พบผลลัพธ์ทั้งหมด 538 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3185/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาอนุญาโตตุลาการ-เงื่อนไขบังคับก่อน-การจำหน่ายคดี-ไม่มีอำนาจฟ้อง
สัญญาการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการซึ่งโจทก์และจำเลยได้ร่วมลงนาม เมื่อมิได้กำหนดเวลาการเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการไว้ จึงนำบทบัญญัติมาตรา 9 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2530 มาปรับแก่คดีนี้ไม่ได้ คู่สัญญาจึงต้องเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการภายในกำหนดอายุความตามกฎหมาย
ขณะโจทก์ยื่นฟ้องคดีเกี่ยวกับข้อพิพาทตามสัญญาอนุญาโตตุลาการยังอยู่ในกำหนดเวลาที่โจทก์จะเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการได้ แต่โจทก์มิได้เสนอข้อพิพาทนั้นต่ออนุญาโตตุลาการตามสัญญาก่อน จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาฝ่ายที่ถูกฟ้องจึงชอบที่จะขอให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเพื่อให้คู่สัญญาไปดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการก่อนได้ตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2530 มาตรา 10 เนื่องจากตามสัญญาการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ ได้ระบุไว้แล้วว่า ให้คู่สัญญาตกลงเสนอข้อพิพาททางแพ่งที่เกิดขึ้นแล้ว หรือที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้อนุญาโตตุลาการเป็นผู้ชี้ขาด การดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการจึงเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนในการใช้สิทธิฟ้องร้อง เมื่อโจทก์ฟ้องคดีโดยมิได้เสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการก่อน เป็นการมิได้ปฏิบัติตามสัญญาการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยนำเอกสารที่เกี่ยวกับสัญญาอนุญาโต-ตุลาการหรือระเบียบข้อบังคับของสมาคมประกันวินาศภัยมาให้ตรวจสอบ ซึ่งจำเลยก็ได้ส่งเอกสารดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นแล้ว จึงถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้มีการไต่สวนก่อนจำหน่ายคดีของโจทก์ ตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2530 มาตรา 10 แล้ว
ขณะโจทก์ยื่นฟ้องคดีเกี่ยวกับข้อพิพาทตามสัญญาอนุญาโตตุลาการยังอยู่ในกำหนดเวลาที่โจทก์จะเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการได้ แต่โจทก์มิได้เสนอข้อพิพาทนั้นต่ออนุญาโตตุลาการตามสัญญาก่อน จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาฝ่ายที่ถูกฟ้องจึงชอบที่จะขอให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเพื่อให้คู่สัญญาไปดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการก่อนได้ตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2530 มาตรา 10 เนื่องจากตามสัญญาการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ ได้ระบุไว้แล้วว่า ให้คู่สัญญาตกลงเสนอข้อพิพาททางแพ่งที่เกิดขึ้นแล้ว หรือที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้อนุญาโตตุลาการเป็นผู้ชี้ขาด การดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการจึงเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนในการใช้สิทธิฟ้องร้อง เมื่อโจทก์ฟ้องคดีโดยมิได้เสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการก่อน เป็นการมิได้ปฏิบัติตามสัญญาการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยนำเอกสารที่เกี่ยวกับสัญญาอนุญาโต-ตุลาการหรือระเบียบข้อบังคับของสมาคมประกันวินาศภัยมาให้ตรวจสอบ ซึ่งจำเลยก็ได้ส่งเอกสารดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นแล้ว จึงถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้มีการไต่สวนก่อนจำหน่ายคดีของโจทก์ ตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2530 มาตรา 10 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3185/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาอนุญาโตตุลาการเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนฟ้องคดี หากไม่ได้เสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการก่อน ศาลมีอำนาจจำหน่ายคดี
สัญญาการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการซึ่งโจทก์และจำเลยได้ร่วมลงนามด้วยนั้น มิได้กำหนดเวลาการเสนอ ข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการไว้ จึงนำบทบัญญัติตาม มาตรา 9 วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการพ.ศ. 2530 มาปรับแก่คดีนี้ไม่ได้ คู่สัญญาจึงต้องเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการภายในกำหนดอายุความตามกฎหมายเมื่อปรากฏว่าขณะโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ซึ่งเป็นคดีเกี่ยวกับข้อพิพาทตามสัญญาอนุญาโตตุลาการยังอยู่ในกำหนดเวลาที่โจทก์จะเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการได้ แต่โจทก์มิได้เสนอข้อพิพาทนั้นต่ออนุญาโตตุลาการตามสัญญาก่อนจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาฝ่ายที่ถูกฟ้องจึงชอบที่จะขอให้ศาล มีคำสั่งจำหน่ายคดีเพื่อให้คู่สัญญาไปดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการก่อนได้ ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการฯมาตรา 10 เมื่อสัญญาการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการข้อ 10 ระบุว่า "คู่สัญญาตกลงเสนอข้อพิพาททางแพ่งที่เกิดขึ้นแล้วหรือที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้อนุญาโตตุลาการเป็นผู้ชี้ขาด" การดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการจึงเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนในการใช้สิทธิฟ้องร้อง เมื่อโจทก์ฟ้องคดีโดยมิได้เสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการ จึงเป็นการมิได้ปฏิบัติตามสัญญาการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยนำเอกสารที่เกี่ยวกับสัญญาอนุญาโตตุลาการหรือระเบียบข้อบังคับของสมาคมประกันวินาศภัยมาให้ตรวจสอบซึ่งจำเลยก็ได้ส่งเอกสารดังกล่าวต่อศาลแล้ว ทั้งตามฎีกาโจทก์ก็มีได้อ้างว่ามีเหตุอะไรที่ทำให้สัญญาอนุญาโตตุลาการนั้นเป็นโมฆะ หรือใช้บังคับไม่ได้ หรือมีเหตุอื่นที่ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญานั้นได้แต่อย่างใด จึงถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้มีการไต่สวนแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3015/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ครบถ้วนและสละสิทธิบังคับคดี ทำให้ศาลฎีกาไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยข้อพิพาท
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์และจำเลยแถลงร่วมกันต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยชำระหนี้ตามฟ้องให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว โจทก์ไม่ติดใจและขอสละสิทธิในการบังคับคดีแก่จำเลย ดังนั้น ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ว่า ศาลอุทธรณ์มีอำนาจสั่งงดการบังคับคดีไว้ชั่วคราวหรือไม่ และจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ เพราะไม่เป็นประโยชน์แก่คดีต่อไปให้จำหน่ายคดีจากสารบบความศาลฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3015/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ครบถ้วนและการสละสิทธิบังคับคดี ทำให้ศาลไม่ต้องวินิจฉัยประเด็นอื่น
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์และจำเลยแถลงร่วมกันต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยชำระหนี้ตามฟ้องให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว โจทก์ไม่ติดใจและขอสละสิทธิในการบังคับคดีแก่จำเลย ดังนั้น ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ว่า ศาลอุทธรณ์มีอำนาจสั่งงดการบังคับคดีไว้ ชั่วคราวหรือไม่ และจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ เพราะไม่เป็นประโยชน์แก่คดีต่อไปให้จำหน่ายคดีจากสารบบความศาลฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2867/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงยกเว้นความรับผิดในสัญญาจำนำไม่ขัดกฎหมาย หากไม่ได้ระบุถึงกลฉ้อฉลหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
ความตกลงที่ทำไว้ล่วงหน้าจะเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 373 ต้องเป็นข้อยกเว้นมิให้ลูกหนี้ต้องรับผิดเพื่อกลฉ้อฉล หรือเพื่อความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของตน แต่ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่ว่า หากสินค้าที่ธนาคารโจทก์ รับจำนำเกิดความชำรุด บุบสลาย เสียหาย สูญหายหรือเสื่อมโทรมไม่ว่าจะโดยเหตุใด ๆ โจทก์ย่อมไม่ต้องรับผิดไม่มีข้อตกลงชัดเจนยกเว้นมิให้โจทก์รับผิดเพื่อกลฉ้อฉลหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือขัดต่อกฎหมายสามารถใช้บังคับได้ จำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าโกดังเก็บน้ำตาล ไม่ปรากฏว่าน้ำตาลที่จำนำไว้สูญหายไปเพราะโจทก์เป็นผู้เอาไป หรือโจทก์เป็นผู้กระทำ หรือมีส่วนกระทำ หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้น้ำตาลสูญหายไป ทั้งตามข้อตกลงในการจำนำ โจทก์ไม่ต้องรับผิดในความชำรุดบุบสลายเสียหาย สูญหายหรือเสื่อมโทรมของน้ำตาล ที่จำนำ โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดในความเสียหาย สูญหาย หรือเสื่อมโทรมของน้ำตาลที่จำนำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2700/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาที่ชอบด้วยกฎหมาย: การปิดหมายทดแทนเมื่อส่งไม่ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 78
ถ้าการส่งคำคู่ความหรือเอกสารหากไม่สามารถจะทำได้ดั่งที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ.มาตรา 78 ศาลอาจสั่งให้ส่งโดยวิธีอื่นแทนได้ กล่าวคือปิดคำคู่ความหรือเอกสารไว้ในที่แลเห็นได้ง่าย ณ ภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานของคู่ความตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 79 วรรคหนึ่ง ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าการส่งคำคู่ความหรือเอกสารไม่สามารถจะทำได้ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 78 ศาลจะต้องสั่งให้เป็นกิจจะลักษณะเสียก่อนว่าให้ส่งโดยวิธีปิดคำคู่ความหรือเอกสารได้ เมื่อไม่ปรากฏว่า การส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่สามารถจะทำได้ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 78 และไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ปิดหมายนัดเป็นกิจจะลักษณะ เพราะในหมายนัดก็มีข้อความที่พิมพ์แต่เพียงว่า "หมายศาล - ปิดหมาย"เท่านั้น ทั้งเจ้าหน้าที่ส่งหมายก็รายงานว่า บริษัทจำเลยย้ายกิจการออกไปนานแล้ว แม้การปิดหมาย ณ สถานที่ดังกล่าวในชั้นส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง จำเลยสามารถยื่นคำให้การได้ก็ตามแต่เวลาก็ล่วงเลยมานานถึงสามปีเศษแล้ว และเมื่อปรากฏว่าขณะปิดหมายนัดสถานที่ที่ปิดหมายดังกล่าวไม่ใช่ภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานของจำเลย การปิดหมายจึงไม่ชอบตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวข้างต้น การที่จำเลยไม่มาศาลย่อมไม่อาจถือได้ว่าจำเลยได้ทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันดังกล่าว และถือไม่ได้ว่าศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังโดยชอบแล้ว ศาลฎีกาชอบที่จะเพิกถอนการอ่านคำพิากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะในส่วนที่อ่านให้จำเลยฟัง และให้ศาลชั้นต้นนัดจำเลยมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ใหม่ได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 27 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2700/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาที่ไม่ชอบตามกฎหมาย ทำให้จำเลยไม่ทราบคำพิพากษา ศาลฎีกามีอำนาจเพิกถอนการอ่านคำพิพากษาได้
ถ้าการส่งคำคู่ความหรือเอกสารหากไม่สามารถจะทำได้ดั่งที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 78 ศาลอาจสั่งให้ส่งโดยวิธีอื่นแทนได้ กล่าวคือปิดคำคู่ความหรือเอกสารไว้ในที่แลเห็นได้ง่าย ณ ภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานของคู่ความตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 79 วรรคหนึ่ง ดังนั้นเมื่อปรากฏว่าการส่งคำคู่ความหรือเอกสารไม่สามารถจะทำได้ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 78 ศาลจะต้องสั่งให้เป็นกิจจะลักษณะเสียก่อนว่าให้ส่งโดยวิธีปิดคำคู่ความหรือเอกสารได้ เมื่อไม่ปรากฏว่า การส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่สามารถจะทำได้ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 78 และไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ปิดหมายนัดเป็นกิจจะลักษณะ เพราะในหมายนัดก็มีข้อความที่พิมพ์แต่เพียงว่า"หมายศาล - ปิดหมาย" เท่านั้น ทั้งเจ้าหน้าที่ส่งหมายก็รายงานว่า บริษัทจำเลยย้ายกิจการออกไปนานแล้ว แม้การปิดหมาย ณ สถานที่ดังกล่าวในชั้นส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง จำเลยสามารถยื่นคำให้การได้ก็ตามแต่เวลาก็ล่วงเลยมานานถึงสามปีเศษแล้ว และเมื่อปรากฏว่าขณะปิดหมายนัดสถานที่ที่ปิดหมายดังกล่าวไม่ใช่ภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานของจำเลย การปิดหมายจึงไม่ชอบตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวข้างต้น การที่จำเลยไม่มาศาลย่อมไม่อาจถือได้ว่าจำเลยได้ทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันดังกล่าว และถือไม่ได้ว่าศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังโดยชอบแล้ว ศาลฎีกาชอบที่จะเพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะในส่วนที่อ่านให้จำเลยฟัง และให้ศาลชั้นต้นนัดจำเลยมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2648/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งขัดแย้งกับคำให้การ: สิทธิเรียกร้องบังคับตามสัญญาไม่สมบูรณ์
จำเลยให้การว่าสัญญาซื้อขายที่โจทก์นำมาฟ้องตกเป็นโมฆะโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาได้ ฉะนั้นที่จำเลยฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ชำระเงินให้จำเลยตามสัญญาดังกล่าวจึงขัดกับคำให้การของจำเลย และหากจำเลยชนะคดีก็ไม่อาจบังคับตามคำขอได้ ถือได้ว่าฟ้องแย้งดังกล่าวไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมตาม ป.วิ.พ.มาตรา 177 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2648/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งขัดแย้งกับคำให้การ: สัญญาโมฆะไม่อาจบังคับได้
จำเลยให้การว่าสัญญาซื้อขายที่โจทก์นำมาฟ้องตกเป็นโมฆะโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาได้ ฉะนั้นที่จำเลยฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ชำระเงินให้จำเลยตามสัญญาดังกล่าวจึงขัดกับคำให้การของจำเลย และหากจำเลยชนะคดีก็ไม่อาจบังคับตามคำขอได้ ถือได้ว่าฟ้องแย้งดังกล่าวไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2551/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์รวม, การครอบครองปรปักษ์, มรดก: สิทธิในการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในที่ดิน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์และ ต. มีกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยในที่ดิน 4 แปลง โดยมีกรรมสิทธิ์รวมอยู่กึ่งหนึ่งในที่ดินทั้ง 4 แปลง จึงขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมจากจำเลยกึ่งหนึ่ง เป็นฟ้องที่ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาชัดเจนพอที่จะให้จำเลยเข้าใจและสามารถให้การต่อสู้คดีได้ ไม่จำต้องบรรยายว่าในระหว่างโจทก์ด้วยกันแต่ละคนมีส่วนเป็นเจ้าของในที่ดินพิพาทคนละเท่าใด ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
พ. เป็นเจ้าของรวมในโฉนดที่ดินพิพาทโดยชอบและจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าที่ดินในส่วนที่เป็นของ พ. การครอบครองที่ดินของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการครอบครองแทน พ. หรือทายาท เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381 จำเลยที่ 1 จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวโดยการครอบครองตามมาตรา 1382
จำเลยที่ 5 เข้าครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 3374 โดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 ถือว่าเป็นการครอบครองแทนจำเลยที่ 1 ไม่ได้เข้าครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 และเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า พ. เป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาททั้ง 5 แปลง และที่ดินส่วนของ พ. ตกเป็นมรดกตกทอดได้แก่บุตร คือโจทก์ที่ 1 และ ต. โจทก์ที่ 1 และ ต. จึงเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทด้วย โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ พ. ย่อมมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 แบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินดังกล่าวได้
พ. เป็นเจ้าของรวมในโฉนดที่ดินพิพาทโดยชอบและจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าที่ดินในส่วนที่เป็นของ พ. การครอบครองที่ดินของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการครอบครองแทน พ. หรือทายาท เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381 จำเลยที่ 1 จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวโดยการครอบครองตามมาตรา 1382
จำเลยที่ 5 เข้าครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 3374 โดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 ถือว่าเป็นการครอบครองแทนจำเลยที่ 1 ไม่ได้เข้าครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 และเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า พ. เป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาททั้ง 5 แปลง และที่ดินส่วนของ พ. ตกเป็นมรดกตกทอดได้แก่บุตร คือโจทก์ที่ 1 และ ต. โจทก์ที่ 1 และ ต. จึงเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทด้วย โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ พ. ย่อมมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 แบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินดังกล่าวได้