คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ณรงค์ศักดิ์ วิจิตรสาระวงศ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 524 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2160/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่วางค่าธรรมเนียมพร้อมอุทธรณ์ ทำให้ศาลสั่งไม่รับอุทธรณ์ได้ แม้จะยื่นคำร้องขอขยายเวลาภายหลัง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 บัญญัติบังคับไว้ให้ผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ การที่จำเลยยื่นอุทธรณ์โดยไม่ได้นำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนโจทก์มาวางศาลให้ครบถ้วนพร้อมกับอุทธรณ์ย่อมเป็นการไม่ชอบ จำเลยยื่นอุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายกำหนดระยะเวลาที่จะนำเงินค่าธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 229 มาวางศาล แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องเพราะไม่มีพฤติการณ์พิเศษที่ศาลจะอนุญาต ดังนี้แม้ต่อมาหลังจากครบกำหนดอายุอุทธรณ์ จำเลยจะได้นำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้อง ใช้แทนโจทก์มาวางศาลก็ตาม แต่ก็เป็นเวลาภายหลังที่ศาลสั่งไม่รับอุทธรณ์แล้ว กรณีเช่นว่านี้ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ของจำเลยได้ทันที เพราะไม่ใช่เรื่องการมิได้ชำระหรือวาง ค่าธรรมเนียมศาลโดยถูกต้องครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ซึ่งศาลจะต้อง สั่งให้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อน ที่จะสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2160/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่วางค่าธรรมเนียมพร้อมอุทธรณ์ทำให้ศาลไม่รับอุทธรณ์ แม้จะนำมาวางภายหลัง
ป.วิ.พ.มาตรา 229 บัญญัติบังคับไว้ให้ผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ การที่จำเลยยื่นอุทธรณ์โดยไม่ได้นำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนโจทก์มาวางศาลให้ครบถ้วนพร้อมกับอุทธรณ์ย่อมเป็นการไม่ชอบ
จำเลยยื่นอุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายกำหนดระยะเวลาที่จะนำเงินค่าธรรมเนียมตาม ป.วิ.พ.มาตรา 229 มาวางศาล แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องเพราะไม่มีพฤติการณ์พิเศษที่ศาลจะอนุญาต ดังนี้แม้ต่อมาหลังจากครบกำหนดอายุอุทธรณ์ จำเลยจะได้นำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนโจทก์มาวางศาลก็ตามแต่ก็เป็นเวลาภายหลังที่ศาลสั่งไม่รับอุทธรณ์แล้ว กรณีเช่นว่านี้ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยได้ทันที เพราะไม่ใช่เรื่องการมิได้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลโดยถูกต้องครบถ้วนตาม ป.วิ.พ.มาตรา 18 ซึ่งศาลจะต้องสั่งให้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อนที่จะสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2160/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ เนื่องจากมิได้วางค่าธรรมเนียมศาลพร้อมอุทธรณ์ แม้ศาลจะไม่อนุญาตขยายเวลา
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 บัญญัติบังคับ ไว้ให้ผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความ อีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ การที่จำเลยยื่นอุทธรณ์โดยไม่ได้นำเงินค่าธรรมเนียม ที่จะต้องใช้แทนโจทก์มาวางศาลให้ครบถ้วนพร้อมกับ อุทธรณ์ย่อมเป็นการไม่ชอบ จำเลยยื่นอุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายกำหนดระยะเวลา ที่จะนำเงินค่าธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 มาวางศาลแต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องเพราะไม่มีพฤติการณ์พิเศษแม้ต่อ มาหลังจากครบกำหนดอายุอุทธรณ์ จำเลยจะได้นำเงิน ค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนโจทก์มาวางศาลก็ตาม แต่ก็เป็น เวลาภายหลังที่ศาลสั่งไม่รับอุทธรณ์แล้วกรณีเช่นว่านี้ ศาลชั้นต้นที่จะมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยได้ทันที เพราะไม่ใช่เรื่องการมิได้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาล โดยถูกต้องครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ซึ่งศาลจะต้องสั่งให้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลให้ ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อนที่จะสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2104/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานไม่เพียงพอต่อการพิสูจน์ความผิด จำเลยได้รับประโยชน์แห่งความสงสัย
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน แต่ช่วงระยะเวลาที่ ผู้เสียหายจะมีโอกาสมองเห็นใบหน้าของคนร้ายได้นั้นเกิดขึ้นตอนที่คนร้ายลงจากรถจักรยานยนต์เดินมาหาแล้วใช้ อาวุธปืนสั้นจ่อที่ใบหน้าผู้เสียหาย โอกาสที่ผู้เสียหายมองเห็นใบหน้าของคนร้ายได้ในช่วงเวลาดังกล่าวมีเพียงแวบเดียว เพราะในช่วงเวลาหลังจากนั้นผู้เสียหายได้เตรียมปลดสร้อยคอจากคอผู้เสียหายเพื่อส่งให้แก่คนร้าย และในช่วงที่ผู้เสียหายเตรียมปลดสร้อยคอ คนร้ายได้กระชากสร้อยคอจนขาดจากคอผู้เสียหายและวิ่งไปซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่พวกจอดติดเครื่องรออยู่ขับหลบหนีไปทันที ยิ่งเห็นได้ว่าในช่วงเวลาดังกล่าวนี้โอกาสที่ผู้เสียหายจะมองเห็นใบหน้าของคนร้ายย่อมมีน้อยมาก ประกอบกับผู้เสียหายสวมหมวกนิรภัยมีกระจกด้านหน้าเป็นสีชา สีของกระจกย่อมทำให้ผู้เสียหายมองเห็นใบหน้าของคนร้ายผิดเพี้ยนไปได้ผู้เสียหายไม่เคยรู้จักคนร้ายมาก่อนและไม่ได้ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายและไม่ปรากฏว่าทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายชิงไปถูกยึดได้จากจำเลยมาเป็นของกลางประกอบคดี จำเลยให้การปฏิเสธมาตั้งแต่ต้นและได้นำสืบอ้างฐานที่อยู่ ตามพฤติการณ์แห่งคดีพยานหลักฐานโจทก์มีเหตุสงสัยตามสมควรว่า จำเลยอาจจะไม่ใช่คนร้ายที่ร่วมกับพวกกระทำความผิด จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง และจำเลยไม่มีความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2012/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งงดสืบพยานก่อนมีคำพิพากษา ถือเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา โจทก์ต้องโต้แย้งทันที จึงมีสิทธิอุทธรณ์
ในวันนัดชี้สองสถาน ศาลสอบถามข้อเท็จจริงจากโจทก์จำเลยแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดชี้สองสถาน งดสืบพยานโจทก์จำเลย และให้นัดฟังคำพิพากษา เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งก่อนศาลนั้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226(2) และมิใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามมาตรา 24 เพราะศาลชั้นต้นพิพากษาคดีโดยวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่ได้ความจากการสอบถามโจทก์จำเลย เมื่อนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวจนถึงวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเป็นเวลา 1 เดือนเศษ โจทก์ย่อมมีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นได้ แต่โจทก์มิได้โต้แย้งไว้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2012/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งงดชี้สองสถานและงดสืบพยาน: สิทธิอุทธรณ์ตามมาตรา 226(2) และการวินิจฉัยข้อเท็จจริงของศาล
ก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์จำเลย ศาลได้สอบถามข้อเท็จจริงจากโจทก์จำเลยแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วและนัดฟังคำพิพากษาเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งก่อนศาลนั้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) และมิใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามมาตรา 24เพราะที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมยอมความคดีนี้ที่โจทก์จำเลยทำขึ้นเพื่อระงับหนี้ตามเช็คที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญา เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่าเช็คดังกล่าวไม่มีมูลหนี้ที่จะบังคับกันได้ตามกฎหมาย จึงไม่ก่อให้เกิดหนี้ที่จะให้จำเลย ทำสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อระงับข้อพิพาทตามเช็ค โจทก์จะอาศัยสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวมาฟ้อง เรียกร้องให้จำเลยรับผิดหาได้ไม่นั้น เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้น พิพากษาคดีโดยวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่ได้ความจากการ สอบถามโจทก์จำเลย มิได้วินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาข้อกฎหมาย ที่พิพาทกันในคดี ดังนั้นเมื่อนับแต่วันที่ศาลชั้นต้น มีคำสั่งดังกล่าวจนถึงวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเป็น เวลา 1 เดือนเศษ โจทก์ย่อมมีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคำสั่ง นั้นได้ แต่มิได้โต้แย้ง โจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2012/2542 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งงดพยาน-ชี้สองสถานไม่ใช่คำสั่งชี้ขาดเบื้องต้น หากโจทก์ไม่โต้แย้งทันที ย่อมหมดสิทธิอุทธรณ์
ป.วิ.พ. มาตรา 24, 226 (2)
ในวันนัดชี้สองสถาน ศาลสอบถามข้อเท็จจริงจากโจทก์จำเลยแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดชี้สองสถาน งดสืบพยานโจทก์จำเลย และให้นัดฟังคำพิพากษา เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งก่อนศาลนั้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 226 (2) และมิใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามมาตรา 24 เพราะศาลชั้นต้นพิพากษาคดีโดยวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่ได้ความจากการสอบถามโจทก์จำเลยเมื่อนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวจนถึงวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเป็นเวลา1 เดือนเศษ โจทก์ย่อมมีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นได้ แต่โจทก์มิได้โต้แย้งไว้โจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 226 (2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2012/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งงดสืบพยานก่อนมีคำพิพากษาไม่ใช่คำสั่งชี้ขาดเบื้องต้น โจทก์ต้องโต้แย้งทันทีจึงจะมีสิทธิอุทธรณ์
ในวันนัดชี้สองสถาน ศาลสอบถามข้อเท็จจริงจากโจทก์จำเลยแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดชี้สองสถาน งดสืบพยานโจทก์จำเลยและให้นัดฟังคำพิพากษา เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งก่อนศาลนั้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) และมิใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามมาตรา 24 เพราะศาลชั้นต้นพิพากษาคดีโดยวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่ได้ความจากการสอบถามโจทก์จำเลยเมื่อนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวจนถึงวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเป็นเวลา 1 เดือนเศษ โจทก์ย่อมมีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นได้แต่โจทก์มิได้โต้แย้งไว้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1968/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รับของโจร แม้ไม่ได้ฟ้อง แต่ศาลลงโทษได้ หากข้อเท็จจริงต่างจากฟ้องเพียงเล็กน้อย
อ. กับพวกบังคับให้ผู้เสียหายถอดทรัพย์สินต่าง ๆ ให้โดยพวกคนร้ายจับผู้เสียหายไว้ อ. บอกผู้เสียหายว่า ลูกพี่ใหญ่ของตนมาแล้ว จากนั้นประมาณ 10 นาที จำเลยขับรถจักรยานยนต์ มาที่เกิดเหตุ พูดคุยกับ อ. อ. เล่าเรื่องให้จำเลยฟังจำเลยถามผู้เสียหายว่าบ้านอยู่ที่ไหน จำเลยเอาทรัพย์สิน ของผู้เสียหายไป และมอบแหวนของผู้เสียหายให้ อ. สวมไว้ แล้วจำเลยขับรถออกไป จึงไม่แจ้งชัดว่าจำเลยสมคบกับอ. และพวกวางแผนเพื่อตระเตรียมการมาเพื่อปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย กับจำเลยมาที่เกิดเหตุหลังจากการปล้นทรัพย์สำเร็จและขาดตอนไปแล้ว ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยร่วมกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดอันถึงถือได้ว่าเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมปล้นทรัพย์ แต่การที่ จำเลยเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไป จำเลยมีความผิดฐานรับของโจร แม้โจทก์จะมิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ แต่กรณีถือได้ว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง แต่มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสารสำคัญและจำเลยมิได้หลงต่อสู้ศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจรได้ไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1881/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งความรับผิดในความเสียหายจากความประมาทเลินเล่อทางธนาคาร และข้อจำกัดในการฎีกาตามมูลค่าคดี
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน 499,375 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน287,808.90 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง และให้จำเลยที่ 1และที่ 4 ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 213,191.78 บาทพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้องโจทก์ไม่อุทธรณ์ คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 เป็นอัน ถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นเกิดจากโจทก์และจำเลยที่ 3 ที่ 4 ต่างขาดความระมัดระวังด้วยกัน พฤติการณ์มิได้ยิ่งหย่อนกว่ากัน จึงให้จำเลยที่ 1ที่ 3 และที่ 4 รับผิดต่อโจทก์กึ่งหนึ่ง พิพากษาให้จำเลยที่ 1และที่ 3 ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 143,437.50 บาท พร้อมดอกเบี้ย และให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 ร่วมกันชดใช้เงิน จำนวน 106,250 บาท พร้อมดอกเบี้ย ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 ประมาทเลินเล่อแต่ฝ่ายเดียว หากฟังว่า โจทก์มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหาย ความเสียหายส่วนที่ โจทก์ก่อก็มีเพียงเล็กน้อย จึงไม่เห็นด้วยที่จะให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 รับผิดต่อโจทก์เพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 3 และระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 4 ไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้าม มิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
of 53