คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วิเทพ ศิริพากย์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 538 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4041/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายเรียกโดยปิดประกาศและการขาดนัดพิจารณาโดยจงใจ การดำเนินการตามมาตรา 79 วรรคแรกชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ และยื่นอุทธรณ์ในปัญหาว่าการนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรกโดยปิดประกาศหน้าศาลเป็นการชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 หรือไม่ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยเรื่องนี้ ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้
ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องภายในกำหนด 5 วัน หากส่งไม่ได้ให้โจทก์แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้ และกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ไว้ในวันที่ 23 กรกฎาคม 2539 แต่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไม่ได้ เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยโดยวิธีธรรมดาไม่สามารถที่จะทำได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานศาลส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องและแจ้งกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ให้จำเลยทราบโดยวิธีอื่นโดยการปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้ ณ สถานที่ทำการอันเป็นภูมิลำเนาของจำเลยในวันที่ 19 กรกฎาคม 2539 จึงเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 79 วรรคแรก แล้วครั้นถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 23กรกฎาคม 2539 ศาลชั้นต้นได้ไต่สวนเรื่องการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องและฟังได้ว่ามีการปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทราบโดยชอบแล้วจริง การที่ศาลชั้นต้นให้เลื่อนไปนัดสืบพยานนัดแรกในวันที่ 11 กันยายน 2539 และศาลชั้นต้นแจ้งวันนัดให้จำเลยทราบโดยวิธีปิดประกาศหน้าศาล โดยศาลชั้นต้นให้เหตุผลว่าเป็นเพราะการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องส่งโดยวิธีการปิดหมายการดำเนินการดังกล่าวเป็นอีกวิธีการหนึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 79 มีผลเช่นเดียวกับการปิดหมาย การนัดสืบพยานนัดแรกโดย ประกาศหน้าศาลจึงชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยกล่าวอ้างว่าจำเลยขาดนัดโดยไม่จงใจ จำเลยมีหน้าที่นำสืบแต่จำเลยนำสืบเพียงว่าไม่มีการปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง โดยมิได้นำสืบถึงพฤติการณ์อย่างอื่นให้เห็น จึงฟังว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาโดยจงใจ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4041/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายและนัดสืบพยานโดยปิดประกาศหน้าศาลชอบด้วยกฎหมายเมื่อส่งโดยวิธีธรรมดาไม่ได้
ปัญหาว่าการนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรกโดยปิดประกาศหน้าศาลให้จำเลยทราบเป็นการชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 79 หรือไม่ เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องภายในกำหนด 5 วัน หากส่งไม่ได้ให้โจทก์แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้ และกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ไว้ในวันที่ 23 กรกฎาคม 2539 แต่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไม่ได้ เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่า การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยโดยวิธีธรรมดาไม่สามารถที่จะทำได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานศาลส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องและแจ้งกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ให้จำเลยทราบโดยวิธีอื่นโดยการปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้ ณ สถานที่ทำการอันเป็นภูมิลำเนาของจำเลยในวันที่ 19 กรกฎาคม 2539 จึงเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนที่บัญญัติไว้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 79 วรรคแรก แล้ว ครั้นถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 23 กรกฎาคม 2539 ศาลชั้นต้นได้ไต่สวนเรื่องการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องและฟังได้ว่ามีการปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทราบโดยชอบแล้วจริง การที่ศาลชั้นต้นให้เลื่อนไปนัดสืบพยานนัดแรกในวันที่ 11 กันยายน 2539 และศาลชั้นต้นแจ้งวันนัดให้จำเลยทราบโดยวิธีประกาศหน้าศาล ศาลชั้นต้นให้เหตุผลว่าเป็นเพราะการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องส่งโดยวิธีการปิดหมาย การดำเนินการประกาศหน้าศาลจึงเป็นอีกวิธีการหนึ่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 79 มีผลเช่นเดียวกับการปิดหมาย การนัดสืบพยานนัดแรกโดยประกาศหน้าศาลจึงชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3777/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่ยื่นบัญชีระบุพยานและการไม่อ้างตนเองเป็นพยานเมื่อไม่ได้ยื่นคำให้การและไม่ได้ขออนุญาต
คดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 การฎีกาในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคำสั่งระหว่างพิจารณาจะต้องพิจารณา จากคดีเดิมเป็นสำคัญ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 88 ได้แยกการยื่นบัญชีระบุพยานไว้ 2 กรณี กรณีแรกเป็นการยืนบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมเมื่อระยะเวลาที่กำหนดให้ยื่นบัญชีระบุพยาน ได้สิ้นสุดลงแล้วกับไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้เลยอีกกรณีหนึ่ง แต่ทั้งสองกรณีเป็นหน้าที่ของคู่ความฝ่ายนั้นจะต้องยื่นคำร้องขออนุญาตพร้อมกับแสดงเหตุอันสมควรให้ศาลทราบ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาสั่ง ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีเพราะเห็นว่าจำเลยประวิงคดี แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์ไปจนเสร็จสิ้นในวันนั้น แต่การที่จะเลื่อนไปสืบพยานจำเลยนั้น จะต้องปรากฏว่า จำเลยมีสิทธิที่จะนำพยานเข้าสืบ เมื่อจำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีไว้ แต่มิได้ยื่นบัญชีระบุพยาน ทั้งมิได้ยื่นคำร้องขออนุญาตตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ จำเลยก็ไม่อาจนำพยานเข้าสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 การที่ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาโดยไม่สอบจำเลยเรื่องมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานเสียก่อน จึงชอบแล้ว จำเลยที่มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานแต่มีสิทธิที่จะอ้างตนเองเป็นพยานได้ ต้อง เป็นกรณีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 วรรคสองซึ่งจำเลยอาจสาบานตนให้การเป็นพยานและถามค้านพยานโจทก์ได้ หรือมิฉะนั้นต้องเป็นกรณีที่ศาลใช้อำนาจตามมาตรา 87(2) ที่จะรับฟังพยานแม้จะเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 แต่กรณีของจำเลยเมื่อไม่ต้องด้วยบทบัญญัติดังกล่าวจำเลยจึงไม่มีสิทธิอ้างตนเองเป็นพยาน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3777/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นบัญชีระบุพยานและการสืบพยาน: สิทธิจำเลยในการนำพยานเข้าสืบ
คดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248การฎีกาในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคำสั่งระหว่างพิจารณาจะต้องพิจารณาจากคดีเดิมเป็นสำคัญ
ป.วิ.พ.มาตรา 88 ได้แยกการยื่นบัญชีระบุพยานไว้ 2 กรณีกรณีแรกเป็นการยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมเมื่อระยะเวลาที่กำหนดให้ยื่นบัญชีระบุพยานได้สิ้นสุดลงแล้ว กับไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้เลยอีกกรณีหนึ่ง แต่ทั้งสองกรณีเป็นหน้าที่ของคู่ความฝ่ายนั้นจะต้องยื่นคำร้องขออนุญาตพร้อมกับแสดงเหตุอันสมควรให้ศาลทราบเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาสั่ง
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีเพราะเห็นว่าจำเลยประวิงคดี แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์ไปจนเสร็จสิ้นในวันนั้น แต่การที่จะเลื่อนไปสืบพยานจำเลยนั้น จะต้องปรากฏว่า จำเลยมีสิทธิที่จะนำพยานเข้าสืบ เมื่อจำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีไว้ แต่มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานทั้งมิได้ยื่นคำร้องขออนุญาตตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ จำเลยก็ไม่อาจนำพยานเข้าสืบได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 87 การที่ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาโดยไม่สอบจำเลยเรื่องมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานเสียก่อน จึงชอบแล้ว
จำเลยที่มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานแต่มีสิทธิที่จะอ้างตนเองเป็นพยานได้ ต้องเป็นกรณีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 199วรรคสอง ซึ่งจำเลยอาจสาบานตนให้การเป็นพยานและถามค้านพยานโจทก์ได้ หรือมิฉะนั้นต้องเป็นกรณีที่ศาลใช้อำนาจตามมาตรา 87 (2) ที่จะรับฟังพยานแม้จะเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 แต่กรณีของจำเลยเมื่อไม่ต้องด้วยบทบัญญัติดังกล่าว จำเลยจึงไม่มีสิทธิอ้างตนเองเป็นพยาน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3642/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภูมิลำเนาหลายแห่ง และอายุความสัญญาเช่าซื้อ
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 38 นั้น แสดงให้เห็นว่า บุคคลธรรมดาอาจมีภูมิลำเนาได้หลายแห่ง นอกจากสถานที่อยู่จะเป็นภูมิลำเนาแล้ว ที่ทำการงานเป็นปกติก็เป็นภูมิลำเนาอีกแห่งหนึ่งด้วย ฉะนั้น การที่จำเลยที่ 1 เป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล จำเลยที่ 2 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกระบี่ มีที่ทำการสาขาพรรคอยู่ที่ สองจังหวัด จึงเป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปได้ว่าสถานที่ทั้งสองแห่งเป็นที่ทำการสำหรับติดต่อกับจำเลยทั้งสองในการปฏิบัติหน้าที่ทางการเมือง และรับทราบปัญหาต่าง ๆ จากราษฎรในฐานะที่จำเลยทั้งสองเป็นผู้แทนของประชาชน อีกทั้งสำนักงานสาขาดังกล่าวยังเป็นสถานที่ใช้ติดต่อประสานงานทางการเมืองระหว่างพรรคกับจำเลยและสมาชิกของพรรคด้วย ดังนั้นที่ทำการสาขาพรรค จังหวัดสตูล และจังหวัดกระบี่จึงเป็นภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสอง อีกแห่งหนึ่ง
ตามคำฟ้องโจทก์เป็นกรณีขอให้จำเลยทั้งสองใช้ราคารถยนต์เช่าซื้อที่ยังขาดอยู่กรณีหนึ่ง และเรียกค่าเสียหายจากการที่โจทก์ขาดประโยชน์ที่เอารถยนต์ไปให้ผู้อื่นเช่าอีกกรณีหนึ่งนั้น มิใช่เป็นการฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดใน ค่าเสียหายเกี่ยวกับทรัพย์สินที่เช่าซื้อชำรุดเสียหายอันเป็นกรณีที่จะนำ ป.พ.พ. มาตรา 563 ซึ่งกำหนดอายุความ 6 เดือนมาใช้บังคับ แต่เป็นการฟ้องโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อซึ่งกฎหมายไม่ได้กำหนดอายุความเรื่องนี้ไว้โดยตรง จึงอยู่ในอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 ฉะนั้นฟ้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3639/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงปลอมปนสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อเศรษฐกิจและประชาชน ไม่มีเหตุรอการลงโทษ
น้ำมันเชื้อเพลิงที่จำเลยทั้งสามปลอมปนมีจำนวนรวมกันถึง133,500ลิตรเพื่อที่จะให้ได้กำไรในทางการค้าให้มาก โดยมิได้คำนึงถึงความเดือดร้อนที่จะก่อให้เกิดแก่ประชาชนที่ซื้อน้ำมันไปใช้ ทำให้เครื่องยนต์ต้องชำรุดเสียหายก่อนเวลาอันสมควรต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเป็นจำนวนมากโดยไม่จำเป็น ซึ่งเป็นความสูญเปล่าในทางเศรษฐกิจของประเทศชาติโดยรวมถือเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่ร้ายแรงไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษให้แก่จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3600/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนมรดกตามพินัยกรรม: สิทธิฟ้องถอนคืนการให้
โจทก์กับ ช.เจ้ามรดก มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือจำเลยและ ล.จำเลยรับโอนที่ดินพิพาทตามพินัยกรรมที่ ช.ทำไว้อันเป็นการได้มาโดยทางมรดกมิใช่รับโอนมาโดยโจทก์ยกให้ โจทก์จึงมิใช่ผู้ให้ที่ดินพิพาทแก่จำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกถอนคืนการให้
ปัญหาว่า พินัยกรรมฉบับที่ ช. ทำดังกล่าวมีผลบังคับได้เพียงใดหรือไม่ โจทก์ซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของ ช. ชอบที่จะไปว่ากล่าวกันเป็นคดีใหม่
การที่โจทก์ลงชื่อให้ความยินยอมในพินัยกรรมของ ช.ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์ทำนิติกรรมยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3600/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนมรดกตามพินัยกรรม ไม่ใช่การยกให้ สิทธิในการฟ้องเรียกคืนการให้จึงไม่เกิดขึ้น
โจทก์กับ ช. เจ้ามรดก มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือจำเลยและ ล.จำเลยรับโอนที่ดินพิพาทตามพินัยกรรมที่ ช. ทำไว้อันเป็นการได้มาโดยทางมรดกมิใช่รับโอนมาโดยโจทก์ยกให้ โจทก์จึงมิใช่ผู้ให้ที่ดินพิพาทแก่จำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิ ฟ้องเรียกถอนคืนการให้ ปัญหาว่า พินัยกรรมฉบับที่ ช. ทำดังกล่าวมีผลบังคับได้เพียงใดหรือไม่ โจทก์ซึ่ง เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของ ช. ชอบที่จะไปว่ากล่าวกันเป็นคดีใหม่ การที่โจทก์ลงชื่อให้ความยินยอมในพินัยกรรมของ ช. ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์ทำนิติกรรม ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3509/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คผู้ถือ: การสลักหลังถือเป็นการอาวัล การชำระหนี้โดยผู้รับอาวัลไม่ถือเป็นการขืนใจลูกหนี้
จำเลยให้การว่า จำเลยกู้เงินบ. โดยออกเช็คไว้ ต่อมาบ. ขอร่วมลงทุนทำการค้าโดยถือเอาเงินที่จำเลยเป็นเงินร่วมลงทุน และตกลงยกเลิกการกู้ยืม มูลหนี้ตามเช็คจึงระงับไป จำเลยอุทธรณ์และฎีกาว่า จำเลยออกเช็คโดยมีข้อตกลงในขณะ ออกเช็คไม่นำเช็คไปเรียกเก็บเงินและนำเข้าบัญชี จึงเป็นข้อ ที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่าง เช็คเป็นตราสารเปลี่ยนมือที่ต้องการความเชื่อถือในระหว่าง ผู้สั่งจ่ายและผู้ทรงทั้งหลายว่า เมื่อนำเช็คไปเรียกเก็บเงิน แล้วจะมีการจ่ายเงินตามเช็ค ข้อกำหนดเงื่อนไขใด ๆ อันเป็น การห้ามหรือจำกัดการจ่ายเงินจะพึงมีได้จึงต้องเป็นไปตาม บทบัญญัติของกฎหมายการที่จำเลยขีดเส้นสีดำไว้ในช่องวันที่ การกระทำดังกล่าวไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายให้อำนาจไว้ว่า กระทำได้ ข้อความดังกล่าวจึงหาเป็นผลอย่างหนึ่งอย่างใด แก่เช็คนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 899 จึงถือว่าจำเลยออกเช็คโดยมิได้ลงวันออกเช็คไว้ เมื่อโจทก์ ได้รับเช็คและนำเข้าบัญชี โจทก์หรือเจ้าหน้าที่ธนาคารจึง ลงวันที่ในเช็คได้ตามมาตรา 910 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 898 โจทก์ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คผู้ถือ ต้องถือว่าเป็น การประกันหรืออาวัลผู้สั่งจ่ายตามมาตรา 921 ประกอบมาตรา 989 เป็นการอาวัลตามผลของกฎหมายมิใช่การอาวัลตามมาตรา 939 จึง ไม่ต้องมีการเขียนข้อความระบุว่า ใช้ได้เป็นอาวัล โจทก์ต้อง รับผิดต่อ บ. ตามมาตรา 940 วรรคหนึ่ง และต้องชำระหนี้ไปตามความรับผิดที่มีต่อ บ. ตามตั๋วเงิน การชำระหนี้นี้โจทก์ไม่ต้องแจ้งให้จำเลยทราบและจะถือว่าเป็นการชำระหนี้ โดยขืนใจลูกหนี้ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3509/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คพิพาท: การออกเช็ค การลงวันที่ การระบุชื่อผู้รับ และการสลักหลัง
เช็คเป็นตราสารเปลี่ยนมือที่ต้องการความเชื่อถือในระหว่างผู้สั่งจ่ายและผู้ทรงทั้งหลายว่า เมื่อนำเช็คไปเรียกเก็บเงินแล้วจะมีการจ่ายเงินตามเช็ค ดังนั้นข้อกำหนดเงื่อนไขใด ๆ อันเป็นการห้ามหรือจำกัดการจ่ายเงินจะพึงมีได้จึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย
การที่จำเลยออกเช็คพิพาทโดยขีดเส้นสีดำไว้ในช่องวันที่ไว้เมื่อไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายให้อำนาจไว้ว่ากระทำได้ ข้อความดังกล่าวจึงไม่เป็นผลอย่างหนึ่งอย่างใดแก่เช็คนั้น ตาม ป.พ.พ.มาตรา 899 กรณีถือว่าจำเลยออกเช็คโดยมิได้ลงวันออกเช็คไว้ เมื่อโจทก์ได้รับเช็คพิพาทมาและนำเข้าบัญชี โจทก์หรือเจ้าหน้าที่ธนาคารย่อมลงวันที่ในเช็คได้ตามมาตรา 910 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 989
จำเลยออกเช็คสั่งจ่ายระบุชื่อ บ.เป็นผู้รับเงิน แต่มิได้ขีดฆ่าคำว่า"หรือผู้ถือ" ออก แม้จำเลยอ้างว่าประสงค์จะออกเช็คระบุชื่อ แต่ด้วยความไม่สันทัดของจำเลยจึงมิได้ขีดฆ่าคำว่า "หรือผู้ถือ" ออกก็ตาม ก็ต้องถือว่าเช็คพิพาทเป็นเช็คผู้ถือ
โจทก์ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คพิพาทซึ่งเป็นเช็คผู้ถือ มีผลเป็นการประกันหรืออาวัลผู้สั่งจ่าย ตาม ป.พ.พ.มาตรา 921 ประกอบมาตรา 989 ซึ่งเป็นการอาวัลตามผลของกฎหมาย มิใช่การอาวัลตามมาตรา 939 จึงไม่ต้องมีการเขียนข้อความระบุว่า ใช้ได้เป็นอาวัลอีก
of 54