พบผลลัพธ์ทั้งหมด 538 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1882/2542 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของผู้ว่าจ้างจากการกระทำของผู้รับจ้าง: การบรรยายฟ้องที่ชัดเจนและการบังคับตามคำขอ
กำแพงรั้วของโจทก์เกิดความเสียหายจากการตอกเสาเข็มของผู้รับจ้างก่อสร้างจากจำเลย โดยจำเลยได้คอยควบคุมดูแลอยู่ตลอดเวลา ถือว่าการตอกเสาเข็มเป็นไปตามคำสั่งของจำเลยโดยตรง แต่โจทก์บรรยายฟ้องคดีนี้ว่า ในระหว่างการก่อสร้างบ้านจำเลยได้มีการใช้ปั้นจั่นตอกเสาเข็ม ปรากฏว่าแรงสั่นสะเทือนจากการตอกเสาเข็ม โจทก์เกรงว่าอาจทำให้กำแพงรั้วคอนกรีตและตัวบ้านเสียหาย โจทก์ได้สั่งให้จำเลยแก้ไขแล้วแต่จำเลยกลับเพิกเฉยและยังใช้ปั้นจั่นตอกเสาเข็มต่อไปจนเสร็จ โดยไม่ได้แก้ไขเรื่องแรงสั่นสะเทือนหรือเปลี่ยนแปลงเครื่องตอกเสาเข็มแต่อย่างใด อีกทั้งมิได้หาทางป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่บ้านโจทก์ และด้วยความประมาทเลินเล่อของจำเลยทำให้กำแพงรั้วคอนกรีต คานและหลังคา ค.ส.ล. บนกำแพงรั้วคอนกรีตของบ้านโจทก์ รวมทั้งอุปกรณ์ตกแต่งอื่น ๆที่ติดอยู่ภายในกำแพงรั้วคอนกรีตได้รับความเสียหาย อันเป็นการบรรยายฟ้องให้จำเลยรับผิดจากการกระทำของจำเลยตาม ป.พ.พ.มาตรา 420 มิใช่ให้จำเลยรับผิดตามมาตรา 428 ซึ่งเป็นเรื่องผู้ว่าจ้างทำของไม่ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกในระหว่างทำการงานที่ว่าจ้าง เว้นแต่ผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำ หรือในคำสั่งที่ตนให้ไว้ หรือในการเลือกหาผู้รับจ้างเพราะตามคำฟ้องไม่ได้บรรยายว่าจำเลยว่าจ้างใคร และมีส่วนผิดในการงานที่สั่งให้ทำอย่างไร แม้ความรับผิดตามมาตรา 420 อาจซ้อนกับมาตรา 428 ได้ แต่คำฟ้องโจทก์ก็จะต้องแสดงให้แจ้งชัดสภาพแห่งข้อหาและคำขอคำบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแหล่งแห่งข้อหาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172 การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยรับผิดตามมาตรา 428 จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา142 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1882/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาเกินคำขอ: การฟ้องความรับผิดจากความเสียหายจากการตอกเสาเข็ม จำเลยต้องรับผิดตามมาตรา 420 ไม่ใช่ 428
กำแพงรั้วของโจทก์เกิดความเสียหายจากการตอกเสาเข็ม ของผู้รับจ้างก่อสร้างบ้านจำเลย โดยจำเลยได้คอยควบคุมดูแล อยู่ตลอดเวลา ถือว่าการตอกเสาเข็มเป็นไปตามคำสั่ง ของจำเลยโดยตรง โจทก์บรรยายฟ้องคดีนี้ว่า ในระหว่างการก่อสร้างบ้านจำเลย ได้มีการใช้ปั้นจั่นตอกเสาเข็ม ปรากฏว่าแรงสั่นสะเทือนจากการตอกเสาเข็ม โจทก์เกรงว่าอาจทำให้กำแพงรั้วคอนกรีตและตัวบ้านเสียหาย โจทก์ได้สั่งให้จำเลยแก้ไขแล้ว แต่จำเลยกลับเพิกเฉยและยังใช้ปั้นจั่นตอกเสาเข็มต่อไปจนเสร็จ อีกทั้งมิได้หาทางป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่บ้านโจทก์ และด้วยความประมาทเลินเล่อของจำเลยทำให้กำแพงรั้วคอนกรีต คานและหลังคา ค.ส.ล.บนกำแพงรั้วคอนกรีตของบ้านโจทก์ รวมทั้งอุปกรณ์ตกแต่งอื่น ๆ ที่ติดอยู่ภายในกำแพงรั้วคอนกรีต ได้รับความเสียหาย อันเป็นการบรรยายฟ้องให้จำเลยรับผิด จากการกระทำของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 มิใช่ให้จำเลยรับผิดตามมาตรา 428 ซึ่งเป็นเรื่อง ผู้ว่าจ้างทำของไม่ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันผู้รับจ้าง ได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกในระหว่างทำการงานที่ว่าจ้าง เว้นแต่ผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำ หรือในคำสั่งที่ตนให้ไว้ หรือในการเลือกหาผู้รับจ้าง เพราะตามคำฟ้องไม่ได้บรรยายว่าจำเลยว่าจ้างใคร และมีส่วนผิดในการงานที่สั่งให้ทำอย่างไร แม้ความรับผิด ตามมาตรา 420 อาจซ้อนกับมาตรา 428 ได้ แต่คำฟ้องโจทก์ ก็จะต้องแสดงให้แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอคำบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยรับผิดตามมาตรา 428 จึงเป็นการพิพากษา เกินคำขอ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1587/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องขอพิจารณาใหม่ต้องมีข้อคัดค้านคำพิพากษาชัดเจน การแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องต้องรอคำสั่งรับคำร้องเดิม
จำเลยระบุในคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เพียงว่า หากจำเลยได้มีโอกาสยื่นคำให้การต่อสู้คดีแล้ว ย่อมทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไปเพราะความจริงแล้วจำเลยเป็นหนี้โจทก์ไม่ถึงจำนวนตามฟ้องของโจทก์ โดยจำเลยมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องในส่วนใดอย่างไรทั้งไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิงที่จะแสดงให้เห็นได้ชัดแจ้งว่าหากพิจารณาใหม่แล้วศาลอาจพิพากษาให้ผิดแผกแตกต่างจากที่ได้ พิพากษาไปแล้ว คำร้อง ของ จำเลยจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง การที่จะขอแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ได้จะต้องให้ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เสียก่อนเมื่อคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยขาดองค์ประกอบสำคัญที่ศาลจะพึงรับไว้ได้และศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องแล้วกรณีจึงไม่จำต้องสั่งคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องอีกต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1587/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องขอพิจารณาใหม่ต้องแสดงเหตุผลชัดเจนและมีเหตุผลที่ศาลจะรับพิจารณาได้ หากขาดองค์ประกอบดังกล่าว ศาลไม่ต้องรับคำร้อง
จำเลยระบุในคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เพียงว่า หากจำเลยได้มีโอกาสยื่นคำให้การต่อสู้คดีแล้ว ย่อมทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไปเพราะความจริงแล้วจำเลยเป็นหนี้โจทก์ไม่ถึงจำนวนตามฟ้องของโจทก์ โดยจำเลยมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องในส่วนใดอย่างไร ทั้งไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิงที่จะแสดงให้เห็นได้ชัดแจ้งว่าหากพิจารณาใหม่แล้วศาลอาจพิพากษาให้ผิดแผกแตกต่างจากที่ได้พิพากษาไปแล้ว คำร้องของจำเลยจึงไม่ต้องด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 208 วรรคสอง
การที่จะขอแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ได้จะต้องให้ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เสียก่อน เมื่อคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยขาดองค์ประกอบสำคัญที่ศาลจะพึงรับไว้ได้และศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องแล้วกรณีจึงไม่จำต้องสั่งคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องอีกต่อไป
การที่จะขอแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ได้จะต้องให้ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เสียก่อน เมื่อคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยขาดองค์ประกอบสำคัญที่ศาลจะพึงรับไว้ได้และศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องแล้วกรณีจึงไม่จำต้องสั่งคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องอีกต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1052/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยขาดนัดพิจารณาคดีเนื่องจากทนายจำเลยไม่ไปศาลและไม่ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี ศาลไม่จำเป็นต้องไต่สวนคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยไม่ยื่นคำให้การในกำหนด จึงมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ให้นัดสืบพยานโจทก์วันที่ 17 ตุลาคม 2540 เวลา 9.00 นาฬิกา ตามที่โจทก์ขอและให้หมายแจ้งวันนัดให้จำเลยทั้งเจ็ดทราบไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิดหมายจำเลยทราบนัดแล้วโดยวิธีปิดหมายตามคำสั่งศาลชั้นต้น ต่อมาก่อนวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยได้แต่งตั้งทนายจำเลยยื่นคำร้องขอยื่นคำให้การต่อศาลชั้นต้นพร้อมยื่นคำให้การของจำเลยมาด้วย ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขอยื่นคำให้การและคำให้การของจำเลยว่า สำเนาให้โจทก์ รอสั่งวันนัด โดยทนายจำเลยได้ลงชื่อรับทราบให้มาฟังคำสั่งศาลภายใน 7 วันหากไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งศาลแล้ว ในวันนัดสืบพยานโจทก์ดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ และเห็นว่าคดีมีประเด็นข้อพิพาทไม่ยุ่งยากจึงให้งดชี้สองสถาน และให้โจทก์นำพยานเข้าสืบ การที่ทนายจำเลยได้ลงชื่อรับทราบให้มาฟังคำสั่งศาลภายใน 7 วัน หากไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งศาลแล้ว กรณีถือได้ว่าทนายจำเลยทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องคดีนี้และทราบกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์แล้ว จึงต้องถือว่าจำเลยทราบนัดด้วย เพราะทนายจำเลยทั้งเจ็ดทำหน้าที่แทนจำเลยทั้งเจ็ดตามกฎหมายส่วนที่อ้างว่าทนายจำเลยทั้งเจ็ดเจ็บป่วย แพทย์ให้พักรักษาตัวตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคมถึงวันที่ 22 ตุลาคม 2540 นั้น เห็นว่า หากทนายจำเลยทั้งเจ็ดเจ็บป่วยจริงแล้วจำเลยทั้งเจ็ดหรือทนายจำเลยทั้งเจ็ดอาจยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่อาจมาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ต่อศาลชั้นต้นได้ก่อนหรือในวันนัด ทั้งจะมอบหมายให้ผู้ใดมาทำการแทนก็ได้ แต่จำเลยทั้งเจ็ดหรือทนายจำเลยทั้งเจ็ดหาได้กระทำไม่แสดงว่าจำเลยทั้งเจ็ดรวมทั้งทนายจำเลยทั้งเจ็ดไม่ได้เอาใจใส่ในคดีของตนเองทั้งเหตุตามคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลยทั้งเจ็ดที่อ้างว่าจำเลยทั้งเจ็ดต้องนำสินค้าไปจำหน่ายในต่างจังหวัด จึงไม่ทราบเรื่องวันนัดสืบพยานโจทก์ก็ดี และว่าแม้จำเลยทั้งเจ็ดจะได้ตั้งทนายจำเลยให้แก้ต่างให้แล้ว แต่ทนายจำเลยทั้งเจ็ดไม่ได้ไปศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ เนื่องจากป่วยต้องผ่าตัดต้อกระจกนัยตาข้างซ้ายก็ดีย่อมเป็นการฟังได้ชัดแจ้งในตัวคำร้องเองว่า หากเป็นจริงตามคำร้องแล้วก็ยังฟังได้ว่าจำเลยทั้งเจ็ดรวมทั้งทนายจำเลยทั้งเจ็ดทราบวันนัดสืบพยานโจทก์โดยชอบแล้ว และจงใจไม่ไปศาลตามกำหนดนัดโดยมิได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลชั้นต้นทราบ ถือได้ว่าจำเลยทั้งเจ็ดจงใจขาดนัดพิจารณาอยู่นั่นเอง และกรณีเช่นนี้ศาลชั้นต้นหาจำเป็นต้องทำการไต่สวนคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลยทั้งเจ็ดก่อนมีคำสั่งไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1052/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดีและการจงใจไม่ไปศาล แม้มีทนายความแต่งตั้งแล้ว ศาลไม่จำเป็นต้องไต่สวนคำร้องขอพิจารณาใหม่
การที่ทนายจำเลยได้ลงชื่อรับทราบให้มาฟังคำสั่งศาลภายใน 7 วัน หากไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งศาลแล้ว กรณีถือได้ว่าทนายจำเลยทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องคดีนี้และทราบกำหนด วันนัดสืบพยานโจทก์แล้ว จึงต้องถือว่าจำเลยทราบนัดด้วย เพราะทนายจำเลยทำหน้าที่แทนจำเลยตามกฎหมาย จำเลยทราบวันนัดสืบพยาน โจทก์ซึ่งมีหน้าที่ นำสืบก่อนโดยชอบแล้วการที่จำเลยอ้างว่าทนายจำเลยเจ็บป่วย แพทย์ให้พักรักษาตัวนั้น หากทนายจำเลยเจ็บป่วยจริงแล้วจำเลยหรือทนายจำเลยอาจยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีหรือ แจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่อาจมาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ต่อ ศาลชั้นต้นได้ก่อนหรือในวันนัด หรือจะมอบหมายให้ผู้ใด มาทำการแทนก็ได้ แต่จำเลยหรือทนายจำเลยหาได้กระทำไม่ แสดงว่าจำเลยรวมทั้งทนายจำเลยไม่ได้เอาใจใส่ในคดี ของตนเอง ทั้งเหตุตามคำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลย ที่อ้างว่าจำเลยต้องนำสินค้าไปจำหน่ายในต่างจังหวัด จึงไม่ทราบเรื่องวันนัดสืบพยานโจทก์ก็ดี และว่าแม้จำเลยจะได้ตั้งทนายจำเลยให้แก้ต่างให้แล้ว แต่ทนายจำเลยไม่ได้ไปศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ เนื่องจากทนายจำเลยป่วยต้องผ่าตัดต้อกระจกนัยตาข้างซ้ายก็ดี ย่อมเป็นการฟังได้ชัดแจ้งในตัว คำร้องเองว่า หากเป็นจริงตามคำร้องแล้วก็ยังฟังได้ว่าจำเลย รวมทั้งทนายจำเลยทราบวันนัดสืบพยานโจทก์โดยชอบแล้วและจงใจไม่ไปศาลตามกำหนดนัดโดยมิได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลชั้นต้นทราบ ถือได้ว่าจำเลยจงใจขาดนัดพิจารณาอยู่นั่นเอง และกรณีเช่นนี้ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งยกคำร้องของจำเลยเสียได้ โดยหาจำเป็นต้องทำการไต่สวนคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลยก่อนมีคำสั่งไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1037/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ: การใช้ใบเลื่อยเป็นอาวุธทำร้ายร่างกาย แม้ถูกผลักล้ม
ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายเพียงแต่ใช้มือผลักอกจำเลยจนล้มลง โดยผู้เสียหายไม่มีอาวุธใด ๆ ส่วนจำเลยแม้จะเป็นคนพิการ แขนขาด้านซ้ายอ่อนแรง กล้ามเนื้อลีบ เดินกะเผลก แต่กลับใช้มือขวาซึ่งสมบูรณ์แข็งแรงถือใบเลื่อยที่ดัดแปลง เป็นมีดปลายแหลมยาวรวมทั้งตัวใบมีดและส่วนที่เป็นด้าม ประมาณ 6 นิ้ว เป็นอาวุธแทงทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย หลายครั้งจนได้รับอันตรายสาหัส ทั้งที่ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายจะทำร้ายจำเลยมากไปกว่าการผลักอกถือได้ว่าจำเลยกระทำไปเกินสมควรกว่าเหตุและเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้อง กระทำเพื่อป้องกัน อาวุธที่จำเลยใช้ทำร้ายผู้เสียหายเป็นใบเลื่อยที่ดัดแปลงเป็นมีดปลายแหลม ส่วนที่เป็นใบมีดยาวเกินกว่า 3 นิ้วหากแทงถูกอวัยวะส่วนสำคัญของร่างกายอาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรงไม่สมควรรอการลงโทษให้จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 906/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลื่อนคดีซ้ำๆ และการไม่นำสืบพยาน ทำให้ศาลสั่งงดสืบพยานได้ ผู้ทรงเช็คโดยสุจริตได้รับการคุ้มครอง
จำเลยตั้งทนายความไว้ 2 คน คือ ธ.และอ. การเลื่อนคดีครั้งแรก จำเลยอ้างเหตุว่า ธ. ทนายความเจ็บป่วยท้องเสียเพราะอาหารเป็นพิษโจทก์ไม่ค้าน ความจริงจำเลยอาจให้ อ. เข้าทำหน้าที่ได้เพราะไม่ปรากฏว่าในวันดังกล่าวอ. มีภาระกิจหรือความจำเป็นอื่นใด ต่อมาในการสืบพยานจำเลยครั้งที่ 2 จำเลยขอเลื่อนคดีอ้างว่าตัวจำเลยติดประชุม โดยตัวจำเลยก็ทราบวันนัดในครั้งนี้ล่วงหน้านานแล้ว ตามบัญชีระบุพยานจำเลยนอกจากจะอ้างจำเลยเป็นพยาน แล้ว ยังอ้าง ว.และสมุห์บัญชีธนาคารก.เป็นพยานอีกด้วยโดยเฉพาะว. เป็นพยานนำ แต่จำเลยก็มิได้นำพยานเหล่านี้มาสืบ แสดงให้เห็นความไม่ขวนขวายเท่าที่ควรอยู่ในตัว ในการเลื่อนครั้งที่ 2 นี้ ศาลได้กำชับว่าให้จำเลยเตรียมพยาน มาให้พร้อมมิฉะนั้นถือว่าไม่ติดใจสืบพยานเนื่องจาก จำเลยได้เลื่อนคดีติดกันเป็นครั้งที่ 2 แล้ว ต่อมา ในวันสืบพยานจำเลยครั้งที่ 3 จำเลยขอเลื่อนคดีอีกโดยอ้างว่า ธ. ทนายความป่วยกล้ามเนื้อขาอักเสบ ตามรายงานแพทย์ไม่มีรายละเอียดอื่น แสดงให้เห็นว่าจำเลยมิได้นำพา ต่อคำสั่งกำชับของศาล ทั้งจำเลยอาจให้ทนายคนอื่น ซักถามพยานแทนได้แต่ไม่ทำเช่นนั้น ประกอบกับโจทก์ คัดค้านการขอเลื่อนคดี ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลย นั้นชอบแล้ว โจทก์ได้รับแลกเช็คพิพาทซึ่งมีจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายโจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คและได้รับประโยชน์ แห่งข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่าเป็นผู้ทรงโดยสุจริต ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 ประกอบกับ มาตรา 904 จำเลยมีหน้าที่นำสืบว่าโจทก์ไม่สุจริตคบคิดกัน ฉ้อฉลกับผู้มีชื่อดังที่จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดี เมื่อจำเลย มิได้นำสืบในข้อนี้จึงต้องรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 906/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลื่อนคดีซ้ำๆ และการไม่นำสืบพยานสนับสนุนข้อต่อสู้ ทำให้จำเลยต้องรับผิดตามเช็ค
จำเลยตั้งทนายความไว้ 2 คน คือ ธ.และ อ. การเลื่อนคดีครั้งแรก จำเลยอ้างเหตุว่า ธ.ทนายความเจ็บป่วยท้องเสียเพราะอาหารเป็นพิษโจทก์ไม่ค้าน ความจริงจำเลยที่ 1 อาจให้ อ.เข้าทำหน้าที่ได้เพราะไม่ปรากฏว่าในวันดังกล่าว อ.มีภาระกิจหรือความจำเป็นอื่นใด ต่อมาในการสืบพยานจำเลยครั้งที่ 2 จำเลยขอเลื่อนคดีอ้างว่าตัวจำเลยที่ 1 ติดประชุม โดยตัวจำเลยที่ 1ก็ทราบวันนัดในครั้งนี้ล่วงหน้านานแล้ว ตามบัญชีระบุพยานจำเลยนอกจากจะอ้างจำเลยเป็นพยานแล้ว ยังอ้าง ว.และสมุห์บัญชีธนาคาร ก.เป็นพยานอีกด้วยโดยเฉพาะ ว.เป็นพยานนำ แต่จำเลยก็มิได้นำพยานเหล่านี้มาสืบแสดงให้เห็นความไม่ขวนขวายเท่าที่ควรอยู่ในตัว ในการเลื่อนครั้งที่ 2 นี้ ศาลได้กำชับว่าให้จำเลยเตรียมพยานมาให้พร้อม มิฉะนั้นถือว่าไม่ติดใจสืบพยานเนื่องจากจำเลยได้เลื่อนคดีติดกันเป็นครั้งที่ 2 แล้ว ต่อมาในวันสืบพยานจำเลยครั้งที่ 3 จำเลยขอเลื่อนคดีอีกโดยอ้างว่า ธ.ทนายความป่วยกล้ามเนื้อขาอักเสบ ตามรายงานแพทย์ไม่มีรายละเอียดอื่น แสดงให้เห็นว่าจำเลยมิได้นำพาต่อคำสั่งกำชับของศาล ทั้งจำเลยที่ 1 อาจให้ทนายคนอื่นซักถามพยานแทนได้ แต่ไม่ทำเช่นนั้น ประกอบกับโจทก์คัดค้านการขอเลื่อนคดี ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลยที่ 1 นั้นชอบแล้ว
โจทก์ได้รับแลกเช็คพิพาทซึ่งมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้อาวัล โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คและได้รับประโยชน์แห่งข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่าเป็นผู้ทรงโดยสุจริต ตาม ป.พ.พ.มาตรา 6ประกอบกับมาตรา 904 เมื่อจำเลยมีหน้าที่นำสืบว่าโจทก์ไม่สุจริตคบคิดกันฉ้อฉลกับจำเลยที่ 2 ดังที่จำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การต่อสู้คดี เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้นำสืบในข้อนี้จึงต้องรับผิด
โจทก์ได้รับแลกเช็คพิพาทซึ่งมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้อาวัล โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คและได้รับประโยชน์แห่งข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่าเป็นผู้ทรงโดยสุจริต ตาม ป.พ.พ.มาตรา 6ประกอบกับมาตรา 904 เมื่อจำเลยมีหน้าที่นำสืบว่าโจทก์ไม่สุจริตคบคิดกันฉ้อฉลกับจำเลยที่ 2 ดังที่จำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การต่อสู้คดี เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้นำสืบในข้อนี้จึงต้องรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 904/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินหลังขายฝากและการเปลี่ยนแปลงเจตนาครอบครอง จำเลยได้มาโดยสุจริตหรือไม่
ในการชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเรื่องนิติกรรมอำพรางไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท เมื่อโจทก์มิได้โต้แย้งต้องถือว่าสละประเด็นข้อนี้และโจทก์จะอุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าวนี้ไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 โจทก์ได้นำที่ดินพิพาทขายฝากให้แก่ว. มีกำหนดระยะเวลาในการไถ่ถอน 1 ปี สิทธิครอบครองจึงตกอยู่กับว. ตั้งแต่วันจดทะเบียนขายฝาก โจทก์คงมีแต่สิทธิไถ่ทรัพย์สินคืน ภายในกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 491 ครบกำหนด 1 ปีแล้ว โจทก์ไม่ไถ่ทรัพย์คืน สิทธิครอบครอง ในที่ดินพิพาทย่อมตกเป็นของว. โดยเด็ดขาด โจทก์ผู้ขายฝากเป็นเพียงผู้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนว.ผู้ซื้อฝากเท่านั้นการที่โจทก์เพียงแต่นำป้ายไปปักประกาศในที่ดินพิพาทว่า เป็นของโจทก์ และห้ามบุคคลภายนอกเกี่ยวข้อง หาเป็นการแสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือครอบครอง แทนว. ไม่ เนื่องจากไม่มีการบอกกล่าวไปยังว. ผู้มีสิทธิครอบครอง โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ขอให้ขับไล่จำเลย ดังนี้เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์มิใช่ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินที่พิพาท คดีจึงไม่จำต้อง วินิจฉัยประเด็นตามคำให้การของจำเลยที่ว่า จำเลยซื้อที่ดิน พิพาทจากผู้มีชื่อโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 หรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง