คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ณรงค์ศักดิ์ วิจิตรสาระวงศ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 524 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 849/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่ เกินกำหนด และผลของการไม่โต้แย้งคำสั่งศาล
ศาลได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาให้แก่จำเลยโดยวิธีปิดคำบังคับเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2540จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อ้างว่ากรรมการของจำเลยเพิ่งพบคำบังคับเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2541จึงทราบเรื่องที่ถูกโจทก์ฟ้องจึงเป็นกรณีที่จำเลยอ้างว่าจำเลย ไม่อาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่การส่งคำบังคับมีผลใช้ได้โดยพฤติการณ์นอกเหนือ ไม่อาจบังคับได้ ดังนี้ จำเลยจะต้องยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ ภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือ ไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลง คือภายในวันที่ 24 มกราคม 2541 แต่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ในวันที่ 29 มกราคม 2541 จึงเกินกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับ ได้สิ้นสุดลงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิ ขอให้พิจารณาใหม่ได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยฉบับแรกโดยวินิจฉัยว่า จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เกินกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนดจำเลยมิได้อุทธรณ์ คำสั่งศาลชั้นต้นย่อมเป็นอันถึงที่สุด แต่จำเลยก็ยังมีสิทธิ ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ได้อีกภายในกำหนด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคหนึ่ง แต่จำเลยหาได้กระทำ การที่จำเลยยื่นคำร้องฉบับที่สอง ขอให้พิจารณาใหม่เมื่อเกินกำหนดเวลาตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ในครั้งนี้ก็มิใช่เป็นคำร้องขอ แก้ไขข้อผิดพลาดเกี่ยวกับวันเดือนปีที่จำเลยทราบคำบังคับ ตามที่บรรยายมาในคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ในครั้งแรก หรือเป็นส่วนหนึ่งของคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ในครั้งแรก เพราะเป็นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ที่จำเลยยื่นภายหลัง จากศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องให้ขอให้พิจารณาใหม่ ของจำเลยในครั้งแรกแล้ว จึงชอบที่ศาลจะมีคำสั่งยกคำร้อง ขอให้พิจารณาใหม่ฉบับที่สองนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 312/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายเรียกไปยังภูมิลำเนาหลายแห่ง การขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ทำให้ไม่สามารถขอพิจารณาใหม่ได้
แม้จำเลยกับครอบครัวอยู่อาศัยที่บ้านเลขที่ 303/5จังหวัดกาญจนบุรี แต่หลังจากศาลชั้นต้นสั่งรับคำฟ้องแล้วได้มีการออกหมายเรียกและส่งสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยณ บ้านเลขที่ 1/1 จังหวัดนครปฐม ที่จำเลยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านอันเป็นภูมิลำเนาของจำเลยตามฟ้องจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้ด้วยตนเองโดยจำเลยไม่ได้ปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนี้และในการนัดสืบพยานโจทก์พนักงานเดินหมายของศาลชั้นต้นนำหมายนัดสืบพยานโจทก์ไปส่งให้แก่จำเลยที่บ้านหลังนี้อีก แต่ไม่พบจำเลย สอบถามหญิงในบ้านอายุประมาณ 30 ปี แจ้งว่าจำเลยไปต่างจังหวัดไม่ยอมรับหมายไว้แทน พนักงานเดินหมายจึงปิดหมายตามคำสั่งศาล โดยไม่ปรากฏว่ามีการปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนี้แต่อย่างใด เชื่อได้ว่าจำเลยอยู่อาศัยที่บ้านหลังดังกล่าวนี้ด้วย และถือได้ว่าจำเลยมีถิ่นที่อยู่หลายแห่งซึ่งอยู่สับเปลี่ยนกันไป ดังนั้น บ้านที่ระบุในคำฟ้องจึงเป็นภูมิลำเนาอีกแห่งหนึ่งของจำเลยการที่พนักงานเดินหมายนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องกับหมายนัดสืบพยานโจทก์ไปส่งให้แก่จำเลยที่บ้านเลขที่ 1/1จังหวัดนครปฐม อันเป็นภูมิลำเนาของจำเลยตามคำฟ้องจึงเป็นการส่งหมายนั้น ๆ ให้แก่จำเลยทราบโดยชอบแล้วเมื่อจำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดและไม่ไปศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ ถือว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาจำเลยจึงไม่อาจขอให้พิจารณาใหม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 312/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายเรียก/สำเนาคำฟ้องไปยังภูมิลำเนาหลายแห่งของผู้ถูกฟ้อง การจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
แม้จำเลยกับครอบครัวอยู่อาศัยที่บ้านเลขที่ 303/5 จังหวัดกาญจนบุรี แต่หลังจากศาลชั้นต้นสั่งรับคำฟ้องแล้วได้มีการออกหมายเรียกและส่งสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลย ณ บ้านเลขที่ 1/1 จังหวัดนครปฐม ที่จำเลยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านอันเป็นภูมิลำเนาของจำเลยตามฟ้อง จำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้ด้วยตนเอง โดยจำเลยไม่ได้ปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนี้และในการนัดสืบพยานโจทก์พนักงานเดินหมายของศาลชั้นต้นนำหมายนัดสืบพยานโจทก์ไปส่งให้แก่จำเลยที่บ้านหลังนี้อีก แต่ไม่พบจำเลย สอบถามหญิงในบ้านอายุประมาณ30 ปี แจ้งว่าจำเลยไปต่างจังหวัด ไม่ยอมรับหมายไว้แทน พนักงานเดินหมายจึงปิดหมายตามคำสั่งศาล โดยไม่ปรากฏว่ามีการปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนี้แต่อย่างใด เชื่อได้ว่าจำเลยอยู่อาศัยที่บ้านหลังดังกล่าวนี้ด้วย และถือได้ว่าจำเลยมีถิ่นที่อยู่หลายแห่งซึ่งอยู่สับเปลี่ยนกันไป ดังนั้น บ้านที่ระบุในคำฟ้องจึงเป็นภูมิลำเนาอีกแห่งหนึ่งของจำเลย การที่พนักงานเดินหมายนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องกับหมายนัดสืบพยานโจทก์ไปส่งให้แก่จำเลยที่บ้านเลขที่ 1/1 จังหวัดนครปฐม อันเป็นภูมิลำเนาของจำเลยตามคำฟ้อง จึงเป็นการส่งหมายนั้น ๆ ให้แก่จำเลยทราบโดยชอบแล้ว เมื่อจำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดและไม่ไปศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ ถือว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาจำเลยจึงไม่อาจขอให้พิจารณาใหม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 56/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยครอบครองยาเสพติดจำนวนมาก เตรียมแบ่งขาย ศาลยืนโทษจำคุก
พยานโจทก์เป็นเจ้าพนักงานตำรวจได้ปฏิบัติราชการไปตามหน้าที่ และไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 3 กับพวกมาก่อนไม่มีเหตุให้ต้องระแวงสงสัยว่าจะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลย นอกจากนี้ตามคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกศ.และสิบตำรวจตรีพ.ยังตรงกันว่า เมื่อไปถึงบ้านที่เกิดเหตุปรากฏว่าประตูหน้าต่างบ้านนั้นปิดทั้งหมด ซึ่งหากในวันนั้นมีการ เปียแชร์ดังที่จำเลยที่ 3 ต่อสู้ ก็ไม่น่าจะต้องมีการปิด ประตูหน้าต่างกันแต่อย่างใด ทั้งเมื่อร้อยตำรวจเอกศ. เรียกให้เปิดประตูหน้าบ้าน จำเลยที่ 3 ก็วิ่งหนีออกไป ทางหลังบ้าน โดยในมือกำ ถุงพลาสติกบรรจุเมทแอมเฟตามีน 5 เม็ด และพวกของจำเลยที่ 3 อีก 2 คน ต่างก็มีเมทแอมเฟตามีนบรรจุ อยู่ในถุงพลาสติกคนละ 1 ใบ โดยเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยที่ 3 กับพวกครอบครองไว้นั้นมีลักษณะเช่นเดียวกับเมทแอมเฟตามีน จำนวน 300 เม็ด ที่บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีแดง และหลอด พลาสติกสีเหลืองที่วางอยู่บริเวณพื้นกลางบ้านที่เกิดเหตุ น่าเชื่อว่าเมทแอมเฟตามีนที่จับได้ที่จำเลยที่ 3 กับพวกนั้น เป็นเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยที่ 3 กับพวกแต่ละคนแบ่งแยก ไปจากเมทแอมเฟตามีนที่บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีแดงและใน หลอดพลาสติกสีเหลือง การที่จำเลยที่ 3 กับพวกแบ่งแยกใส่ ถุงพลาสติกถุงละ 5 เม็ด หรือ 10 เม็ด ก็เพื่อความสะดวก ในการจำหน่าย จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 กับพวกร่วมกันมี เมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8154/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดินและประทานบัตรทำเหมืองแร่เป็นสิทธิแยกต่างหาก ผู้มีประทานบัตรยังคงมีสิทธิครอบครองได้ แม้ประทานบัตรหมดอายุ
ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่โจทก์ได้รับโอนประทานบัตรในการทำเหมืองแร่ มาจากบริษัท ซ. ซึ่งเป็นคนต่างด้าวเมื่อปี 2514 โจทก์ได้ยึดถือครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา ดังนี้ แม้บริษัท ซ. ซึ่งเป็นคนต่างด้าวจะได้ที่ดินพิพาทมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ได้รับอนุญาตตาม ป.ที่ดิน แต่มิใช่ว่าการได้มาซึ่งที่ดินนั้นจะไม่มีผลเสียเลย กฎหมายเพียงแต่จำกัดสิทธิมิให้บริษัท ซ. ซึ่งเป็นคนต่างด้าวนั้นถือสิทธิหรือใช้สิทธิในที่ดินที่ได้มาอย่างเจ้าของกรรมสิทธิ์ไม่ได้ และต้องจำหน่ายที่ดินนั้นไปตาม ป.ที่ดิน มาตรา 94 เมื่อบริษัท ซ. โอนสิทธิในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โจทก์ผู้รับโอนย่อมมีสิทธิในที่ดินนั้นโดยสมบูรณ์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง
สิทธิตามประทานบัตรซึ่งเป็นสิทธิในการทำเหมืองแร่นั้นเป็นสิทธิที่จะต้องบังคับตาม พ.ร.บ.แร่ พ.ศ.2510 อันแตกต่างกับสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทซึ่งต้องบังคับตาม ป.พ.พ. จึงเป็นสิทธิคนละส่วนแยกต่างหากจากกันได้ หาใช่ว่าหากผู้ใดมีสิทธิตามประทานบัตรแล้ว จะไม่อาจมีสิทธิครอบครองในที่ดินตามประทานบัตรนั้นได้เลยไม่ มิฉะนั้นจะมีผลเป็นว่า ผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินแปลงใดโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แต่เดิมแล้ว หากต่อมาได้รับอนุญาตให้ทำเหมืองแร่ในที่ดินแปลงดังกล่าวจะทำให้สิทธิครอบครองซึ่งมีอยู่เดิมก่อนแล้วต้องหมดสิ้นไปด้วย
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ผู้มีสิทธิครอบครองได้โอนการครอบครองติดต่อกันมาจนถึงโจทก์ซึ่งรับโอนทั้งสิทธิครอบครองและสิทธิตามประทานบัตรจากบริษัท ซ.โจทก์ได้ยึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตาม ป.พ.พ.มาตรา 1367 แม้ประทานบัตรของโจทก์หมดอายุแล้วก็หามีผลทำให้โจทก์สิ้นสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสิทธิคนละส่วนกันแต่อย่างใดไม่การที่โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองส่งมอบที่ดินพิพาทคืนโจทก์ แต่จำเลยทั้งสองและบริวารยังขืนอยู่ในที่ดินพิพาทต่อไปโดยไม่ยอมส่งมอบคืนโจทก์ จึงเป็นการรบกวนการครอบครองอันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารให้ออกไปจากที่ดินพิพาทได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8154/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดินและการทำเหมืองแร่: สิทธิแยกต่างหาก โอนสิทธิได้ แม้ประทานบัตรหมดอายุ
ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่โจทก์ได้รับโอนประทานบัตรในการทำเหมืองแร่ มาจากบริษัท ซ.ซึ่งเป็นคนต่างด้าวเมื่อปี 2514 โจทก์ได้ยึดถือครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา ดังนี้ แม้บริษัท ซ.ซึ่งเป็นคนต่างด้าวจะได้ที่ดินพิพาทมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ได้รับอนุญาตตามประมวลกฎหมายที่ดิน แต่มิใช่ว่าการได้มาซึ่งที่ดินนั้นจะไม่มีผลเสียเลย กฎหมายเพียงแต่จำกัดสิทธิมิให้บริษัท ซ. ซึ่งเป็นคนต่างด้าวนั้นถือสิทธิหรือใช้สิทธิในที่ดินที่ได้มาอย่างเจ้าของกรรมสิทธิ์ไม่ได้และต้องจำหน่ายที่ดินนั้นไปตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 94เมื่อบริษัท ซ. โอนสิทธิในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โจทก์ผู้รับโอนย่อมมีสิทธิในที่ดินนั้นโดยสมบูรณ์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง สิทธิตามประทานบัตรซึ่งเป็นสิทธิในการทำเหมืองแร่นั้นเป็นสิทธิที่จะต้องบังคับตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510อันแตกต่างกับสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทซึ่งต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงเป็นสิทธิคนละส่วนแยกต่างหากจากกันได้ หาใช่ว่าหากผู้ใดมีสิทธิตามประทานบัตรแล้วจะไม่อาจมีสิทธิครอบครองในที่ดินตามประทานบัตรนั้นได้เลยไม่ มิฉะนั้นจะมีผลเป็นว่า ผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินแปลงใดโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แต่เดิมแล้ว หากต่อมาได้รับอนุญาตให้ทำเหมืองแร่ในที่ดินแปลงดังกล่าวจะทำให้สิทธิครอบครองซึ่งมีอยู่เดิมก่อนแล้วต้องหมดสิ้นไปด้วย ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ผู้มีสิทธิครอบครองได้โอนการครอบครองติดต่อกันมาจนถึงโจทก์ซึ่งรับโอนทั้งสิทธิครอบครองและสิทธิตามประทานบัตรจากบริษัท ซ.โจทก์ได้ยึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมาโจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 แม้ประทานบัตรของโจทก์หมดอายุแล้วก็หามีผลทำให้โจทก์สิ้นสิทธิครองครองในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสิทธิคนละส่วนกันแต่อย่างใดไม่การที่โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองส่งมอบที่ดินพิพาทคืนโจทก์แต่จำเลยทั้งสองและบริวารยังขืนอยู่ในที่ดินพิพาทต่อไปโดยไม่ยอมส่งมอบคืนโจทก์ จึงเป็นการรบกวนการครอบครองอันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารให้ออกไปจากที่ดินพิพาทได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7338/2541 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่ม: การลงโทษตามมาตรา 89 (7) เพียงอนุมาตราเดียว และขอบเขตของคำสั่งกรมสรรพากร
การที่โจทก์นำภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบกำกับภาษีปลอมมาเป็นภาษีซื้อคำนวณหักออกจากภาษีขายในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเข้าลักษณะความผิดตาม ป.รัษฎากร มาตรา 89 (7) นั้น ย่อมเป็นการยื่นแบบแสดงรายการไม่ถูกต้องและแสดงภาษีซื้อเกินไปอันเข้าลักษณะความผิดตาม ป.รัษฎากร มาตรา 89(4) อยู่ด้วยในตัว แต่เมื่อมาตรา 89 (7) กำหนดให้เสียเบี้ยปรับสองเท่า ย่อมเห็นได้ว่ามุ่งหมายจะลงโทษปรับให้สูงขึ้นโดยให้รับผิดตามมาตรา 89 (7) เพียงอนุมาตราเดียว หาได้มุ่งหมายให้ปรับทุกอนุมาตรารวมกัน โจทก์จึงหาต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับตามมาตรา 89 (4) อีกด้วยไม่
ป.รัษฎากร มาตรา 89 วรรคสอง บัญญัติให้อำนาจแก่อธิบดีกรมสรรพากรโดยอนุมัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กำหนดระเบียบการงดหรือลดเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งอธิบดีกรมสรรพากรได้ออกคำสั่งกรมสรรพากรที่ท.ป.37/2534 ดังกล่าววางระเบียบการงดหรือลดเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ คำสั่งกรมสรรพากรดังกล่าวจึงเป็นเรื่องระเบียบการงดหรือลดเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่มแต่ประเด็นแห่งคดีนี้เป็นเรื่องอำนาจในการเรียกเก็บเบี้ยปรับของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ว่าเรียกเก็บได้กี่อนุมาตรา จึงไม่อาจนำคำสั่งดังกล่าวมาใช้กับคดีนี้ได้ จึงชอบที่ศาลภาษีอากรจะวินิจฉัยให้โจทก์เสียเบี้ยปรับสองเท่าของจำนวนภาษีตามมาตรา 89 (7) เพียงอนุมาตราเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7338/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่ม: ศาลยืนตามเดิมให้ปรับเฉพาะมาตรา 89(7) แม้จะมีความผิดตามมาตรา 89(4) ด้วย
การที่โจทก์นำภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบกำกับภาษีปลอมมาเป็นภาษีซื้อคำนวณหักออกจากภาษีขายในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเข้าลักษณะความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89(7) นั้น ย่อมเป็นการยื่นแบบแสดงรายการไม่ถูกต้องและแสดงภาษีซื้อเกินไปอันเข้าลักษณะความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89(4)อยู่ด้วยในตัว แต่เมื่อมาตรา 89(7) กำหนดให้เสียเบี้ยปรับสองเท่า ย่อมเห็นได้ว่ามุ่งหมายจะลงโทษปรับให้สูงขึ้นโดยให้รับผิดตามมาตรา 89(7) เพียงอนุมาตราเดียว หาได้มุ่งหมายให้ปรับทุกอนุมาตรารวมกัน โจทก์จึงหาต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับตามมาตรา 89(4)อีกด้วยไม่
ประมวลรัษฎากร มาตรา 89 วรรคสอง บัญญัติให้อำนาจแก่อธิบดีกรมสรรพากรโดยอนุมัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กำหนดระเบียบการงดหรือลดเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งอธิบดีกรมสรรพากรได้ออกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.37/2534 ดังกล่าววางระเบียบการงดหรือลดเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ คำสั่งกรมสรรพากรดังกล่าวจึงเป็นเรื่องระเบียบการงดหรือลดเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่มแต่ประเด็นแห่งคดีนี้เป็นเรื่องอำนาจในการเรียกเก็บเบี้ยปรับของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ว่าเรียกเก็บได้กี่อนุมาตราจึงไม่อาจนำคำสั่งดังกล่าวมาใช้กับคดีนี้ได้ จึงชอบที่ศาลภาษีอากรจะวินิจฉัยให้โจทก์เสียเบี้ยปรับสองเท่าของจำนวนภาษีตามมาตรา 89(7) เพียงอนุมาตราเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7338/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มจากใบกำกับภาษีปลอม: เบี้ยปรับตามมาตรา 89(7) เพียงอนุมาตราเดียว
การที่โจทก์นำภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบกำกับภาษีปลอมมาเป็นภาษีซื้อคำนวณหักออกจากภาษีขายในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเข้าลักษณะความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89(7) นั้น ย่อมเป็นการยื่นแบบแสดงรายการไม่ถูกต้องและแสดงภาษีซื้อเกินไปอันเข้าลักษณะความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89(4)อยู่ด้วยในตัว แต่เมื่อมาตรา 89(7) กำหนดให้เสียเบี้ยปรับสองเท่า ย่อมเห็นได้ว่ามุ่งหมายจะลงโทษปรับให้สูงขึ้นโดยให้รับผิดตามมาตรา 89(7) เพียงอนุมาตราเดียว หาได้มุ่งหมายให้ปรับทุกอนุมาตรารวมกัน โจทก์จึงหาต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับตามมาตรา 89(4)อีกด้วยไม่
ประมวลรัษฎากร มาตรา 89 วรรคสอง บัญญัติให้อำนาจแก่อธิบดีกรมสรรพากรโดยอนุมัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กำหนดระเบียบการงดหรือลดเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งอธิบดีกรมสรรพากรได้ออกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.37/2534 ดังกล่าววางระเบียบการงดหรือลดเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ คำสั่งกรมสรรพากรดังกล่าวจึงเป็นเรื่องระเบียบการงดหรือลดเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่มแต่ประเด็นแห่งคดีนี้เป็นเรื่องอำนาจในการเรียกเก็บเบี้ยปรับของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ว่าเรียกเก็บได้กี่อนุมาตราจึงไม่อาจนำคำสั่งดังกล่าวมาใช้กับคดีนี้ได้ จึงชอบที่ศาลภาษีอากรจะวินิจฉัยให้โจทก์เสียเบี้ยปรับสองเท่าของจำนวนภาษีตามมาตรา 89(7) เพียงอนุมาตราเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7185/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่ายจำนวนมากกระทบความมั่นคงชาติ ศาลฎีกาเพิ่มโทษจำคุก
จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษชนิด ร้ายแรงในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายถึง 380 เม็ด น้ำหนัก 34.550 กรัม คำนวณเป็น สารบริสุทธิ์ได้หนักถึง 8.886 กรัม ซึ่งถือได้ว่าเป็นจำนวนมากทั้งความผิดดังกล่าวเกี่ยวโยงกับความปลอดภัยและความมั่นคงของประเทศชาติโดยตรงเพราะผู้ที่ซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยไปเสพ นอกจากจะเกิดอันตรายแก่ตัวเองแล้ว ยังอาจจะเป็นอันตรายแก่บุคคลที่อยู่ ข้างเคียงเมื่อผู้เสพเกิดมีอาการเมาเมทแอมเฟตามีนได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำผิดที่ร้ายแรงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ลงโทษจำเลยโดยจำคุก 10 ปีและลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือ 5 ปี นั้นน้อยเกินไป ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดโทษจำเลยใหม่ให้หนักขึ้นเป็นจำคุก 20 ปีลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือจำคุก 10 ปี
of 53