พบผลลัพธ์ทั้งหมด 538 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1104/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
องค์ประชุมกรรมการบริษัท: การตีความข้อบังคับบริษัทและการประชุมที่ไม่ชอบ
โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้ถือหุ้นและเป็นกรรรมการของบริษัท ร. ข้อบังคับของบริษัท ร.ระบุว่า การประชุมกรรมการต้องมีคณะกรรมการเข้าประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งจึงจะเป็นองค์ประชุมปรึกษากิจการได้ แต่จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า บริษัท ร.มีกรรมการรวม 4 คน การปรึกษากิจการระหว่างจำเลยที่ 1กับจำเลยที่ 2 จึงครบเป็นองค์ประชุมตามข้อบังคับของบริษัทแล้ว จำเลยหาได้ให้การต่อสู้คดีว่ามีการเรียกประชุมไม่ การที่จำเลยนำสืบว่า มีการนัดเรียกหรือประชุมกรรมการก่อนจึงรับฟังไม่ได้ ดังนั้น เมื่อการนัดเรียกในการประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้นฝ่าฝืนต่อข้อบังคับของบริษัทและฝ่าฝืนต่อกฎหมายแล้ว การประชุมดังกล่าวจึงเป็นการประชุมไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 923/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินราคาทรัพย์บังคับคดี: ยังไม่มีสิทธิโต้แย้งจนกว่าจะเกิดข้อผูกมัดต่อผู้มีส่วนได้เสีย
การประเมินราคาทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดเพื่อดำเนินการบังคับคดีต่อไปนั้น การที่จะประเมินราคาเท่าใดยังไม่มีข้อผูกมัดผู้ที่มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี จึงยังไม่มีกรณีที่เป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีที่จะร้องขอต่อศาลได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 296 วรรคสอง จำเลยจึงไม่อาจจะยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อคัดค้านการประเมินราคาของเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ตามบทกฎหมายข้างต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 923/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินราคาทรัพย์บังคับคดี: ผู้มีส่วนได้เสียยังไม่มีสิทธิโต้แย้งก่อนการบังคับคดี
การประเมินราคาทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดเพื่อดำเนินการบังคับคดีต่อไปนั้น การที่จะประเมินราคาเท่าใดยังไม่มีข้อผูกมัดผู้ที่มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีจึงยังไม่มีกรณีที่เป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีที่จะร้องขอต่อศาลได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสองจำเลยจึงไม่อาจจะยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อคัดค้านการประเมินราคา ของเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ตามบทกฎหมายข้างต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 568/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อไม่ตกเป็นโมฆะจากหมายเลขตัวถัง/เครื่องยนต์ปลอมแปลง แต่เป็นโมฆียะ หากไม่ได้บอกล้าง
รถยนต์ที่จำเลยเช่าซื้อจากโจทก์เป็นรถยนต์เก่าแต่มีสภาพพอใช้ได้ และจำเลยได้ตรวจดูสภาพรถยนต์ที่เช่าซื้อแล้วและจำเลยได้รับมอบรถยนต์คันดังกล่าวซึ่งเป็นคันเดียวกันกับที่ได้ตกลงทำสัญญาเช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อเช่นนี้ กรณีจึงมิใช่เป็นการสำคัญผิดในตัวทรัพย์สินที่ซื้อขายกัน ไม่ทำให้สัญญาเช่าซื้อตกเป็นโมฆะส่วนการที่จำเลยมาตรวจสอบภายหลังพบว่า หมายเลขตัวถังและหมายเลขเครื่องยนต์มีการปลอมแปลง ไม่ตรงกับหมายเลขทะเบียนตามใบอนุญาตทะเบียนรถยนต์คันที่เช่าซื้อเป็นเพียงความสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์สิน ซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญอันทำให้นิติกรรมการเช่าซื้อรถยนต์ดังกล่าวเป็นโมฆียะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 157เมื่อจำเลยไม่ได้แสดงเจตนาบอกล้างโมฆียะกรรมดังกล่าวแก่โจทก์ สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงยังคงใช้บังคับได้ หาตกเป็นโมฆะไม่ ดังนั้นเมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้ว จำเลยผู้เช่าซื้อจึงมีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้โจทก์ในสภาพใช้การได้ดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 568/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สำคัญผิดในตัวทรัพย์สิน vs. คุณสมบัติทรัพย์สิน และผลต่อโมฆียะของสัญญาเช่าซื้อ
รถยนต์ที่จำเลยเช่าซื้อจากโจทก์เป็นรถยนต์เก่า แต่มีสภาพพอใช้ได้ และจำเลยได้ตรวจดูสภาพรถยนต์ที่เช่าซื้อแล้วและจำเลยได้รับมอบรถยนต์คันดังกล่าวซึ่งเป็นคันเดียวกันกับที่ได้ตกลงทำสัญญาเช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อเช่นนี้ กรณีจึงมิใช่เป็นการสำคัญผิดในตัวทรัพย์สินที่ซื้อขายกัน ไม่ทำให้สัญญาเช่าซื้อตกเป็นโมฆะส่วนการที่จำเลยมาตรวจสอบภายหลังพบว่า หมายเลขตัวถังและหมายเลขเครื่องยนต์มีการปลอมแปลง ไม่ตรงกับหมายเลขทะเบียนตามใบอนุญาตทะเบียนรถยนต์คันที่เช่าซื้อเป็นเพียงความสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์สิน ซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญอันทำให้นิติกรรมการเช่าซื้อรถยนต์ดังกล่าวเป็นโมฆียะ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 157เมื่อจำเลยไม่ได้แสดงเจตนาบอกล้างโมฆียะกรรมดังกล่าวแก่โจทก์ สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงยังคงใช้บังคับได้ หาตกเป็นโมฆะไม่ ดังนั้นเมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้ว จำเลยผู้เช่าซื้อจึงมีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้โจทก์ในสภาพใช้การได้ดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 468-469/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดินปฏิรูปที่ดิน: โมฆะหากทำภายใน 3 ปีโดยไม่ได้รับอนุญาต
พ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา28 ที่บัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดจำหน่ายด้วยประการใด ๆ หรือก่อให้เกิดภาระติดพันใด ๆซึ่งที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินภายในระยะเวลา 3 ปี เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากคณะกรรมการหรือผู้ซึ่งคณะกรรมการมอบหมาย" บทบัญญัติดังกล่าวมิได้ห้ามจำหน่ายโดยเด็ดขาด เป็นเพียงแต่มีเงื่อนไขว่าต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการก่อนเท่านั้น
คู่กรณีได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินโดยกำหนดโอนกันครั้งแรกภายในระยะเวลา 3 ปี จึงเป็นการทำสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย สัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวจึงเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ.มาตรา 113 เดิม (มาตรา 150 ที่แก้ไขใหม่) และตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาท ซึ่งกำหนดโอนที่ดินพิพาทกัน และโจทก์ผู้จะซื้อมีหนังสือแจ้งให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้ภายในระยะเวลา 3 ปี เช่นเดียวกัน จึงเป็นการต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว จึงไม่อาจทำได้เช่นเดียวกัน
คู่กรณีได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินโดยกำหนดโอนกันครั้งแรกภายในระยะเวลา 3 ปี จึงเป็นการทำสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย สัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวจึงเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ.มาตรา 113 เดิม (มาตรา 150 ที่แก้ไขใหม่) และตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาท ซึ่งกำหนดโอนที่ดินพิพาทกัน และโจทก์ผู้จะซื้อมีหนังสือแจ้งให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้ภายในระยะเวลา 3 ปี เช่นเดียวกัน จึงเป็นการต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว จึงไม่อาจทำได้เช่นเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 449/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาในคดีจำหน่ายยาเสพติดที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ทำให้จำเลยต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง66 วรรคหนึ่งและประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เรียงกระทงลงโทษฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกคนละ 5 ปีฐานจำหน่ายเฮโรอีน จำคุกคนละ 5 ปี รวมจำคุกคนละ 10 ปีลดโทษให้จำเลยคนละหนึ่งในสามคงจำคุกคนละ 6 ปี 8 เดือนศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนโทษจำคุกแต่ละกระทงจึงไม่เกิน5 ปี คู่ความจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งจำเลยทั้งสองฎีกาว่า พยานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิด เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 439/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องเคลือบคลุมในคดีประกันภัยค้ำจุน: จำเป็นต้องระบุความสัมพันธ์ระหว่างผู้เอาประกันภัย ผู้ทำละเมิด และผู้รับประกันภัย
ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 ดังนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ใดเป็นผู้เอาประกันภัยไว้และผู้ทำละเมิดเกี่ยวข้องกับผู้เอาประกันภัยอย่างไร อันจะทำให้ผู้รับประกันภัยค้ำจุนต้องร่วมรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน จึงเป็นหลักเกณฑ์ที่สำคัญในเรื่องการบรรยายฟ้อง มิใช่เป็นเพียงรายละเอียดที่สามารถ นำสืบในชั้นพิจารณาได้ เมื่อโจทก์มิได้บรรยายให้เห็นว่าผู้ใดเป็นผู้เอาประกันภัย และ ฉ. มีความสัมพันธ์กับผู้เอาประกันภัยอย่างไรอันเป็นเหตุให้ผู้เอาประกันภัยต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของ ฉ. จึงเป็นคำฟ้องที่มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 322/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบี้ยปรับกับดอกเบี้ย: สัญญาเงินกู้และจำนอง การลดอัตราดอกเบี้ยโดยอ้างเบี้ยปรับสูงเกินไปไม่ชอบ
เบี้ยปรับคือสัญญาซึ่งลูกหนี้ให้ไว้แก่เจ้าหนี้ว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งเป็นเบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้หรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควร แต่สัญญากู้เงินหรือสัญญาจำนองกำหนดให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้มีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี และขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้แม้จำเลยทั้งสอง ผู้เป็นลูกหนี้จะมิได้ผิดนัดชำระหนี้ ดังนี้ ข้อสัญญาดังกล่าวจึงมิใช่เบี้ยปรับ การที่ศาลชั้นต้นลดอัตราดอกเบี้ยจากอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ลงเหลืออัตราร้อยละ 15 ต่อปีโดยอ้างว่าเป็นเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วนนั้นจึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 199/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมปล้นทรัพย์-ฆ่าโดยเจตนา ศาลฎีกายืนตามศาลชั้นต้น-อุทธรณ์ พยานหลักฐานแน่นหนา
แม้เหตุจะเกิดเวลากลางคืนแต่พยานโจทก์ทั้งสามก็มีโอกาสเห็นจำเลยที่ 2 โดยใกล้ชิดเป็นเวลานานพอสมควร ซึ่งในบ้านพักนั้นมีแสงเทียนและแสงไฟฉายที่จำเลยที่ 1 ใช้ส่องหาทรัพย์สินทั้งขณะผู้เสียหายที่ 1 เข้าแจ้งต่อผู้ใหญ่บ้านและเจ้าพนักงานตำรวจก็ระบุว่าจำจำเลยทั้งสองได้ เมื่อพนักงานสอบสวนจัดให้มีการชี้ตัวคนร้ายผู้เสียหายที่ 1 และ ส. ชี้ตัวจำเลยที่ 2ได้ถูกต้อง ได้ความว่าหลังเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ได้รับบาดเจ็บเนื่องจากถูกกระสุนปืน จำเลยที่ 1 เป็นผู้พาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลจำเลยที่ 2 แจ้งต่อแพทย์ผู้รักษาบาดแผลว่าถูกกระสุนปืนเมื่อเวลา1 นาฬิกาของวันที่ 26 มกราคม 2538 ซึ่งตรงกับวันเวลาเกิดเหตุและสอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 ที่ให้การว่าได้ร่วมกับพวกปล้นทรัพย์ผู้ตายแต่ผู้ตายขัดขืนจำเลยที่ 2จึงจับผู้ตายไว้แล้วจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนลูกซองยิงผู้ตายกระสุนพลาดไปถูกจำเลยที่ 2 ได้รับบาดเจ็บ เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจติดตามไปจับจำเลยทั้งสองที่บ้าน ป. เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 1 ได้ ส่วนจำเลยที่ 2 วิ่งหลบหนีไปทางหลังบ้านเข้าไปในป่ากกเจ้าพนักงานตำรวจต้องระดมกำลังออกค้นหาเป็นเวลานาน 1 ชั่วโมง จึงพบจำเลยที่ 2 ซ่อนตัวอยู่ในป่ากกการที่จำเลยที่ 2 วิ่งหลบหนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจและหลบซ่อนอยู่ในป่ากก เช่นนี้ย่อมเป็นข้อพิรุธในการกระทำผิดของจำเลยที่ 2ชั้นจับกุมจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพและนำเจ้าพนักงานตำรวจไปเอาอาวุธปืนที่ใช้ในการกระทำความผิดจากที่ซ่อน ทั้งชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 ก็ให้การรับสารภาพ นำชี้ที่เกิดเหตุและแสดงท่าทางประกอบคำรับสารภาพ พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวประกอบกันจึงฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 และพยายามปล้นทรัพย์ผู้เสียหายที่ 3โดยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 3 ถึงแก่ความตาย แม้พยานโจทก์จะเบิกความแตกต่างกันบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับจะรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ใช่คนร้ายในคดีนี้