พบผลลัพธ์ทั้งหมด 111 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1412/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์: เจตนาเป็นเจ้าของสำคัญกว่าความรู้เรื่องกรรมสิทธิ์เดิม
ผู้ร้องได้ครอบครองทำนาในที่พิพาทในกรอบสีแดงตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย ร.5 เนื้อที่ 10 ไร่ 2 งาน 27 ตารางวา ตามที่ผู้ร้องนำชี้ยืนยัน โดยมิได้เช่าจากฝ่ายผู้คัดค้านทั้งสี่ ถึงแม้ในช่วงแรกผู้ร้องจะเข้าใจผิดว่าที่พิพาทเป็นที่หัวไร่-ปลายนาก็ตาม หากแต่ผู้ร้องได้ยึดถือครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของอย่างแท้จริงไม่จำเป็นที่ผู้ร้องจะต้องรู้มาก่อนว่าที่ดินนั้นเป็นของผู้คัดค้านทั้งสี่แล้วแย่งการครอบครองเป็นเวลาสิบปีจึงจะได้กรรมสิทธิ์ ฉะนั้นเมื่อผู้ร้องเข้าครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาติดต่อกันเกินกว่าสิบปี ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1382
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1412/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ผู้ครอบครองมีเจตนาเป็นเจ้าของและครอบครองเกิน 10 ปี
ผู้ร้องได้ครองครองทำนาในที่พิพาทในกรอบสีแดงตามแผนที่วิวาทเอกสารหมายร.5เนื้อที่10ไร่2งาน27ตารางวาตามที่ผู้ร้องนำชี้ยืนยันโดยมิใช่เช่าจากฝ่ายผู้คัดค้านทั้งสี่ถึงแม้ในช่วงแรกผู้ร้องจะเข้าใจผิดว่าที่พิพาทเป็นที่หัวไร่ปลายนาก็ตามหากแต่ผู้ร้องได้ยึดถือครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของอย่างแท้จริงไม่จำเป็นที่ผู้ร้องจะต้องรู้มาก่อนว่าที่ดินนั้นเป็นของผู้คัดค้านทั้งสี่แล้วแย่งการครอบครองเป็นเวลาสิบปีจึงจะได้กรรมสิทธิ์ฉะนั้นเมื่อผู้ร้องเข้าครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาติดต่อกันเกินกว่าสิบปีผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1412/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์: เจตนาเป็นเจ้าของสำคัญกว่าการแย่งการครอบครอง
ผู้ร้องได้ครองครองทำนาในที่พิพาทในกรอบสีแดงตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย ร.5 เนื้อที่ 10 ไร่ 2 งาน 27 ตารางวา ตามที่ผู้ร้องนำชี้ยืนยัน โดยมิใช่เช่าจากฝ่ายผู้คัดค้านทั้งสี่ ถึงแม้ในช่วงแรกผู้ร้องจะเข้าใจผิดว่าที่พิพาทเป็นที่หัวไร่ปลายนาก็ตามหากแต่ผู้ร้องได้ยึดถือครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของอย่างแท้จริงไม่จำเป็นที่ผู้ร้องจะต้องรู้มาก่อนว่าที่ดินนั้นเป็นของผู้คัดค้านทั้งสี่แล้วแย่งการครอบครองเป็นเวลาสิบปีจึงจะได้กรรมสิทธิ์ ฉะนั้นเมื่อผู้ร้องเข้าครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาติดต่อกันเกินกว่าสิบปี ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1183/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัย: ทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องเรียกคืนการให้ที่พิพาทราคา350,000บาทศาลชั้นต้นพิพากษาให้ถอนคืนการให้กึ่งหนึ่งเฉพาะส่วนที่เป็นที่ดินของโจทก์และยกฟ้องโจทก์ในส่วนที่ช.เป็นเจ้าของกึ่งหนึ่งจำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องที่ดินกึ่งหนึ่งในส่วนที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเป็นของโจทก์โจทก์มิได้อุทธรณ์โต้แย้งในที่ดินส่วนที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าช. มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทกึ่งหนึ่งคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในส่วนที่ว่าช. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทกึ่งหนึ่งจึงเป็นอันยุติทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์คงมีเพียง175,000บาทตามที่จำเลยอุทธรณ์เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์โจทก์จึงฎีกาได้เฉพาะที่พิพาทจำนวนกึ่งหนึ่งที่จำเลยอุทธรณ์และตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษาทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาจึงเป็นเพียง175,000บาทดังนั้นการที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์และช. ซื้อที่พิพาทมาจากบิดามารดาช. ที่พิพาทไม่ใช่สินส่วนตัวของช. หากฟังว่าช.ได้รับมรดกที่พิพาทมาจากบิดามารดาจริงช. ก็สละการครอบครองที่พิพาทจำนวนกึ่งหนึ่งให้โจทก์แล้วนั้นเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000บาทจึงต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความมาตรา248วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1114/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องจำกัดเฉพาะประเด็นทางภารจำยอม ศาลล่างวินิจฉัยสิทธิครอบครองเกินขอบเขต
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางพิพาทซึ่งอยู่ในที่ดินของจำเลยอ้างว่าเป็นทางภารจำยอม จำเลยให้การว่าทางพิพาทดังกล่าวมิใช่ทางภารจำยอมจึงเป็นกรณีที่โจทก์จำเลยพิพาทกันเฉพาะทางพิพาทว่าเป็นทางภารจำยอมหรือไม่เท่านั้น แม้ฟ้องโจทก์จะอ้างว่าทางพิพาทอยู่ในที่ดินของจำเลยและจำเลยได้นำชี้อ้างว่าทางพิพาทอยู่ในเขตที่ดินของจำเลย ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์และจำเลยมีข้อพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าวนอกเหนือจากเรื่องทางภารจำยอมไปด้วยแต่อย่างใดไม่ การที่จำเลยนำชี้เขตที่ดินในการทำแผนที่พิพาทว่าที่ดินตามกรอบสีแดงในแผนที่พิพาทเป็นของตน และจำเลยร่วมคัดค้านว่าที่ดินตามกรอบสีเขียวในแผนที่พิพาทเป็นของจำเลยร่วม ก็เป็นกรณีที่จำเลยร่วมถูกโต้แย้งสิทธิในความเป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งมิได้เป็นข้อพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยในคดีนี้ด้วยโจทก์จึงหามีสิทธิที่จะขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยร่วมเจ้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้ได้ไม่แต่เป็นกรณีที่จำเลยและจำเลยร่วมชอบที่จะต้องนำปัญหาดังกล่าวไปฟ้องร้องเป็นคดีใหม่โดยตั้งประเด็นพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินตามกรอบสีเขียวโดยเฉพาะต่อไป การที่ศาลชั้นต้นหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีและศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยในประเด็นที่เกี่ยวกับสิทธิในที่ดินตามกรอบสีเขียวระหว่างจำเลยทั้งสองกับจำเลยร่วมนอกเหนือจากเรื่องทางภารจำยอมมาด้วยนั้น จึงเป็นการไม่ชอบปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องอำนาจฟ้องอันเป็นปัญหาที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246,247 และให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่วินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่ดินตามกรอบสีเขียวในแผนที่พิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองกับจำเลยร่วม ยกฎีกาจำเลยร่วม แต่ไม่ตัดสิทธิจำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมที่จะไปฟ้องร้องกันใหม่ในเรื่องเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่ดินตามกรอบสีเขียวในแผนที่พิพาทต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1114/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องจำกัดเฉพาะประเด็นทางภารจำยอม ศาลมิอาจวินิจฉัยสิทธิในที่ดินอื่นนอกเหนือจากประเด็นพิพาท
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางพิพาทในที่ดินของจำเลยอ้างว่าเป็นทางภารจำยอมจำเลยให้การว่ามิใช่ทางภารจำยอมจึงพิพาทกันเฉพาะทางพิพาทว่าเป็นทางภารจำยอมหรือไม่ไม่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินด้วยการที่จำเลยนำชี้ในการทำแผนที่พิพาทว่าที่ดินตามกรอบสีแดงเป็นของตนและจำเลยร่วมคัดค้านว่าที่ดินตามกรอบสีเขียวเป็นของจำเลยร่วมก็เป็นกรณีที่จำเลยร่วมถูกโต้แย้งสิทธิในความเป็นเจ้าของที่ดินซึ่งมิได้เป็นข้อพิพาทโจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีจำเลยและจำเลยร่วมต้องไปฟ้องร้องเป็นคดีใหม่เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามกรอบสีเขียวต่อไปการที่ศาลชั้นต้นหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีและวินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินตามกรอบสีเขียวระหว่างจำเลยกับจำเลยร่วมนอกเหนือจากเรื่องทางภารจำยอมด้วยจึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1114/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตอำนาจฟ้อง: ข้อพิพาททางภารจำยอมแยกจากข้อพิพาทกรรมสิทธิ์ที่ดิน การหมายเรียกคู่ความที่ไม่เกี่ยวข้อง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางพิพาทซึ่งอยู่ในที่ดินของจำเลยอ้างว่าเป็นทางภารจำยอมจำเลยให้การว่าทางพิพาทดังกล่าวมิใช่ทางภารจำยอมจึงเป็นกรณีที่โจทก์จำเลยพิพาทกันเฉพาะทางพิพาทว่าเป็นทางภารจำยอมหรือไม่เท่านั้นแม้ฟ้องโจทก์จะอ้างว่าทางพิพาทอยู่ในที่ดินของจำเลยและจำเลยได้นำชี้อ้างว่าทางพิพาทอยู่ในเขตที่ดินของจำเลยก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์และจำเลยมีข้อพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าวนอกเหนือจากเรื่องทางภารจำยอมไปด้วยแต่อย่างใดไม่การที่จำเลยนำชี้เขตที่ดินในการทำแผนที่พิพาทว่าที่ดินตามกรอบสีแดงในแผนที่พิพาทเป็นของตนและจำเลยร่วมคัดค้านว่าที่ดินตามกรอบสีเขียวในแผนที่พิพาทเป็นของจำเลยร่วมก็เป็นกรณีที่จำเลยร่วมถูกโต้แย้งสิทธิในความเป็นเจ้าของที่ดินซึ่งมิได้เป็นข้อพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยในคดีนี้ด้วยโจทก์จึงหามีสิทธิที่จะขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยร่วมเจ้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้ได้ไม่แต่เป็นกรณีที่จำเลยและจำเลยร่วมชอบที่จะต้องนำปัญหาดังกล่าวไปฟ้องร้องเป็นคดีใหม่โดยตั้งประเด็นพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินตามกรอบสีเขียวโดยเฉพาะต่อไปการที่ศาลชั้นต้นหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีและศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยในประเด็นที่เกี่ยวกับสิทธิในที่ดินตามกรอบสีเขียวระหว่างจำเลยทั้งสองกับจำเลยร่วมนอกเหนือจากเรื่องทางภารจำยอมมาด้วยนั้นจึงเป็นการไม่ชอบปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องอำนาจฟ้องอันเป็นปัญหาที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)ประกอบมาตรา246,247และให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่วินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่ดินตามกรอบสีเขียวในแผนที่พิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองกับจำเลยร่วมยกฎีกาจำเลยร่วมแต่ไม่ตัดสิทธิจำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมที่จะไปฟ้องร้องกันใหม่ในเรื่องเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่ดินตามกรอบสีเขียวในแผนที่พิพาทต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1114/2540 เวอร์ชัน 5 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตอำนาจฟ้อง: ข้อพิพาททางภาระจำยอมแยกจากข้อพิพาทกรรมสิทธิ์ที่ดิน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางพิพาทซึ่งอยู่ในที่ดินของจำเลยอ้างว่าเป็นทางภาระจำยอม จำเลยให้การว่าทางพิพาทดังกล่าวมิใช่ทางภาระจำยอมจึงเป็นกรณีที่โจทก์จำเลยพิพาทกันเฉพาะทางพิพาทว่าเป็นทางภาระจำยอมหรือไม่เท่านั้น แม้ฟ้องโจทก์จะอ้างว่าทางพิพาทอยู่ในที่ดินของจำเลยและจำเลยได้นำชี้อ้างว่าทางพิพาทอยู่ในเขตที่ดินของจำเลย ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์และจำเลยมีข้อพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าวนอกเหนือจากเรื่องทางภาระจำยอมไปด้วยแต่อย่างใดไม่ การที่จำเลยนำชี้เขตที่ดินในการทำแผนที่พิพาทว่าที่ดินตามกรอบสีแดงในแผนที่พิพาทเป็นของตน และจำเลยร่วมคัดค้านว่าที่ดินตามกรอบสีเขียวในแผนที่พิพาทเป็นของจำเลยร่วม ก็เป็นกรณีที่จำเลยร่วมถูกโต้แย้งสิทธิในความเป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งมิได้เป็นข้อพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยในคดีนี้ด้วยโจทก์จึงหามีสิทธิที่จะขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้ได้ไม่แต่เป็นกรณีที่จำเลยและจำเลยร่วมชอบที่จะต้องนำปัญหาดังกล่าวไปฟ้องร้องเป็นคดีใหม่โดยตั้งประเด็นพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินตามกรอบสีเขียวโดยเฉพาะต่อไป การที่ศาลชั้นต้นหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีและศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยในประเด็นที่เกี่ยวกับสิทธิในที่ดินตามกรอบสีเขียวระหว่างจำเลยทั้งสองกับจำเลยร่วมนอกเหนือจากเรื่องทางภาระจำยอมมาด้วยนั้น จึงเป็นการไม่ชอบปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องอำนาจฟ้องอันเป็นปัญหาที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามป.วิ.พ.มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246, 247 และให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่วินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่ดินตามกรอบสีเขียวในแผนที่พิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองกับจำเลยร่วม ยกฎีกาจำเลยร่วม แต่ไม่ตัดสิทธิจำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมที่จะไปฟ้องร้องกันใหม่ในเรื่องเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่ดินตามกรอบสีเขียวในแผนที่พิพาทต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1114/2540 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องจำกัดเฉพาะประเด็นทางภารจำยอม ศาลไม่ควรวินิจฉัยสิทธิครอบครองที่ดินเกินกว่าที่คู่ความพิพาทกัน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางพิพาทในที่ดินของจำเลยอ้างว่าเป็นทางภารจำยอม จำเลยให้การว่ามิใช่ทางภารจำยอมจึงพิพาทกันเฉพาะทางพิพาทว่าเป็นทางภารจำยอมหรือไม่ไม่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินด้วย การที่จำเลยนำชี้ในการทำแผนที่พิพาทว่าที่ดินตามกรอบสีแดงเป็นของตนและจำเลยร่วมคัดค้านว่าที่ดินตามกรอบสีเขียวเป็นของจำเลยร่วมก็เป็นกรณีที่จำเลยร่วมถูกโต้แย้งสิทธิในความเป็นเจ้าของที่ดินซึ่งมิได้เป็นข้อพิพาท โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดี จำเลยและจำเลยร่วมต้องไปฟ้องร้องเป็นคดีใหม่เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามกรอบสีเขียวต่อไป การที่ศาลชั้นต้นหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีและวินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินตามกรอบสีเขียวระหว่างจำเลยกับจำเลยร่วมนอกเหนือจากเรื่องทางภารจำยอมด้วยจึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 859/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดประเด็นข้อพิพาทในคดีหย่าและการวินิจฉัยของศาล
ตามประเด็นแรกที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่า โจทก์ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจให้จำเลยอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องนาง ย.เป็นภรรยาหรือไม่อันจะนำมาพิจารณาเป็นเหตุหย่าตาม ป.พ.พ.มาตรา 1516 (1) ประเด็นดังกล่าวโจทก์จำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านจนกระทั่งได้มีการสืบพยานเสร็จแล้วประเด็นที่ศาลชั้นต้นตั้งไว้แต่แรกดังกล่าวจึงชอบแล้ว การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นขึ้นใหม่ว่า โจทก์มีเหตุฟ้องหย่าจำเลยได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1516หรือไม่ ประเด็นที่กำหนดใหม่นี้ได้รวมถึงเหตุหย่าทุกข้อตามมาตรา 1516 และครอบคลุมไปถึงประเด็นเดิมด้วย ทั้งจำเลยก็ได้อุทธรณ์ในประเด็นดังกล่าวดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไปตามประเด็นที่กำหนดไว้จากข้อเท็จจริงในสำนวนโดยโจทก์มิได้โต้แย้งข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าไม่ชอบอย่างไร คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงชอบแล้ว