คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วิรัตน์ ลัทธิวงศกร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 554 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6875/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการอนุญาตถอนฟ้องและการสิ้นสุดผลการอายัดที่ดินตาม ป.ที่ดิน
การที่ศาลจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้โจทก์ถอนคำฟ้องภายหลังที่จำเลยยื่นคำให้การแล้ว ป.วิ.พ.มาตรา 175 วรรคสอง เพียงให้ศาลต้องฟังคำแถลงของจำเลยก่อน จากนั้นเป็นอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะใช้ดุลพินิจว่าจะสมควรอนุญาตหรือไม่ แม้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 คัดค้านว่า การที่จำเลยที่ 4 ไปตกลงกับโจทก์อาจทำให้จำเลยที่ 4 ฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 โดยจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3ไม่มีส่วนรับรู้ข้อตกลงด้วย และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จะต้องรับผิดชอบต่อจำเลยที่ 4ด้วยหรือไม่ก็ตาม เป็นอีกกรณีหนึ่งตามมูลความแห่งคดีเดิม ทั้งการที่โจทก์ขอถอนฟ้องเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย นอกจากนี้ศาลจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องก็เป็นอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะใช้ดุลพินิจตามลักษณะของคดี เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและสั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความแล้วจึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่ชอบ
โจทก์ขออายัดที่ดินของจำเลยไว้ก่อนโจทก์ฟ้องคดีและเจ้าพนักงานที่ดินได้รับอายัดไว้แล้ว ต่อมาโจทก์ได้ฟ้องคดีนี้ภายในกำหนด 60 วัน ซึ่งตาม ป.ที่ดินมาตรา 83 วรรคสอง ให้ถือว่าการอายัดมีผลต่อไปจนกว่าศาลจะสั่งให้ถอนการอายัดหรือมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุด คำขออายัดที่ดินของโจทก์จึงมีผลตั้งแต่วันที่เจ้าพนักงานที่ดินได้รับอายัด เมื่อศาลชั้นต้นได้รับคำฟ้องแล้วและโจทก์ได้นำสำเนาคำฟ้องมาแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดิน คำสั่งดังกล่าวของเจ้าพนักงานที่ดินย่อมมีผลต่อเนื่องไปจนกว่าศาลจะสั่งให้ถอนการอายัด หรือถ้าไม่มีคำสั่งให้ถอนการอายัดก็มีผลไปจนกว่าศาลมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งถึงที่สุด
ป.ที่ดิน มาตรา 83 มีความมุ่งหมายเพื่อจะคุ้มครองประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียในที่ดินอันเป็นการตัดสิทธิของเจ้าของที่ดินไว้ชั่วกำหนดระยะเวลาหนึ่งจนกว่าศาลจะมีคำสั่งหรือจะมีคำวินิจฉัยคดีอันเป็นปัญหาเกี่ยวกับที่ดินแปลงนั้นแล้วก็เพื่อรักษาประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียหรือของผู้ขออายัดและเจ้าของที่ดิน การสิ้นผลของการอายัดตามมาตรา 83 วรรคสอง เป็นเจตนารมณ์ของการอายัดที่ดินตาม ป.ที่ดินจึงใช้ถ้อยคำว่าจนกว่าศาลจะมีคำสั่งให้ถอนการอายัด หรือมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุด ดังนั้น การอายัดที่ดินจะสิ้นสุดลงได้ก็ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งเท่านั้นจึงหาต้องให้คดีถึงที่สุดเสียก่อนไม่ เมื่อศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจสั่งให้ถอนการอายัดที่ดินตามที่โจทก์กับจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินขอให้เพิกถอนการอายัด คำสั่งของศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6706/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตความหมาย 'ทรัพย์ของบริษัท' ในข้อบังคับบริษัท – การยักยอกทรัพย์
ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่กำหนดความผิดวินัยอย่างร้ายแรงคือ ลักทรัพย์หรือยักยอกทรัพย์ของบริษัทหรือของเพื่อนร่วมงานในบริเวณบริษัท... คำว่า "บริษัท" มิได้หมายถึงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ของบริษัทแต่เพียงอย่างเดียว แต่หมายความรวมถึงทรัพย์ที่บริษัทครอบครองดูแลรับผิดชอบอยู่ด้วย เมื่อปรากฏว่า ของขวัญนาฬิกาตั้งโต๊ะที่โจทก์เบียดบังเอาไปเป็นของผู้ที่นำมามอบให้แก่บริษัท ข. ขณะที่ของขวัญนั้นอยู่ในความครอบคองดูแลและรับผิดชอบของจำเลย และจำเลยมอบให้โจทก์ครอบครองดูแลแทน ซึ่งจำเลยจะต้องนำของขวัญดังกล่าวไปมอบให้บริษัท ข. กรณีถือได้ว่า โจทก์ได้ยักยอกทรัพย์ของจำเลยไปตามข้อบังคับดังกล่าวอันเป็นการกระทำผิดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานข้อดังกล่าวของจำเลยในกรณีร้ายแรงแล้ว แต่กรณีมิใช่เป็นการยักยอกทรัพย์ของเพื่อนร่วมงานในบริเวณบริษัทของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6706/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างฐานยักยอกทรัพย์: ขอบเขตคำว่า 'บริษัท' ในข้อบังคับบริษัท
ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่กำหนดความผิดวินัยอย่างร้ายแรงคือ ลักทรัพย์หรือยักยอกทรัพย์ของบริษัทหรือของเพื่อนร่วมงานในบริเวณบริษัท คำว่า"บริษัท" มิได้หมายถึงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ของบริษัทแต่เพียงอย่างเดียว แต่หมายความรวมถึงทรัพย์ที่บริษัทครอบครองดูแลรับผิดชอบอยู่ด้วย เมื่อปรากฏว่า ของขวัญนาฬิกาตั้งโต๊ะที่โจทก์เบียดบังเอาไปเป็นของผู้ที่นำมามอบให้แก่บริษัท ข. ขณะที่ของขวัญนั้นอยู่ในความครอบครองดูแลและรับผิดชอบของจำเลย และจำเลยมอบให้โจทก์ครอบครองดูแลแทน ซึ่งจำเลยจะต้องนำของขวัญ ดังกล่าวไปมอบให้บริษัท ข. กรณีถือได้ว่า โจทก์ได้ยักยอกทรัพย์ของจำเลยไปตามข้อบังคับดังกล่าวอันเป็นการกระทำผิดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานข้อดังกล่าวของจำเลยในกรณีร้ายแรงแล้ว แต่กรณีมิใช่เป็นการยักยอกทรัพย์ของเพื่อนร่วมงานในบริเวณบริษัทของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6666/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท: การโอนมรดกโดยเสน่หา vs. การครอบครองเพื่อตนเอง
เดิมที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดิน น.ส.3 ก. เป็นทรัพย์สินของ ส.ซึ่งเป็นบุตรของม.ที่เกิดกับสามีคนเดิม ส่วนโจทก์เป็นบุตรของม.กับสามีคนใหม่จำเลยที่ 1 เป็นบุตรของอ.กับ สามีเดิมของม. จำเลยที่ 2 และที่ 3เป็นบุตรของจำเลยที่ 1ส.ถึงแก่ความตายโดยไม่มีบุตรและภริยา และศาลมีคำสั่งตั้งม.เป็นผู้จัดการมรดกของส. ม.ได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์โดยเสน่หาเมื่อปรากฏว่า ส. ยกที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1การมีชื่อใน น.ส.3 ก. ของโจทก์โดยรับโอนให้มาโดยเสน่หาจาก ม. ผู้จัดการมรดกของส. แต่มิได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน ซึ่งต่างกับจำเลยที่ 1 ที่ได้ยึดถือที่ดินที่ได้รับการยกให้โดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน จำเลยที่ 1จึงได้ไปซึ่งสิทธิครอบครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 และมาตรา 1369การกระทำของจำเลยทั้งสามที่ตัดฟันต้นยางพารา ซึ่งเป็น ไม้ยืนต้นซึ่งเป็นส่วนควบกับที่ดินของจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 145 จึงหาเป็นการละเมิดต่อโจทก์ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6598/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกสัญญาก่อสร้างที่ไม่ชอบ การกำหนดระยะเวลาสัญญา และสิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหาย
แม้การดำเนินการก่อสร้างของโจทก์ล่าช้า คนงานน้อย เครื่องมือไม่ทันสมัย ไม่สามารถก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามสัญญา แต่สัญญาว่าจ้างฉบับพิพาทระบุเพียงว่า ผู้รับจ้างจะทำการก่อสร้างให้อยู่ภายในสัญญาจะเกินสัญญาไม่ได้เท่านั้น สัญญาว่าจ้างมิได้กำหนดระยะเวลาก่อสร้างไว้ชัดแจ้ง ทั้งโจทก์ก็ประสงค์จะทำงานต่อไปหากจำเลยเห็นว่าโจทก์ทำงานล่าช้ามาก จะเกิดความเสียหาย จำเลยทั้งสองจะเลิกสัญญาได้ก็ต้องบอกกล่าวกำหนดระยะเวลาพอสมควรให้โจทก์ปฏิบัติเสียก่อน ตามป.พ.พ.มาตรา 387 แต่จำเลยมิได้กระทำ แต่จำเลยกลับให้โจทก์หยุดดำเนินการก่อสร้างทันที และว่าจ้างบุคคลอื่นทำการก่อสร้างแทนโจทก์ ดังนี้ การที่จำเลยบอกเลิกสัญญาต่อโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าวย่อมเป็นการใช้สิทธิในการเลิกสัญญาโดยไม่ชอบ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เพื่อความเสียหายใด ๆอันเกิดจากการเลิกสัญญาตามมาตรา 605

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6598/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกสัญญาก่อสร้างโดยไม่ชอบ ผู้รับจ้างมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย
แม้การดำเนินการก่อสร้างของโจทก์ล่าช้า คนงานน้อยเครื่องมือไม่ทันสมัย ไม่สามารถก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามสัญญาแต่สัญญาว่าจ้างฉบับพิพาทระบุเพียงว่า ผู้รับจ้างจะทำการก่อสร้างให้อยู่ภายในสัญญาจะเกินสัญญาไม่ได้เท่านั้นสัญญาว่าจ้างมิได้กำหนดระยะเวลาก่อสร้างไว้ชัดแจ้งทั้งโจทก์ก็ประสงค์จะทำงานต่อไปหากจำเลยเห็นว่าโจทก์ทำงานล่าช้ามาก จะเกิดความเสียหาย จำเลยทั้งสองจะเลิกสัญญาได้ก็ต้องบอกกล่าวกำหนดระยะเวลาพอสมควรให้โจทก์ปฏิบัติเสียก่อน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 แต่จำเลยมิได้กระทำ แต่จำเลยกลับให้โจทก์หยุดดำเนินการ ก่อสร้างทันที และว่าจ้างบุคคลอื่นทำการก่อสร้างแทนโจทก์ ดังนี้ การที่จำเลยบอกเลิกสัญญาต่อโจทก์ด้วยเหตุ ดังกล่าวย่อมเป็นการใช้สิทธิในการเลิกสัญญาโดยไม่ชอบ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เพื่อความเสียหายใด ๆ อันเกิดจากการเลิกสัญญาตามมาตรา 605

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6433/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบการชำระหนี้เงินกู้และการคืนหลักประกัน แม้หลักฐานสูญหาย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินไปจากโจทก์ แม้จำเลยให้การรับว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ตามฟ้องไป 3 ครั้ง แต่จำเลยก็ให้การว่า จำเลยได้ชำระเงินกู้ยืมดังกล่าวแก่โจทก์ครบถ้วนแล้วและโจทก์ได้คืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) ของจำเลยที่มอบให้โจทก์ยึดไว้เป็นประกันเงินกู้แก่จำเลย ดังนี้จำเลยย่อมนำสืบได้ว่า จำเลยได้ชำระเงินกู้ยืมดังกล่าวแก่โจทก์ และโจทก์ได้คืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่โจทก์ยึดไว้เป็นประกันเงินกู้ให้จำเลยกับโจทก์ได้ทำหลักฐานการรับชำระหนี้เงินกู้ยืมดังกล่าวให้จำเลยไว้ แต่หลักฐานดังกล่าวสูญหายไป ซึ่งเป็นการนำสืบถึงรายละเอียดเกี่ยวกับที่มาของหลักฐานการชำระหนี้เป็นอย่างไร และเมื่อหลักฐานการชำระหนี้ดังกล่าวสูญหายจำเลยย่อมนำสืบพยานบุคคลได้ตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.มาตรา 93 (2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6433/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้เงินกู้และการนำสืบหลักฐานการชำระหนี้ที่สูญหาย ศาลอนุญาตให้สืบพยานบุคคลได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินไปจากโจทก์ แม้จำเลยให้การรับว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ตามฟ้องไป 3 ครั้งแต่จำเลยก็ให้การว่า จำเลยได้ชำระเงินกู้ยืมดังกล่าวแก่โจทก์ครบถ้วนแล้วและโจทก์ได้คืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ของจำเลยที่มอบให้โจทก์ยึดไว้เป็นประกัน เงินกู้แก่จำเลย ดังนี้ จำเลยย่อมนำสืบได้ว่า จำเลยได้ชำระเงินกู้ยืมดังกล่าวแก่โจทก์ และโจทก์ ได้คืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่โจทก์ยึด ไว้เป็นประกันเงินกู้ให้จำเลยกับโจทก์ได้ทำหลักฐาน การรับชำระหนี้เงินกู้ยืมดังกล่าวให้จำเลยไว้ แต่หลักฐานดังกล่าวสูญหายไป ซึ่งเป็นการนำสืบถึงรายละเอียด เกี่ยวกับที่มาของหลักฐานการชำระหนี้เป็นอย่างไร และเมื่อหลักฐานการชำระหนี้ดังกล่าวสูญหายจำเลยย่อมนำสืบพยานบุคคลได้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6262/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษทางวินัยของลูกจ้าง: การตัดค่าจ้างต้องได้รับอนุญาตจากศาลแรงงาน การกระทำผิดซ้ำมีเหตุผลในการลงโทษ
พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 52กำหนดห้ามมิให้นายจ้าง เลิกจ้าง ลดค่าจ้าง ลงโทษกรรมการลูกจ้าง เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาลแรงงานการที่ผู้ร้องลงโทษตัดค่าจ้างผู้คัดค้านในกรณีที่ผู้คัดค้านกระทำผิดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเข้าปฏิบัติงานตามหน้าที่สาย 4 ครั้ง โดยไม่ได้ขออนุญาตต่อศาลแรงงานก่อน ย่อมเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติ ดังกล่าว ไม่มีผลเป็นการลงโทษผู้คัดค้านตามกฎหมาย เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขออนุญาตต่อศาลแรงงานกลาง เลิกจ้างผู้คัดค้านด้วยเหตุกระทำผิดระเบียบข้อบังคับดังกล่าว จึงไม่เป็นการลงโทษ 2 ครั้ง ในการกระทำความผิด ครั้งเดียวกัน ผู้ร้องยังคงมีสิทธิขออนุญาตต่อศาลแรงงานกลาง ลงโทษผู้คัดค้านได้ และการที่ผู้คัดค้านเคยถูกว่ากล่าว ตักเตือนเป็นหนังสือเรื่องการเข้าปฏิบัติหน้าที่สาย มาก่อนแต่กลับมากระทำผิดซ้ำคำเตือนอีก 4 ครั้ง ถือได้ว่าเป็นกรณีมีเหตุอันสมควรอนุญาตให้ผู้ร้อง ลงโทษผู้คัดค้านได้ แต่การกระทำความผิดดังกล่าวผู้ร้องเคยแสดงเจตนาลงโทษผู้คัดค้านเพียงตัดค่าจ้างเท่านั้นจึงเห็นควรอนุญาตให้ผู้ร้องลงโทษผู้คัดค้านเพียงตัดค่าจ้างเท่าที่ผู้ร้องได้ตัดค่าจ้างผู้คัดค้านไปแล้ว โดยให้คืนค่าจ้างที่ตัดไปโดยมิชอบแก่ผู้คัดค้านก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6262/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษกรรมการลูกจ้าง กรณีฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับ – ศาลอนุญาตลงโทษตัดค่าจ้างตามเจตนาเดิม
ผู้ร้องลงโทษตัดค่าจ้างผู้คัดค้านในกรณีที่ผู้คัดค้านซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างประจำบริษัทผู้ร้องกระทำผิดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน เนื่องจากเข้าปฏิบัติงานตามหน้าที่สาย โดยผู้ร้องไม่ได้ขออนุญาตต่อศาลแรงงานก่อน เป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 52 ย่อมไม่มีผลเป็นการลงโทษผู้คัดค้านตามกฎหมาย การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านเป็นคดีนี้อีกจึงไม่เป็นการขอให้ลงโทษผู้คัดค้าน 2 ครั้ง ในการกระทำความผิดครั้งเดียวกัน ผู้ร้องย่อมมีสิทธิขออนุญาตต่อศาลแรงงานลงโทษผู้คัดค้านได้เป็นคดีนี้ได้
ในระหว่างที่หนังสือเตือน เรื่องผู้คัดค้านกระทำความผิดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานที่เข้าปฏิบัติหน้าที่สายมีผลใช้บังคับ ผู้คัดค้านได้กระทำผิดซ้ำคำเตือน โดยเข้าปฏิบัติหน้าที่สายอีก 4 ครั้ง ถือได้ว่าเป็นกรณีมีเหตุอันสมควรอนุญาตให้ผู้ร้องลงโทษผู้คัดค้านได้ แต่พฤติการณ์การกระทำความผิดของผู้คัดค้านดังกล่าวผู้ร้องเคยแสดงเจตนาลงโทษผู้คัดค้านเพียงตัดค่าจ้าง ศาลฎีกาจึงเห็นควรอนุญาตให้ผู้ร้องลงโทษผู้คัดค้านเพียงตัดค่าจ้างเท่าที่ผู้ร้องได้ตัดค่าจ้างผู้คัดค้านไปแล้ว
of 56