พบผลลัพธ์ทั้งหมด 538 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1443/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทโดยผู้จัดการมรดกที่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากผู้จัดการมรดกอีกคนหนึ่งเป็นโมฆะ
จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ ห. ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ โดยไม่ได้รับความยินยอมจาก ข. ผู้จัดการมรดกอีกคนหนึ่ง จึงไม่ใช่นิติกรรมที่ได้รับความเห็นชอบด้วยเสียงส่วนมาก ไม่ชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 1726 ย่อมไม่ผูกพันกองมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1724 การที่ ข. ให้ความยินยอมในภายหลังไม่ทำให้นิติกรรมที่ไม่ชอบกลับเป็นนิติกรรมสมบูรณ์ขึ้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิร้องขอให้จำเลยที่ 1 และ ข. ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขาย เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำสัญญาซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 และ ข. ในภายหลังโดยเสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนแล้ว ทั้งจำเลยที่ 1 ได้แจ้งยกเลิกการขายที่ดินพิพาทกับโจทก์แล้ว จึงไม่ใช่เป็นการกระทำที่ทำลงโดยรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 237
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1443/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินโดยผู้จัดการมรดกซ้อนกันและผลกระทบต่อความสมบูรณ์ของสัญญา
จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ ห. ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ โดยไม่ได้รับความยินยอมจาก ข. ผู้จัดการมรดกอีกคนหนึ่ง จึงไม่ใช่นิติกรรมที่ได้รับความเห็นชอบด้วยเสียงส่วนมากไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1726 จึงไม่ผูกพันกองมรดกตามมาตรา 1724 การที่ ข. ให้ความยินยอมในภายหลัง ไม่ทำให้นิติกรรมที่ไม่ชอบกลับเป็นนิติกรรมสมบูรณ์ขึ้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้จำเลยที่ 1 และ ข. ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายเมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำสัญญาซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 และในภายหลังโดยเสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนแล้ว จึงไม่ใช่เป็นการกระทำที่ทำลงโดยรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามมาตรา 237
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1352/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีฉ้อโกง: มณฑลทหารบกไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง กองทัพบกต้องเป็นผู้ร้องทุกข์
จำเลยทำเอกสารเท็จยื่นขอเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของมณฑลทหารบกที่ 31 แม้ค่ารักษาพยาบาลดังกล่าวอยู่ใน ความดูแลรับผิดชอบของมณฑลทหารบกที่ 31 แต่มณฑลทหารบกที่ 31เป็นเพียงหน่วยงานของกองทัพบกสังกัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2503 มาตรา 17 กำหนดให้กองทัพบกเป็นนิติบุคคล มณฑลทหารบกที่ 31 ไม่มีฐานะ เป็นนิติบุคคลจึงไม่ใช่ผู้เสียหายหรือถือว่าเป็นผู้แทนอื่นตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5(3) การที่ พลตรี ศ. ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 31 มอบอำนาจให้พันโท ป. มาร้องทุกข์ ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยฐานฉ้อโกงซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัวแทนกองทัพบก จึงถือว่าไม่มีการร้องทุกข์พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1266/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีเพื่อการอนาจาร แม้ผู้เสียหายอยู่กินกับผู้อื่นก่อน แต่ยังอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของมารดา
คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 3 ฎีกาว่ามิได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้องเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าในชั้นสอบสวน จำเลยที่ 3 มีอาการคลุ้มคลั่งไม่อยู่ในสภาพที่จะต่อสู้คดีได้ก็เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน ต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยที่ 3 ว่า การที่ผู้เสียหายได้ออกจากบ้านบิดามารดาโดยไปอยู่กินฉันสามีภริยากับชายอื่นมาก่อน เมื่อเลิกกับสามีจึงมาอยู่กับจำเลยที่ 3 ก่อนที่จำเลยที่ 3 จะพาผู้เสียหายไปค้าประเวณีจะเป็นการพรากผู้เสียหายไปจากบิดามารดาหรือไม่ ศาลล่างทั้งสองมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงนี้ไว้ ศาลฎีกาจึงฟังข้อเท็จจริง ในเรื่องนี้ใหม่ได้
เด็กหญิง อ. ผู้เสียหายอายุไม่เกินสิบห้าปีอาศัยอยู่กับมารดาจนปี 2537 ผู้เสียหายทะเลาะกับมารดาจึงออกจากบ้านไปทำงานที่ร้านอาหารข้างบ้าน จากนั้นผู้เสียหายมีสามีโดยอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา แต่ก็มิได้ทำการสมรส โดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้เสียหายจึงยังไม่บรรลุนิติภาวะตาม ป.พ.พ. มาตรา 20 และยังคงอยู่ใต้อำนาจปกครองของมารดา เมื่อจำเลยที่ 3 พาผู้เสียหายไปพบจำเลยที่ 1 และที่ 2 เพื่อพาผู้เสียหายไปค้าประเวณี การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการพรากผู้เสียหายไปเสียจากมารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยที่ 3 ว่า การที่ผู้เสียหายได้ออกจากบ้านบิดามารดาโดยไปอยู่กินฉันสามีภริยากับชายอื่นมาก่อน เมื่อเลิกกับสามีจึงมาอยู่กับจำเลยที่ 3 ก่อนที่จำเลยที่ 3 จะพาผู้เสียหายไปค้าประเวณีจะเป็นการพรากผู้เสียหายไปจากบิดามารดาหรือไม่ ศาลล่างทั้งสองมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงนี้ไว้ ศาลฎีกาจึงฟังข้อเท็จจริง ในเรื่องนี้ใหม่ได้
เด็กหญิง อ. ผู้เสียหายอายุไม่เกินสิบห้าปีอาศัยอยู่กับมารดาจนปี 2537 ผู้เสียหายทะเลาะกับมารดาจึงออกจากบ้านไปทำงานที่ร้านอาหารข้างบ้าน จากนั้นผู้เสียหายมีสามีโดยอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา แต่ก็มิได้ทำการสมรส โดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้เสียหายจึงยังไม่บรรลุนิติภาวะตาม ป.พ.พ. มาตรา 20 และยังคงอยู่ใต้อำนาจปกครองของมารดา เมื่อจำเลยที่ 3 พาผู้เสียหายไปพบจำเลยที่ 1 และที่ 2 เพื่อพาผู้เสียหายไปค้าประเวณี การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการพรากผู้เสียหายไปเสียจากมารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1266/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากผู้เยาว์เพื่อค้าประเวณี แม้ผู้เสียหายอยู่กินฉันสามีภริยา ก็ยังอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของมารดา
การที่ผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์ไปอยู่กินฉันสามีภริยากับชายอื่น แต่มิได้ทำการสมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้เสียหายจึงยังไม่บรรลุนิติภาวะและยังคงอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของมารดา เมื่อจำเลยที่ 3 พาผู้เสียหายไปพบจำเลยที่ 1 และที่ 2 เพื่อพาผู้เสียหายไปค้าประเวณี การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการพรากผู้เสียหายไปเสียจากมารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1171/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประมาทในการขับรถ ชนแล้วรถยังแล่นต่อไป ศาลฎีกายืนประมาท แต่ให้รอลงโทษ
แม้จำเลยที่ 1 ขับรถมาในทางโทโดยไม่ปฏิบัติตามกฎจราจรคือ หยุดรถดูความปลอดภัยตามสัญญาณป้ายจราจรก่อนที่ขับผ่านเข้าไปในสี่แยก จำเลยที่ 2 ซึ่งขับรถมาในทางเอกก็ต้องชะลอรถลงแล้วดูความปลอดภัยก่อนด้วยเช่นกัน การที่จำเลยที่ 2 ขับรถไปชนบริเวณล้อหลังด้านขวาของรถคันที่จำเลยที่ 1 ขับมาแม้ชนแล้วรถบรรทุกสิบล้อยังแล่นต่อไปอีกเป็นระยะทางยาวถึง 7 เมตร แสดงว่าจำเลยที่ 2 ขับรถมาด้วยความเร็วสูงจนไม่อาจหยุดรถทัน ไม่มีการชะลอก่อนถึงสี่แยกที่เกิดเหตุ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการกระทำโดยประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 951/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่ผู้ให้เช่าซื้อจัดหาทะเบียนรถ - สัญญาเช่าซื้อไม่เลิก - ไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อต้องส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้เช่าซื้อ โดยมีสภาพที่เหมาะสมแก่การใช้ประโยชน์ เมื่อรถพิพาทยังมิได้ทำทะเบียนและแผ่นป้ายวงกลม โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องจัดหาให้แก่จำเลย เพราะเอกสารดังกล่าวเป็นสาระสำคัญในการใช้รถโดยจะต้องเป็นผู้จัดอำนวยความสะดวกในการจดทะเบียนเพื่อใช้รถที่เช่าซื้อตามที่กำหนดไว้ในสัญญาเช่าซื้อ การที่โจทก์ส่งมอบรถพิพาทให้แก่จำเลยมีสภาพไม่เหมาะสมที่จะใช้ โดยไม่จัดหาป้ายทะเบียนและป้ายวงกลมให้แก่จำเลย โจทก์จึงต้องรับผิดต่อจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 472 ประกอบมาตรา 549เนื่องจากสัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะไม่ชำระค่าเช่าซื้อได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 369 การที่จำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์จึงไม่ถือว่าจำเลยผิดนัด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 946/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากไม่วางเงินค่าธรรมเนียมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 แม้ไม่มีการฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยได้
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษากลับคำสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลย เท่ากับขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้พิจารณาใหม่ต่อไป จึงต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 เมื่อจำเลยไม่นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ดังกล่าว จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหาข้อกฎหมายนี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 945/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดสืบพยานและการพิจารณาคดีต่อเนื่อง ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกามีคำพิพากษายกคำสั่งงดสืบพยานและให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
การขอเลื่อนคดีของโจทก์นัดแรกสืบเนื่องมาจากโจทก์ถูกกระทรวงการคลังเพิกถอนใบอนุญาตและปิดกิจการลง คณะกรรมการองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินได้เข้ามาควบคุมกิจการของโจทก์ และเก็บเอกสารต่าง ๆ ไว้ ไม่สามารถจะนำมาสืบได้ ส่วนจำเลยขอเลื่อนคดีอ้างว่าทนายจำเลยติดว่าความคดีอื่น ส่วนการเลื่อนคดีครั้งที่สองก็สืบเนื่องมาจากโจทก์จำเลยขอเลื่อน อ้างว่าคดีมีทางตกลงกันได้ การเลื่อนคดีทั้งสองครั้งนั้นจำเลยก็ขอเลื่อนด้วยทุกครั้ง ส่วนในการขอเลื่อนคดีครั้งที่สามโจทก์อ้างว่า พยานทั้งสองคนของโจทก์มีกิจธุระจำเป็นไม่สามารถมาศาลได้ เป็นการอ้างเหตุที่พยานไม่มาศาลเป็นครั้งแรก โดยจำเลยก็ไม่ได้คัดค้าน จึงรับฟังได้ว่าพยานโจทก์ทั้งสองมีกิจธุระจำเป็นไม่สามารถมาศาลได้ เป็นเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์นั้น เป็นที่เห็นว่าจะทำให้เสียความยุติธรรม ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไปนั้นจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 839/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดเจ้าพนักงานปลอมเอกสารราชการและช่วยเหลือการหลีกเลี่ยงภาษี การกระทำความผิดร่วมกัน
การที่ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนสั่งให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตอบหนังสือแจ้งให้กรมการขนส่งทราบตามความเป็นจริงว่ารถยนต์คันที่จดทะเบียนเป็นรถยนต์ใหม่ไม่ตรงกับรายงานการยึดว่าเป็นรถยนต์เก่า แต่ปรากฏว่าลายมือชื่อในหนังสือถึงกรมการขนส่งเป็นลายมือชื่อของผู้พิพากษาซึ่งเป็นลายมือชื่อปลอมเป็นผลให้กรมการขนส่งจดทะเบียนโอนรถให้แก่ผู้ประมูลซื้อได้ แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นขณะที่จำเลยกระทำการปลอมและใช้เอกสารปลอมดังกล่าว แต่จากพฤติการณ์แวดล้อมกรณีย่อมเชื่อว่า จำเลยเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอมด้วย เนื่องจากจำเลยเป็นจ่าศาลมีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการบังคับคดีโดยตรง จำเลยได้ทราบและติดตามเรื่องนี้มาตลอด หากจำเลยไม่เกี่ยวข้อง หลังจากไปยึดทรัพย์แล้วจำเลยก็ไม่ควรไปปรึกษาหารือผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเกี่ยวกับเรื่องการตอบหนังสือ หลังจากที่จำเลยได้รับคำสั่งให้ตอบหนังสือแล้ว จำเลยก็ไม่นำสืบให้ปรากฏว่า จำเลยไม่ได้รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกหรือบุคคลอื่นได้มากระทำการปลอมหนังสือและใช้เอกสารปลอมดังกล่าว เมื่อพิเคราะห์ประกอบกับหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องรับผิดชอบโดยตรงเกี่ยวกับการตอบเอกสารแล้ว พฤติการณ์แห่งคดีเชื่อว่าจำเลยเป็นผู้มีส่วนร่วมในการทำเอกสารดังกล่าวซึ่งเป็นเอกสารราชการปลอมและใช้เอกสารดังกล่าวในการดำเนินการให้บุคคลอื่นเสียหาย
จำเลยเป็นจ่าศาลมีหน้าที่ตามกฎหมายเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีไปดำเนินการยึดทรัพย์ตามคำพิพากษา จำเลยไปยึดทรัพย์ลูกหนี้ตามคำพิพากษายึดได้รถยนต์ของกลาง รายงานผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนว่าเป็นรถเก่าไม่มีหมายเลขทะเบียน เมื่อผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนสั่งให้ตรวจสอบก็ยืนยันว่าไม่สามารถตรวจสอบหมายเลขทะเบียนได้ ทั้งนี้เพื่อนำไปขอเลขทะเบียนใหม่ได้ตามความต้องการ เมื่อกรมการขนส่งมีหนังสือสอบถามเพื่อให้ยืนยันถึงเรื่องการจดทะเบียนรถยนต์ของกลางก็มีการร่วมกันทำเอกสารราชการปลอมขึ้นเพื่อให้กรมการขนส่งออกทะเบียนรถให้ พฤติการณ์ทั้งหมดแสดงว่าจำเลยมีส่วนรู้เห็นในการช่วยจำหน่ายซึ่งสิ่งของที่จำเลยรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงภาษีอากรตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ
จำเลยเป็นจ่าศาลมีหน้าที่ตามกฎหมายเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีไปดำเนินการยึดทรัพย์ตามคำพิพากษา จำเลยไปยึดทรัพย์ลูกหนี้ตามคำพิพากษายึดได้รถยนต์ของกลาง รายงานผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนว่าเป็นรถเก่าไม่มีหมายเลขทะเบียน เมื่อผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนสั่งให้ตรวจสอบก็ยืนยันว่าไม่สามารถตรวจสอบหมายเลขทะเบียนได้ ทั้งนี้เพื่อนำไปขอเลขทะเบียนใหม่ได้ตามความต้องการ เมื่อกรมการขนส่งมีหนังสือสอบถามเพื่อให้ยืนยันถึงเรื่องการจดทะเบียนรถยนต์ของกลางก็มีการร่วมกันทำเอกสารราชการปลอมขึ้นเพื่อให้กรมการขนส่งออกทะเบียนรถให้ พฤติการณ์ทั้งหมดแสดงว่าจำเลยมีส่วนรู้เห็นในการช่วยจำหน่ายซึ่งสิ่งของที่จำเลยรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงภาษีอากรตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ