเฝ้ารักษารถ แต่ก็เห็นได้ว่าในการจัดที่จอดรถให้แก่โจทก์ ทางวัดจะต้องมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลเพื่อจะได้ทราบว่ามีรถยนต์มาจอดกี่คัน เพื่อที่จะได้เก็บค่าตอบแทนถูกต้อง พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่า โจทก์ได้ใช้ความระมัดระวังพอสมควรแล้วการกระทำของโจทก์ไม่เป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยในกรณีรถหายระบุว่าผู้เอาประกันจะต้องแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนและแจ้งให้จำเลยผู้รับประกันทราบโดยไม่ชักช้า โจทก์ได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2534 หลังจากทราบว่ารถยนต์หายไปเพียง 1 วัน และได้แจ้งให้จำเลยทราบเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2534 ถือได้ว่าได้มีการแจ้งโดยไม่ชักช้าแล้ว โจทก์จึงมิได้ปฏิบัติผิดเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย ตามกรมธรรม์ประกันภัยระบุว่า ในกรณีรถยนต์สูญหายอันเกิดจากการลักทรัพย์ บริษัทจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนเต็มตามจำนวนเงินจำกัดความรับผิดตามสัญญาข้อ 3.1 ในรายการ 4 ของตารางซึ่งกำหนดไว้ 700,000 บาท จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ผู้รับประโยชน์เป็นเงิน 700,000 บาท มิใช่รับผิดตามราคาท้องตลาดในขณะรถยนต์สูญหาย
โจทก์ยึดรถยนต์คืนเนื่องจาก ว. ผิดสัญญาเช่าซื้อ โจทก์นำรถยนต์ไปเก็บไว้ที่วัดซึ่งเป็นลานจอดรถสาธารณะบุคคลทั่วไปก็สามารถนำรถไปจอดได้ โจทก์ได้ตกลงกับวัด ให้ทางวัดจัดที่จอดรถให้ โดยโจทก์ให้ค่าตอบแทนเป็นรายเดือนต่อคัน แม้ว่าโจทก์จะไม่มีพนักงานของตนไปเฝ้ารักษารถ แต่ก็เห็นได้ว่าในการจัดที่จอดรถให้แก่โจทก์ ทางวัดจะต้องมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลเพื่อจะได้ทราบว่ามีรถยนต์มาจอดกี่คัน เพื่อที่จะได้เก็บค่าตอบแทนถูกต้อง พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่า โจทก์ได้ใช้ความระมัดระวังพอสมควรแล้วการกระทำของโจทก์ไม่เป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยในกรณีรถหายระบุว่าผู้เอาประกันจะต้องแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนและแจ้งให้จำเลยผู้รับประกันทราบโดยไม่ชักช้า โจทก์ได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2534 หลังจากทราบว่ารถยนต์หายไปเพียง 1 วัน และได้แจ้งให้จำเลยทราบเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2534 ถือได้ว่าได้มีการแจ้งโดยไม่ชักช้าแล้ว โจทก์จึงมิได้ปฏิบัติผิดเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย ตามกรมธรรม์ประกันภัยระบุว่า ในกรณีรถยนต์สูญหายอันเกิดจากการลักทรัพย์ บริษัทจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนเต็มตามจำนวนเงินจำกัดความรับผิดตามสัญญาข้อ 3.1 ในรายการ 4 ของตารางซึ่งกำหนดไว้ 700,000 บาท จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ผู้รับประโยชน์เป็นเงิน 700,000 บาท มิใช่รับผิดตามราคาท้องตลาดในขณะรถยนต์สูญหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1752/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกันภัยยังใช้บังคับแม้สัญญาเช่าซื้อสิ้นสุด และการปฏิบัติตามเงื่อนไขกรมธรรม์
สัญญาประกันภัยระหว่างจำเลยกับ ว. ผู้เอาประกันภัยเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลภายนอกแยกต่างหากจากสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับ ว. แม้สัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดลงเนื่องจาก ว. ผิดสัญญาและโจทก์ได้ยึดรถยนต์คืนไป ก็มีผลเฉพาะสัญญาเช่าซื้อ ส่วนสัญญาประกันภัยเมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติหรือข้อกำหนดในสัญญาระบุให้สัญญาสิ้นสุดลงจึงมีผลใช้บังคับอยู่ โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกย่อมมีสิทธิที่จะเรียกให้จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้โดยตรงชำระหนี้ได้
โจทก์ตกลงกับวัด ท. ให้ทางวัดจัดที่จอดรถให้ โดยโจทก์ให้ค่าตอบแทนเป็นรายเดือนต่อคัน แม้โจทก์ไม่มีพนักงานของตนไปเฝ้ารักษารถ แต่ทางวัด ท. จะต้องมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลเพื่อทราบว่ามีรถยนต์มาจอดกี่คันจะได้เก็บค่าตอบแทนถูกต้อง ถือว่าโจทก์ใช้ความระมัดระวังพอสมควรโดยไม่เป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง และโจทก์แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนหลังจากทราบว่ารถยนต์หายไปเพียง 1 วัน กับแจ้งให้จำเลยทราบในอีก 1 สัปดาห์ถัดมา ถือว่าได้มีการแจ้งโดยไม่ชักช้าแล้วไม่เป็นการปฏิบัติผิดเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย
โจทก์ตกลงกับวัด ท. ให้ทางวัดจัดที่จอดรถให้ โดยโจทก์ให้ค่าตอบแทนเป็นรายเดือนต่อคัน แม้โจทก์ไม่มีพนักงานของตนไปเฝ้ารักษารถ แต่ทางวัด ท. จะต้องมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลเพื่อทราบว่ามีรถยนต์มาจอดกี่คันจะได้เก็บค่าตอบแทนถูกต้อง ถือว่าโจทก์ใช้ความระมัดระวังพอสมควรโดยไม่เป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง และโจทก์แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนหลังจากทราบว่ารถยนต์หายไปเพียง 1 วัน กับแจ้งให้จำเลยทราบในอีก 1 สัปดาห์ถัดมา ถือว่าได้มีการแจ้งโดยไม่ชักช้าแล้วไม่เป็นการปฏิบัติผิดเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1713/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวางทรัพย์ชำระหนี้: เจ้าหนี้ไม่อาจยึด/อายัดทรัพย์ที่ลูกหนี้วางไว้เพื่อชำระหนี้ในคดีอื่นได้
เมื่อลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้ว เจ้าหนี้ไม่ยอมรับชำระหนี้เพื่อเป็นการปลดเปลื้องไม่ให้ลูกหนี้ต้องได้รับความเสียหายกฎหมายอนุญาตให้ผู้ชำระหนี้วางทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้เพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ และเมื่อวางทรัพย์แล้วย่อมหลุดพ้นจากหนี้ โดยลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ต่อไปอีกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 334 และ 335 แสดงว่า ลูกหนี้เท่านั้นมีสิทธิถอนทรัพย์ที่วางได้เมื่อจำเลยที่ 2 วางเงินเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ในอีกคดีหนึ่งและไม่ใช้สิทธิถอนทรัพย์เจ้าหนี้ในคดีอื่นจะยึดหรืออายัดเงินที่จำเลยที่ 2 วางเพื่อไปชำระหนี้รายอื่นไม่ได้และเมื่อการอายัดต้องห้ามตามกฎหมาย ถือไม่ได้ว่าเป็นการอายัดเงินแล้วไม่มีการจำหน่าย จึงเรียกค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีมิได้
คำร้องอ้างว่าการอายัดไม่ชอบและขอให้ถอนการอายัด เป็นคดีมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้
คำร้องอ้างว่าการอายัดไม่ชอบและขอให้ถอนการอายัด เป็นคดีมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1713/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิถอนทรัพย์ที่วางชำระหนี้: เจ้าหนี้อื่นไม่อาจยึดได้
เมื่อวางทรัพย์แล้ว ป.พ.พ.มาตรา 334 บัญญัติว่า ลูกหนี้มีสิทธิจะถอนทรัพย์ที่วางนั้นได้ และมาตรา 335 บัญญัติว่า สิทธิถอนทรัพย์นั้น ตามกฎหมายศาลจะสั่งยึดหาได้ไม่ จึงเห็นได้ว่า ลูกหนี้เท่านั้นที่มีสิทธิจะถอนทรัพย์ที่วางไว้ได้ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 วางเงินไว้เพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ในคดีหนึ่ง และไม่ใช้สิทธิถอนทรัพย์ เจ้าหนี้ในคดีอื่นจะยึดหรืออายัดเงินที่จำเลยที่ 2 วางไว้ไปชำระหนี้รายอื่นย่อมไม่อาจทำได้ เมื่อการอายัดเป็นการต้องห้ามตามกฎหมายกรณีนี้จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการอายัดเงินแล้วไม่มีการจำหน่ายตามที่บัญญัติไว้ในตาราง 5 ข้อ 4 ท้าย ป.วิ.พ.จึงเรียกค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีตามข้อนี้จากโจทก์มิได้
คดีมีปัญหาตามคำร้องของจำเลยที่ 2 ว่า การอายัดไม่ชอบ และขอให้ถอนการอายัด จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้
คดีมีปัญหาตามคำร้องของจำเลยที่ 2 ว่า การอายัดไม่ชอบ และขอให้ถอนการอายัด จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1331/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอพิจารณาใหม่ต้องยื่นภายในกำหนด หากพ้นกำหนดต้องแสดงเหตุสุดวิสัย มิเช่นนั้นคำร้องจะไม่รับ
จำเลยทราบว่าถูกฟ้องเมื่อมีการส่งคำบังคับให้แก่จำเลย จึงต้องถือว่ามีการส่งคำบังคับให้แก่จำเลยแล้ว หากจำเลยประสงค์จะให้ศาลพิจารณาใหม่จะต้องยื่นคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลยตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคหนึ่ง
ศาลชั้นต้นส่งคำบังคับให้แก่จำเลยโดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2539 จำเลยต้องยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อย่างช้าที่สุดภายในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2539 แต่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ในวันที่3 มิถุนายน 2541 ล่วงพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ในกรณีเช่นนี้จำเลยจะต้องแสดงให้เห็นว่ามีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ ทำให้จำเลยไม่สามารถยื่นคำขอภายในระยะเวลาดังกล่าวจำเลยอาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลง แต่ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว ผู้เช่าซื้อได้นำรถยนต์ที่เช่าซื้อส่งมอบคืนให้แก่โจทก์ก็ดี และผู้เช่าซื้อได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์บางส่วนแล้วก็ดี หาใช่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ทำให้จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันไม่สามารถยื่นคำขอภายในระยะเวลาที่กฎหมายบัญญัติไว้ไม่ คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคหนึ่ง
ศาลชั้นต้นส่งคำบังคับให้แก่จำเลยโดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2539 จำเลยต้องยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อย่างช้าที่สุดภายในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2539 แต่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ในวันที่3 มิถุนายน 2541 ล่วงพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ในกรณีเช่นนี้จำเลยจะต้องแสดงให้เห็นว่ามีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ ทำให้จำเลยไม่สามารถยื่นคำขอภายในระยะเวลาดังกล่าวจำเลยอาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลง แต่ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว ผู้เช่าซื้อได้นำรถยนต์ที่เช่าซื้อส่งมอบคืนให้แก่โจทก์ก็ดี และผู้เช่าซื้อได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์บางส่วนแล้วก็ดี หาใช่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ทำให้จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันไม่สามารถยื่นคำขอภายในระยะเวลาที่กฎหมายบัญญัติไว้ไม่ คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคหนึ่ง