คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วิเทพ ศิริพากย์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 538 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4600/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายเกินกว่าเหตุ: การยิงผู้กระทำอนาจารซ้ำหลังถูกยิงครั้งแรก
ผู้ตายเมาสุราเข้าไปในร้านของ ส. และบีบคอ ส. บนเตียงนอนผู้ตายถอดเสื้อแล้วเข้ามากอดปล้ำทำอนาจาร และลาก ส. ออกมาจากร้าน ถือว่า เป็นการทำร้ายร่างกายและข่มเหงจิตใจ ส. อย่างร้ายแรง จำเลยซึ่งเป็นน้องชาย ส. อยู่ในเหตุการณ์ ย่อมมีสิทธิที่จะป้องกันภัยอันตรายในขณะนั้นแทน ส. ได้ผู้ตายไม่มีอาวุธ เมื่อจำเลยยิงผู้ตายขณะกอดปล้ำ ส. 1 นัด ถูกที่หัวไหล่ซ้ายแล้วผู้ตายล้มลงแสดงว่าจำเลยหยุดยั้งผู้ตายไม่ให้กระทำต่อ ส. ได้พอแล้ว แม้ผู้ตายจะลุกขึ้นมาจะเข้ามาทำร้ายจำเลยอีก แต่สภาพของผู้ตายยังเมาสุราและถูกยิงได้รับบาดเจ็บย่อมไม่สามารถต่อสู้กับจำเลยได้อีก การที่จำเลยยิงผู้ตายซ้ำที่หน้าท้องจนผู้ตายล้มลงถึงแก่ความตาย จึงเป็นการกระทำที่ ป้องกันเกินสมควรแก่เหตุและเกินกว่ากรณีแห่งความจำเป็นตามมาตรา 69

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4468/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการใช้ทางผ่าน vs. สิทธิเจ้าของกรรมสิทธิ์: การก่อสร้างอาคารไม่ละเมิดหากยังสามารถใช้ทางออกได้
จำเลยก่อสร้างอาคารในที่ดินของตนทางด้านทิศใต้ มิได้รุกล้ำหรือปิดบังแสงสว่าง ก่อให้เกิดเสียงดังหรือมีฝุ่นละอองมายังบ้านโจทก์หรือเหตุอื่นหากมีเกินกว่าปกติ และโจทก์ยังสามารถเดินผ่านที่ดินของจำเลยออกสู่ทางสาธารณะได้ โดยเดินผ่านประตูเหล็กที่จำเลยทำไว้ให้เจ้าของที่ดินเดิมใช้เป็นทางเข้าออก แม้โจทก์จะไม่ได้รับความสะดวกเพราะต้องขออนุญาตจากเจ้าของที่ดินเดิมก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายและเดือดร้อนเกินที่ควรคาดหมายเป็นพิเศษ จึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยรื้อถอนอาคารตามฟ้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4426/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงแก้ไขวิธีการคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา ต้องมีเหตุผลตามกฎหมาย การนำที่ดินมาเป็นหลักประกันต้องมีมูลความน่าเชื่อถือ
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 261 วรรคสาม ศาลจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาต่อเมื่อจำเลยยื่นคำขอให้เห็นว่าวิธีการที่กำหนดไว้ตามมาตรา 254 นั้นไม่มีเหตุเพียงพอหรือมีเหตุอันสมควรประการอื่น คำร้องของจำเลยที่ว่าฟ้องของโจทก์ไม่มีมูลที่จะชนะคดีก็ดี โจทก์มีเจตนาทุจริตในการร้องขอให้ศาลมีคำสั่งยึดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยก็ดี เป็นการคัดค้านว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไม่พอที่จะออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา หาใช่วิธีการกำหนดไปนั้นไม่มีเหตุเพียงพอหรือมีเหตุอันสมควรประการอื่นไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4426/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวต้องมีเหตุผลอันสมควร การนำที่ดินมาเป็นหลักประกันต้องมีราคาที่แท้จริงและสามารถใช้ชำระหนี้ได้
ตามบทบัญญัติ ป.วิ.พ. มาตรา 261 วรรคสาม ศาลจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาต่อเมื่อจำเลยยื่นคำขอให้เห็นว่าวิธีการที่กำหนดไว้ตามมาตรา 254 นั้น ไม่มีเหตุเพียงพอหรือมีเหตุอันสมควรประการอื่น คำร้องของจำเลยที่ว่าฟ้องของโจทก์ไม่มีมูลที่จะชนะคดีก็ดี โจทก์มีเจตนาทุจริตในการร้องขอให้ศาลมีคำสั่งยึดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยก็ดี เป็นการคัดค้านว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไม่พอที่จะออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา หาใช่วิธีการกำหนดไปนั้นไม่มีเหตุเพียงพอหรือมีเหตุอันสมควรประการอื่นไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4414/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลฎีกาไม่ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพราะเป็นการโต้แย้งการวินิจฉัยประเด็นคดี ไม่ใช่บทบัญญัติขัดรัฐธรรมนูญ
จำเลยยื่นคำร้องว่า ศาลฎีกามิได้วินิจฉัยประเด็นที่จำเลยฎีกาซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนอันคลาดเคลื่อนกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540มาตรา 6 จึงขอยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ตามคำร้องของจำเลยมิใช่เป็นการโต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงมิใช่กรณีที่ศาลจะต้องส่งความเห็นตามคำร้องของจำเลยเพื่อศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 264 ประกอบมาตรา 6

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4414/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยประเด็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน และขอบเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ
จำเลยยื่นคำร้องว่า ศาลฎีกามิได้วินิจฉัยประเด็นที่จำเลยฎีกาซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนอันคลาดเคลื่อนกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 6 จึงขอยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ตามคำร้องของจำเลยมิใช่เป็นการโต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงมิใช่กรณีที่ศาลจะต้องส่งความเห็นตามคำร้องของจำเลยเพื่อศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 264 ประกอบมาตรา 6

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4340/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้สำเนาเอกสารราชการปลอมเพื่อหลอกลวง ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 และ 268
สำเนาหนังสือรับรองราคาประเมินที่ดินที่จำเลยนำไปใช้ เป็นภาพถ่ายจากต้นฉบับเอกสารราชการเพียงแต่แตกต่างกันในตัวเลขเกี่ยวกับราคาประเมินเท่านั้น กล่าวคือ เอกสารที่แท้จริงซึ่งเป็นต้นฉบับระบุราคาประเมินที่ดินจำนวน 28,000 บาท แต่ตามภาพถ่ายสำเนาหนังสือรับรองราคาประเมินระบุราคาประเมินที่ดินจำนวน 828,000 บาทดังนั้น สำเนาหนังสือรับรองราคาประเมินจึงเป็นการแก้ไขตัวเลขอันเป็นการทำปลอมขึ้นจากหนังสือรับรองราคาประเมินซึ่งเป็นเอกสารราชการที่แท้จริงแม้จะเป็นการทำปลอมในสำเนาเอกสารราชการก็ต้องถือว่าเป็นการปลอมเอกสารราชการ เมื่อจำเลยได้นำสำเนาหนังสือรับรองราคาประเมินไปใช้แสดงต่อโจทก์ร่วมเพื่อให้หลงเชื่อว่าเป็นภาพถ่ายจากเอกสารที่แท้จริง การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอม
ตามฟ้องโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265,268 ซึ่งมีโทษจำคุกหกเดือนถึงห้าปี จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้น แม้ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วจะได้ความว่า การกระทำของจำเลยเป็นเพียงความผิดฐานฉ้อโกงซึ่งมีอัตราโทษอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงก็ไม่ทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์เปลี่ยนแปลงไป ศาลชั้นต้นยังคงมีอำนาจที่จะพิพากษาคดีต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4129/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสารภาพข้อหาลักทรัพย์ การแก้ไขฐานความผิดของศาล และการกำหนดโทษที่เหมาะสม
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334,335 และ 357 ศาลชั้นต้นจดคำให้การจำเลยว่า ข้าพเจ้าขอให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดตามฟ้องโจทก์ คำให้การฉบับนี้ย่อมไม่ชัดเจนว่าจำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาใด แต่ในวันเดียวกันนั้นจำเลยยื่นคำให้การอีกฉบับหนึ่งมีข้อความว่า จำเลยขอถอนคำให้การเดิมทั้งหมดแล้วขอให้การรับสารภาพในข้อกล่าวหาลักทรัพย์ตามมาตรา 334 เท่ากับจำเลยยังปฏิเสธคำฟ้องโจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335 และ 357 เมื่อโจทก์จำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยาน และโจทก์จำเลยได้ลงชื่อไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาซึ่งศาลชั้นต้นได้จดรายงานกระบวนพิจารณาในวันเดียวกันนั้น เท่ากับโจทก์ไม่ติดใจที่จะสืบพยานในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 และ 357 อีกต่อไปข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามคำรับสารภาพของจำเลยว่า จำเลยกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(8) วรรคแรก จึงไม่ถูกต้อง
การปรับบทลงโทษจำเลยในความผิดฐานใดนั้นเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4127/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องค่าเสียหายจากเหตุละเมิด: พิจารณาจากวันที่ผู้อำนวยการทราบเหตุและตัวผู้รับผิด และข้อยกเว้นการรับผิดตามสัญญาประกันภัย
พ.ร.บ. องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยฯ มาตรา 38 กำหนดให้ผู้อำนวยการเป็นผู้กระทำการในนาม ขององค์การโทรศัพท์ฯ และเป็นตัวแทนขององค์การโทรศัพท์ฯ ดังนั้น วันที่ถือว่าโจทก์ทราบคือวันที่ผู้อำนวยการรู้ถึง การละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน เว้นแต่ผู้อำนวยการจะตั้งตัวแทนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้โดยเฉพาะ การที่ บ. หัวหน้าหน่วยบำรุงรักษาซึ่งมีหน้าที่ควบคุมดูแลทรัพย์สินของโจทก์มอบอำนาจให้ ค. ไปแจ้งความ จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบที่วางไว้ตามปกติเท่านั้น มิใช่เป็นผู้กระทำแทนผู้อำนวยการของโจทก์เฉพาะเรื่องตามที่ได้รับมอบหมายในลักษณะตัวการตัวแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 797 อันถือว่ากิจการทุกประการที่ บ. กระทำไปเป็นการกระทำของผู้อำนวยการของโจทก์ เมื่อผู้อำนวยการของโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนจาก บ. เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2538 และโจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2538 ฟ้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 887 วรรคสอง โจทก์จะมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัย ค้ำจุนได้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญาเท่านั้น เมื่อกรมธรรม์ประกันภัยระบุความรับผิดต่อบุคคลภายนอกใน ความเสียหายแก่ทรัพย์สินว่าผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดส่วนแรก 10,000 บาท ต่อครั้ง/ทุกครั้ง จึงต้องหักเงินจำนวนนี้ออกจากค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดเสียก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3828/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำสั่งศาลที่อนุญาตขยายเวลาการยื่นคำร้อง และการพิสูจน์ทรัพย์สินที่ชำระหนี้ได้
คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ผู้ร้องขยายระยะเวลายื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้ โจทก์จะต้องโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 226 หากโจทก์มิได้โต้แย้งไว้ก็ไม่อาจอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้ เมื่อคำร้องคัดค้านของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านคำร้องของผู้ร้องที่ยื่นเข้ามาเพื่อขอเฉลี่ยทรัพย์ หาใช่คำโต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นเกี่ยวกับการที่ศาลชั้นต้นรับคำร้องขอขยายระยะเวลายื่น คำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ภายหลังจากวันครบกำหนดยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องไม่ และศาลชั้นต้นก็มีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ภายหลังจากที่โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้าน จึงไม่อาจถือว่าคำร้องคัดค้าน ของโจทก์เป็นคำโต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นได้
of 54