พบผลลัพธ์ทั้งหมด 538 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6651/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองกัญชาเพื่อจำหน่าย: พยานหลักฐานจากปริมาณ, การแบ่งบรรจุ, และคำรับสารภาพ
สภาพและลักษณะกัญชาของกลางมีปริมาณมากโดยมีน้ำหนัก รวมถึง 474.30 กรัม เกินกว่าวิสัยแห่งการมีไว้เพื่อเสพเอง แต่เป็นปริมาณมากพอจะนำไปจำหน่ายจ่ายแจกได้และกัญชาของกลาง ถูกจัดแบ่งบรรจุถุงเล็ก ๆ ไว้ถึง 23 ถุง ซึ่งรวมบรรจุใน ถุงหิ้วบรรจุกัญชาแห้งอีกส่วนหนึ่ง อันแสดงลักษณะว่าจำเลย ได้จัดแบ่งไว้เพื่อขายหรือจำหน่ายแก่บุคคลอื่น ประกอบกับ ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพในข้อหามี กัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และยังนำชี้ที่เกิดเหตุแสดงท่าทางประกอบคำรับสารภาพ ทั้งเจ้าพนักงานผู้จับกุมและพนักงานสอบสวนต่างก็เบิกความยืนยันว่าจำเลยให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจ จึงไม่มีเหตุสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลย ดังนั้น แม้โจทก์จะไม่มีพยานหลักฐานรู้เห็นว่าจำเลยได้จำหน่ายกัญชาก็ตาม พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาก็มีน้ำหนักมั่นคงรับฟังลงโทษจำเลยฐานมีกัญชาของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6588/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดีและการจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ไม่ชอบ
การที่ทนายโจทก์อ้างว่ามีอาการป่วยวิงเวียนศีรษะต้องจอดรถอาเจียนข้างถนนจึงทำให้มาถึงศาลช้าไปนั้นโจทก์ก็รับว่ามาศาลหลังเวลานัดสืบพยานโจทก์ประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที และภายหลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีไปแล้ว 10 นาที ถือว่าโจทก์และทนายโจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดนัด จึงเป็นกรณีโจทก์ขาดนัดพิจารณา ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201 วรรคหนึ่งบัญญัติบังคับให้ศาลสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความและเมื่อคำสั่งให้จำหน่ายคดีดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่ง ศาลชั้นต้นได้ เมื่อปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ที่คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้จำหน่ายคดีของโจทก์ โดยศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ขาดนัดพิจารณาและศาลจำหน่ายคดี จึงต้องห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์หรือมีคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201 แล้ว ดังนี้การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6588/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขาดนัดพิจารณาคดีและการจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์โดยมิชอบ
การที่ทนายโจทก์อ้างว่ามีอาการป่วยวิงเวียนศีรษะต้องจอดรถอาเจียนข้างถนนจึงทำให้มาถึงศาลช้าไปนั้น โจทก์ก็รับว่ามาศาลหลังเวลานัดสืบพยานโจทก์ประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที และภายหลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีไปแล้ว 10 นาที ถือว่าโจทก์และทนายโจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดนัดจึงเป็นกรณีโจทก์ขาดนัดพิจารณา ซึ่งตาม ป.วิ.พ.มาตรา 201 วรรคหนึ่ง บัญญัติบังคับให้ศาลสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ และเมื่อคำสั่งให้จำหน่ายคดีดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นได้
เมื่อปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ที่คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้จำหน่ายคดีของโจทก์ โดยศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและศาลจำหน่ายคดี จึงต้องห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์หรือมีคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 201 แล้ว ดังนี้การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นการไม่ชอบ
เมื่อปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ที่คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้จำหน่ายคดีของโจทก์ โดยศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและศาลจำหน่ายคดี จึงต้องห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์หรือมีคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 201 แล้ว ดังนี้การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6578/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อ: ผู้เช่าซื้อผิดสัญญาเนื่องจากไม่ชำระค่างวด แม้จะอ้างว่าผู้ขายไม่ดำเนินการจดทะเบียนรถยนต์ให้ถูกต้อง
++ เรื่อง เช่าซื้อ ค้ำประกัน ++
++ ทดสอบทำงานในระบบ CW เพื่อค้นหาข้อมูลทาง online ++
++
++
++ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2537 จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ เอส 280 ป้ายแดงไปจากโจทก์ในราคา3,855,140.40 บาท แบ่งชำระราคาเป็นงวด งวดละเดือนมีระยะเวลา 60 เดือน เดือนละ 64,252.34 บาท โดยมีจำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม แล้วจำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์เพียง 2 งวด และไม่ชำระค่าเช่าซื้อที่เหลือให้แก่โจทก์อีก
++
++ คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่
++ เห็นว่า ตามเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งเป็นหนังสือรับรองการจดทะเบียนมีข้อความระบุว่านายสมชาย วิวัฒน์วิศวกร และนางรัชดา บุญเอกอนันต์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้ดังนั้นการที่บุคคลทั้งสองมอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจได้มอบอำนาจช่วงให้ฟ้องคดีตามอำนาจที่มีอยู่ตามเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 จึงไม่เป็นโมฆะ
++ ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้ส่งต้นฉบับหนังสือรับรองการจดทะเบียนของโจทก์คงส่งแต่สำเนาจึงรับฟังไม่ได้นั้น ปรากฏตามที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ในคำให้การพยานโจทก์ฉบับลงวันที่ 8 กันยายน 2538ว่า ทนายโจทก์ขอให้ดูหนังสือรับรองดังกล่าวและขอส่งสำเนาแทนศาลหมาย จ.1 ซึ่งจำเลยทั้งสองมิได้คัดค้าน ถือได้ว่าคู่ความทุกฝ่ายตกลงกันว่าสำเนาเอกสารนั้นถูกต้องแล้ว ศาลจึงรับฟังสำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 93 (1) ++
++
++ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปมีว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา
++ เห็นว่า ตามสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวมีข้อตกลงในสัญญาข้อ 3 (ข) ว่า ผู้เช่าซื้อจะดำเนินการจดทะเบียนเพื่อเสียภาษี และเพื่อใช้รถยนต์รวมทั้งการขอและรับป้ายทะเบียนรถยนต์ ดังนั้นที่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมผ่อนชำระค่าเช่าซื้อต่อไป โดยอ้างว่าโจทก์ไม่สามารถที่จะเอาหลักฐานการจดทะเบียนเสียภาษีเพื่อใช้รถยนต์รวมทั้งการขอรับป้ายทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายได้ โดยมิได้มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนให้รับฟังได้ดังที่อ้าง จึงฟังไม่ขึ้น
++ ข้อเท็จจริงยังรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ยอมชำระค่าเช่าซื้อต่อไปจำเลยทั้งสองจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง จำเลยทั้งสองจึงต้องคืนรถยนต์คันพิพาทให้แก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ก็ต้องใช้ราคาและค่าขาดประโยชน์
++ สำหรับราคารถยนต์ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้นั้น จำเลยทั้งสองมิได้ฎีกาว่าไม่เหมาะสมประการใด ส่วนค่าขาดประโยชน์ซึ่งจำเลยทั้งสองฎีกาว่า ควรให้ได้ไม่เกินเดือนละ 8,000 บาท จำเลยทั้งสองมิได้นำพยานหลักฐานมาสืบให้รับฟังได้ดังอ้าง
++ เห็นว่า ราคารถยนต์และค่าขาดประโยชน์ซึ่งศาลอุทธรณ์กำหนดให้นั้นเหมาะสมแล้ว ++
++ ทดสอบทำงานในระบบ CW เพื่อค้นหาข้อมูลทาง online ++
++
++
++ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2537 จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ เอส 280 ป้ายแดงไปจากโจทก์ในราคา3,855,140.40 บาท แบ่งชำระราคาเป็นงวด งวดละเดือนมีระยะเวลา 60 เดือน เดือนละ 64,252.34 บาท โดยมีจำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม แล้วจำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์เพียง 2 งวด และไม่ชำระค่าเช่าซื้อที่เหลือให้แก่โจทก์อีก
++
++ คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่
++ เห็นว่า ตามเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งเป็นหนังสือรับรองการจดทะเบียนมีข้อความระบุว่านายสมชาย วิวัฒน์วิศวกร และนางรัชดา บุญเอกอนันต์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้ดังนั้นการที่บุคคลทั้งสองมอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจได้มอบอำนาจช่วงให้ฟ้องคดีตามอำนาจที่มีอยู่ตามเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 จึงไม่เป็นโมฆะ
++ ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้ส่งต้นฉบับหนังสือรับรองการจดทะเบียนของโจทก์คงส่งแต่สำเนาจึงรับฟังไม่ได้นั้น ปรากฏตามที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ในคำให้การพยานโจทก์ฉบับลงวันที่ 8 กันยายน 2538ว่า ทนายโจทก์ขอให้ดูหนังสือรับรองดังกล่าวและขอส่งสำเนาแทนศาลหมาย จ.1 ซึ่งจำเลยทั้งสองมิได้คัดค้าน ถือได้ว่าคู่ความทุกฝ่ายตกลงกันว่าสำเนาเอกสารนั้นถูกต้องแล้ว ศาลจึงรับฟังสำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 93 (1) ++
++
++ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปมีว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา
++ เห็นว่า ตามสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวมีข้อตกลงในสัญญาข้อ 3 (ข) ว่า ผู้เช่าซื้อจะดำเนินการจดทะเบียนเพื่อเสียภาษี และเพื่อใช้รถยนต์รวมทั้งการขอและรับป้ายทะเบียนรถยนต์ ดังนั้นที่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมผ่อนชำระค่าเช่าซื้อต่อไป โดยอ้างว่าโจทก์ไม่สามารถที่จะเอาหลักฐานการจดทะเบียนเสียภาษีเพื่อใช้รถยนต์รวมทั้งการขอรับป้ายทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายได้ โดยมิได้มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนให้รับฟังได้ดังที่อ้าง จึงฟังไม่ขึ้น
++ ข้อเท็จจริงยังรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ยอมชำระค่าเช่าซื้อต่อไปจำเลยทั้งสองจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง จำเลยทั้งสองจึงต้องคืนรถยนต์คันพิพาทให้แก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ก็ต้องใช้ราคาและค่าขาดประโยชน์
++ สำหรับราคารถยนต์ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้นั้น จำเลยทั้งสองมิได้ฎีกาว่าไม่เหมาะสมประการใด ส่วนค่าขาดประโยชน์ซึ่งจำเลยทั้งสองฎีกาว่า ควรให้ได้ไม่เกินเดือนละ 8,000 บาท จำเลยทั้งสองมิได้นำพยานหลักฐานมาสืบให้รับฟังได้ดังอ้าง
++ เห็นว่า ราคารถยนต์และค่าขาดประโยชน์ซึ่งศาลอุทธรณ์กำหนดให้นั้นเหมาะสมแล้ว ++
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6554/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายทอดตลาดบังคับคดี: ราคาประเมิน, การสมรู้กัน, ราคาตลาด, ความชอบด้วยกฎหมาย
แม้เจ้าพนักงานบังคับคดีจะประเมินราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทไว้ต่ำกว่าราคาประเมินของ สำนักงานวางทรัพย์กลางก็หาเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่เนื่องจากการประเมินราคาทรัพย์อาจมีความเห็นแตกต่างกันได้ทั้งไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีผู้ทำการประเมินราคามีเจตนาไม่สุจริต การเข้าสู้ราคาในการขายทอดตลาดเป็นเรื่องของบุคคลที่สนใจจะเข้าประมูลไม่เกี่ยวกับเจ้าพนักงานบังคับคดีผู้ขายทอดตลาดแต่อย่างใด เพราะเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่มีอำนาจจะบังคับหรือห้ามมิให้ผู้ใดเข้าสู้ราคา ดังนั้นการที่มีผู้เข้าสู้ราคาน้อยจึงไม่ใช่ข้อแสดงว่าการขายทอดตลาดเป็นไปโดยไม่ชอบ การที่ ว. ซึ่งเป็นผู้เข้าร่วมสู้ราคา มิได้เสนอราคาเข้าต่อสู้ มิได้หมายความว่า ว. สมรู้กับผู้เข้าสู้ราคาคนอื่นหรือบุคคลภายนอก เพราะการที่ ว. มิได้เสนอราคาดังกล่าวอาจเป็นเพราะ ว. เห็นว่าราคาในการประมูลสูงเกินไปก็ได้ เมื่อพยานหลักฐานรับฟังไม่ได้ว่าฝ่ายผู้ซื้อทรัพย์สมรู้กับผู้เข้าสู้ราคาคนอื่นและบุคคลภายนอกในการประมูลที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาท ทั้งราคาที่ผู้ซื้อทรัพย์ ประมูลได้ก็สูงกว่าราคาประเมินของสำนักงานวางทรัพย์กลางดังนั้นการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีตกลงขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้ซื้อตามราคาที่ผู้ซื้อเสนอมาจึงเป็นการขายทรัพย์ในราคาที่พอสมควรแล้ว ไม่ต่ำเกินไปกรณีจึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนการขายทอดตลาดรายนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6525/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกค่าทดรองการใช้บัตรเครดิต: สิทธิเรียกร้องมีอายุความ 2 ปีนับจากวันบอกกล่าวหนี้
โจทก์ประกอบธุรกิจมีวัตถุประสงค์ให้บริการแก่ลูกค้าซึ่งเป็นสมาชิกของโจทก์ในรูปของบัตรเครดิต โดยลูกค้าซึ่งเป็นสมาชิกสามารถนำบัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้ไปใช้บริการเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าจากธนาคารโจทก์ได้ ซึ่งการให้บริการดังกล่าวโจทก์ได้เรียกเก็บเงินค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมรายปีด้วย โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบธุรกิจรับทำการงานต่าง ๆ ให้แก่สมาชิก และการที่โจทก์ได้ชำระเงินแก่เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนแล้วเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลังเป็นการเรียกเอาค่าที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไป แม้จำเลยจะมีข้อตกลงให้โจทก์หักเงินที่โจทก์ได้จ่ายแทนจำเลยจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน โดยให้ถือว่ายอดหนี้ตามบัญชีเป็นการเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์ด้วย ก็เป็นเพียงข้อตกลงในการชำระหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตดังกล่าว เมื่อหนี้ตามฟ้องเป็นหนี้ตามสัญญาที่เกิดจากบัตรเครดิตมิใช่หนี้เบิกเงินเกินบัญชีตามบัญชีเงินฝากกระแสรายวันหรือบัญชีเดินสะพัด การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่าง ๆเรียกเอาค่าที่ได้ออกเงินทดรองไป สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงมีอายุความ 2 ปี ตามป.พ.พ.มาตรา 193/34 (7)
จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวให้ชำระหนี้แก่โจทก์และบอกเลิกสัญญาการใช้บัตรเครดิตเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2536 และพ้นกำหนดเวลาชำระหนี้ตามหนังสือบอกกล่าวเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2536 สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงเริ่มนับตั้งแต่วันดังกล่าว แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2539 พ้นกำหนด2 ปีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ
จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวให้ชำระหนี้แก่โจทก์และบอกเลิกสัญญาการใช้บัตรเครดิตเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2536 และพ้นกำหนดเวลาชำระหนี้ตามหนังสือบอกกล่าวเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2536 สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงเริ่มนับตั้งแต่วันดังกล่าว แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2539 พ้นกำหนด2 ปีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6525/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องหนี้บัตรเครดิต: สิทธิเรียกร้องเกิดจากการรับทำการงานต่าง ๆ มีอายุความ 2 ปี นับแต่วันบอกกล่าวทวงถาม
โจทก์ประกอบธุรกิจมีวัตถุประสงค์ให้บริการแก่ลูกค้าซึ่งเป็นสมาชิกของโจทก์ในรูปของบัตรเครดิต โดยลูกค้าซึ่งเป็นสมาชิกสามารถนำบัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้ไปใช้บริการ เบิกถอนเงินสดล่วงหน้าจากธนาคารโจทก์ได้ ซึ่งการให้บริการ ดังกล่าวโจทก์ได้เรียกเก็บเงินค่าบริการหรือค่าธรรมเนียม รายปีด้วย โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบธุรกิจรับทำการงานต่าง ๆ ให้แก่สมาชิก และการที่โจทก์ได้ชำระเงินแก่เจ้าหนี้ของ สมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนแล้วเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลัง เป็นการเรียกเอาค่าที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไป แม้จำเลย จะมีข้อตกลงให้โจทก์หักเงินที่โจทก์ได้จ่ายแทนจำเลยจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน โดยให้ถือว่ายอดหนี้ตามบัญชีเป็นการเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์ด้วย ก็เป็นเพียงข้อตกลงในการชำระหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตดังกล่าวเมื่อหนี้ตามฟ้องเป็นหนี้ตามสัญญาที่เกิดจากบัตรเครดิตมิใช่หนี้เบิกเงินเกินบัญชีตามบัญชีเงินฝากกระแสรายวันหรือบัญชีเดินสะพัด การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ถือได้ว่าโจทก์ เป็นผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่าง ๆ เรียกเอาค่าที่ได้ ออกเงินทดรองไป สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(7) จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวให้ชำระหนี้แก่โจทก์และบอกเลิกสัญญาการใช้บัตรเครดิตเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม2536 และพ้นกำหนดเวลาชำระหนี้ตามหนังสือบอกกล่าวเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2536 สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงเริ่มนับตั้งแต่วันดังกล่าว แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2539 พ้นกำหนด 2 ปีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6472/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้ทนายจำเลยหลังจำเลยแต่งตั้งทนาย และผลของการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยได้แต่งทนายความต่อสู้คดีและให้ว่าความในชั้นขอให้ใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาแล้วจึงเห็นสมควรให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่ทนายจำเลยแทน ให้โจทก์นำส่งใน 7 วัน โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้น การที่โจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้นแต่กลับยื่นคำร้องลงวันที่ 25 มิถุนายน 2540 ว่า เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2540โจทก์ได้วางหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยในศาลชั้นต้นโดยศูนย์หน้าบัลลังก์แล้ว ทั้ง ๆ ที่ในวันที่16 พฤษภาคม 2540 โจทก์ยังยืนยันว่าส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยไม่ได้ เนื่องจากจำเลยได้รื้อถอนบ้าน อันเป็นภูมิลำเนาของจำเลยออกไป และในวันนัดไต่สวนคำร้อง ขออายัดทรัพย์ก่อนมีคำพิพากษา จำเลยมาศาลแต่ไม่ยอมรับ หมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง โจทก์จึงขอให้ศาลสั่งประกาศ โฆษณาแจ้งให้จำเลยทราบทางหนังสือพิมพ์ ดังนี้ ถือได้ว่า โจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควร กำหนดไว้เพื่อการนั้นโดยส่งคำสั่งให้แก่โจทก์โดยชอบแล้วจึงเป็นการทิ้งฟ้องตาม มาตรา 174(2) กรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2)ประกอบมาตรา 132 ไม่ได้บังคับเด็ดขาดว่าศาลต้องจำหน่ายคดี เป็นแต่ให้ศาลใช้ดุลพินิจ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าตามพฤติการณ์แห่งคดีแม้โจทก์จะทิ้งฟ้อง แต่ยัง ไม่สมควรจำหน่ายคดีเพื่อให้คู่ความได้ว่ากล่าวกันในเนื้อหา แห่งคดีไปเสียทีเดียว ศาลฎีกาย่อมพิพากษากลับให้โจทก์จัดการนำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยใหม่ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด แล้วดำเนินการต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6472/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล และการใช้ดุลพินิจของศาลฎีกาในการไม่จำหน่ายคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยได้แต่งทนายความต่อสู้คดีและให้ว่าความในชั้นขอให้ใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาแล้ว จึงเห็นสมควรให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่ทนายจำเลยแทน ให้โจทก์นำส่งใน 7 วัน โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้น การที่โจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้นแต่กลับยื่นคำร้องลงวันที่ 25 มิถุนายน 2540 ว่า เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2540โจทก์ได้วางหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยในศาลชั้นต้นโดยศูนย์หน้าบัลลังก์แล้ว ทั้ง ๆ ที่ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2540 โจทก์ยังยืนยันว่าส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยไม่ได้ เนื่องจากจำเลยได้รื้อถอนบ้านอันเป็นภูมิลำเนาของจำเลยออกไป และในวันนัดไต่สวนคำร้องขออายัดทรัพย์ก่อนมีคำพิพากษา จำเลยมาศาลแต่ไม่ยอมรับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง โจทก์จึงขอให้ศาลสั่งประกาศโฆษณาแจ้งให้จำเลยทราบทางหนังสือพิมพ์ ดังนี้ ถือได้ว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้เพื่อการนั้นโดยส่งคำสั่งให้แก่โจทก์โดยชอบแล้ว จึงเป็นการทิ้งฟ้องตาม มาตรา 174 (2)
กรณีตาม ป.วิ.พ.มาตรา 174(2) ประกอบมาตรา 132 ไม่ได้บังคับเด็ดขาดว่าศาลต้องจำหน่ายคดี เป็นแต่ให้ศาลใช้ดุลพินิจ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าตามพฤติการณ์แห่งคดีแม้โจทก์จะทิ้งฟ้อง แต่ยังไม่สมควรจำหน่ายคดีเพื่อให้คู่ความได้ว่ากล่าวกันในเนื้อหาแห่งคดีไปเสียทีเดียว ศาลฎีกาย่อมพิพากษากลับ ให้โจทก์จัดการนำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยใหม่ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดแล้วดำเนินการต่อไป
กรณีตาม ป.วิ.พ.มาตรา 174(2) ประกอบมาตรา 132 ไม่ได้บังคับเด็ดขาดว่าศาลต้องจำหน่ายคดี เป็นแต่ให้ศาลใช้ดุลพินิจ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าตามพฤติการณ์แห่งคดีแม้โจทก์จะทิ้งฟ้อง แต่ยังไม่สมควรจำหน่ายคดีเพื่อให้คู่ความได้ว่ากล่าวกันในเนื้อหาแห่งคดีไปเสียทีเดียว ศาลฎีกาย่อมพิพากษากลับ ให้โจทก์จัดการนำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยใหม่ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดแล้วดำเนินการต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6293/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบเงินจากความผิดยาเสพติด: ศาลมีอำนาจริบทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำผิด แม้ไม่ได้ระบุในคำฟ้อง
เงินสดของกลางจำนวน 2,860 บาท เป็นเงินที่จำเลย ได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แก่บุคคลอื่นก่อนกระทำความผิดคดีนี้ เงินสดของกลางจำนวน 2,860 บาทจึงเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้มาโดยได้กระทำความผิดเพราะการขายเมทแอมเฟตามีนเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายทั้งคดีนี้โจทก์ได้ฟ้องจำเลยในข้อหาจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนแม้ศาลจะไม่มีอำนาจสั่งริบเงินสดของกลางจำนวน2,860 บาท ตามบทบัญญัติแห่ง พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 102 ซึ่งเป็นบทเฉพาะเนื่องจากเงินสดดังกล่าวมิใช่เครื่องมือเครื่องใช้ยานพาหนะหรือวัตถุอื่นที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษก็ตาม แต่เงินสดของกลางดังกล่าวจำเลยได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แม้จะไม่ได้มาโดยการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนในคดีนี้โดยตรงก็ตามศาลก็มีอำนาจริบเงินสด ของกลางจำนวน 2,860 บาท ได้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(2) แม้โจทก์จะมิได้ระบุมาตราดังกล่าวมาในคำขอท้ายฟ้อง แต่เมื่อเป็นอำนาจของศาลการสั่งริบของกลางดังกล่าวจึงหาเป็นการสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องอันเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 192 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ไม่