พบผลลัพธ์ทั้งหมด 359 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: การติชมด้วยความเป็นธรรม vs. ใส่ความเพื่อทำลายชื่อเสียง และขอบเขตการลงโทษ
จำเลยที่ 1 เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา หนังสือพิมพ์รายวัน ข. จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคล ประเภทบริษัทจำกัด เป็นเจ้าของและผู้จำหน่าย หนังสือพิมพ์รายวัน ข. แก่ประชาชนทั่วไป จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันพิมพ์และโฆษณาข้อความลงในหนังสือพิมพ์ ข. ในคอลัมน์ บันเทิงว่า "จิกจักรวาล!หึ่งปุ๋ยโอเค.นู้ด!5 ล้าน.!" มีใจความในเนื้อข่าวว่า "กระแสคลั่งนู้ดโหมหนักไม่เว้นกระทั่งนางงามจักรวาล"ปุ๋ย" ภ.ปุ๋ยยกตำแหน่งหรูการันตีขูดค่าแก้ผ้า 5 ล้านทางนิตยสาร "มิส"นู้ดอัลบัมได้ส่งตัวแทนไปทาบทาม "ปุ๋ย" ภ.นางสาวไทยและนางงามจักรวาล ปี 2531เพื่อมาถ่ายอัลบัม ด้วย แต่ปรากฏว่าทางปุ๋ย เรียกค่าตัวเพื่อการนี้สูงถึง 5,000,000 บาท จึงจะยอมถ่ายอย่างตอนนี้มิสไปติดต่อปุ๋ยใช่ไหมปุ๋ยโอเค. แต่เงินไม่ถึงก็คอยดูต่อไปแล้วกัน เดี๋ยว เล่มอื่นก็เอาไปถ่ายจนได้เงินแค่ 5,000,000 บาท ถ้าจะทำกันจริง ๆ ต้องมีคนกล้าเสี่ยงแน่นอน" โดยข้อความที่จำเลยที่ 1 ลงพิมพ์โฆษณา จำเลยที่ 1 มิได้อ้างถึงข้อความจริงอันใด เลยในการแสดงความคิดเห็นเช่นนั้น ทั้งไม่ได้มีข้อความที่แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยที่ 1 ที่จะปกป้องโจทก์แต่กลับเป็นการแสดงเจตนาชัดแจ้งว่า จำเลยที่ 1มุ่งประสงค์ใส่ความเพื่อทำลายชื่อเสียงของโจทก์ทำให้ผู้ที่ไม่ทราบความจริงเกิดเข้าใจผิด ดูหมิ่นเกลียดชัง โจทก์อันส่งผลกระทบต่อเกียรติ และสถานะในทางสังคมของโจทก์หาใช่เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรมอัน เป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำไม่จึงเป็นการใส่ความ หมิ่นประมาทโจทก์ จำเลยที่ 1 ย่อมไม่ได้รับการยกเว้น ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 332(2) บัญญัติว่าในคดีหมิ่นประมาทซึ่งมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดศาลอาจสั่งให้โฆษณาคำพิพากษาทั้งหมด หรือแต่ บางส่วนในหนังสือพิมพ์หนึ่งฉบับหรือหลายฉบับ ครั้งเดียว หรือหลายครั้ง โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา เห็นได้ว่า ให้อำนาจศาลสั่งให้โฆษณาคำพิพากษาเท่านั้น มิได้มีกฎหมายให้อำนาจศาลสั่งให้โฆษณาคำขออภัยด้วย การที่ศาลล่างทั้งสองสั่งให้จำเลยที่ 1 โฆษณาคำขออภัย ต่อโจทก์ด้วย จึงเป็นการลงโทษจำเลยที่ 1 นอกเหนือ จากโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมายต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคหนึ่ง จึงไม่ชอบ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้จำหน่ายหนังสือพิมพ์รายวัน ข. ที่จำเลยที่เป็นบรรณาธิการ ผู้พิมพ์โฆษณา เป็นผู้ใส่ความ โจทก์หรือมีส่วนร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิด หรือรู้ว่าข้อความที่ตีพิมพ์เป็นข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ ลำพังแต่เพียงได้ความว่าจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของ และผู้จำหน่ายหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวให้แก่ประชาชนทั่วไป ไม่เพียงพอรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 3 เดือนและปรับ 50,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษ ไว้มีกำหนด 2 ปี เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนในส่วนนี้ จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ขอให้ลงโทษสถานเบาเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์อันเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกา ของจำเลยที่ 1 ในข้อนี้จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: การติชมด้วยความสุจริต vs. ใส่ความทำลายชื่อเสียง และขอบเขตการโฆษณาคำพิพากษา
ข้อความที่จำเลยที่ 1 ลงพิมพ์โฆษณาว่าโจทก์เรียกเงิน 5 ล้าน ในการถ่ายภาพนู้ด นั้น จำเลยที่ 1 มิได้อ้างถึงข้อความ จริงอันใดเลยในการแสดงความคิดเห็นเช่นนั้น ทั้งไม่มีข้อความ ที่แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยที่ 1 ที่จะปกป้องโจทก์ แต่กลับ เป็นการแสดงเจตนาชัดแจ้งว่า จำเลยที่ 1 มุ่งประสงค์ใส่ความ เพื่อทำลายชื่อเสียงของโจทก์ ทำให้ผู้ที่ไม่ทราบความจริง เข้าใจผิด ดูหมิ่น เกลียดชังโจทก์ อันส่งผลกระทบต่อเกียรติยศและสถานะในทางสังคมของโจทก์หาใช่เป็นการติ ชมด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำไม่ จึงเป็นการใส่ความ หมิ่นประมาทโจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่ได้รับการยกเว้นความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 การที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 332 กำหนดให้คดี หมิ่นประมาทซึ่งมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ศาลอาจสั่ง (2) ให้โฆษณาคำพิพากษาทั้งหมด หรือแต่บางส่วนในหนังสือพิมพ์ หนึ่งฉบับหรือหลายฉบับ ครั้งเดียวหรือหลายครั้ง โดยให้จำเลย เป็นผู้ชำระค่าโฆษณานั้นเป็นการให้อำนาจศาลสั่งให้โฆษณา คำพิพากษาเท่านั้น มิได้มีกฎหมายให้อำนาจศาลสั่งให้โฆษณา คำขออภัยด้วย ฉะนั้น การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 1 โฆษณาคำขออภัยด้วย จึงเป็นการลงโทษจำเลยที่ 1 นอกเหนือจากโทษ ที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคหนึ่ง ทั้งการที่สั่งให้จำเลยที่ 1 โฆษณาคำพิพากษา ของศาลทั้งหมดนั้นก็เกินความจำเป็น สมควรให้จำเลยที่ 1 โฆษณาคำพิพากษาของศาลโดยย่อพอได้ใจความ โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่า บริษัท ข.จำเลยที่ 2 เป็นผู้ใส่ความโจทก์หรือมีส่วนร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการกระทำ ความผิดหรือรู้ว่าข้อความที่ตีพิมพ์เป็นข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ ดังนั้น ลำพังแต่เพียงได้ความว่า จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของและ จำหน่ายหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวให้แก่ประชาชนทั่วไป จึงไม่พอรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: ศาลจำกัดอำนาจการสั่งให้ขอโทษ และวินิจฉัยความรับผิดของเจ้าของหนังสือพิมพ์
จำเลยที่ 1 เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์รายวันข. จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เป็นเจ้าของและผู้จำหน่ายหนังสือพิมพ์รายวัน ข.แก่ประชาชนทั่วไป จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันพิมพ์และโฆษณาข้อความลงในหนังสือพิมพ์ ข. ในคอลัมน์บันเทิงว่า "จิกจักรวาล! หึ่ง ปุ๋ย โอเค.นู้ด! 5 ล้าน.!"มีใจความในเนื้อข่าวว่า "กระแสคลั่งนู้ดโหมหนัก ไม่เว้นกระทั่งนางงามจักรวาล"ปุ๋ย" ภ.... ปุ๋ยยกตำแหน่งหรูการันตีขูดค่าแก้ผ้า 5 ล้าน ทางนิตยสาร "มิส"นู้ดอัลบัมได้ส่งตัวแทนไปทาบทาม "ปุ๋ย" ภ.นางสาวไทยและนางงามจักรวาลปี 2531เพื่อมาถ่ายอัลบัมด้วย แต่ปรากฎว่าทางปุ๋ยเรียกค่าตัวเพื่อการนี้สูงถึง 5,000,000บาท จึงจะยอมถ่าย... อย่างตอนนี้มิสไปติดต่อปุ๋ยใช่ไหม ปุ๋ยโอเค. แต่เงินไม่ถึงก็คอยดูต่อไปแล้วกัน เดี๋ยวเล่มอื่นก็เอาไปถ่ายจนได้ เงินแค่ 5,000,000 บาทถ้าจะทำกันจริง ๆ ต้องมีคนกล้าเสี่ยงแน่นอน" โดยข้อความที่จำเลยที่ 1 ลงพิมพ์โฆษณา จำเลยที่ 1 มิได้อ้างถึงข้อความจริงอันใดเลยในการแสดงความคิดเห็นเช่นนั้น ทั้งไม่ได้มีข้อความที่แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยที่ 1 ที่จะปกป้องโจทก์แต่กลับเป็นการแสดงเจตนาชัดแจ้งว่า จำเลยที่ 1 มุ่งประสงค์ใส่ความเพื่อทำลายชื่อเสียงของโจทก์ ทำให้ผู้ที่ไม่ทราบความจริงเกิดเข้าใจผิด ดูหมิ่นเกลียดชังโจทก์อันส่งผลกระทบต่อเกียรติและสถานะในทางสังคมของโจทก์หาใช่เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำไม่จึงเป็นการใส่ความหมิ่นประมาทโจทก์ จำเลยที่ 1 ย่อมไม่ได้รับการยกเว้นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 329
ตาม ป.อ.มาตรา 332 (2) บัญญัติว่า ในคดีหมิ่นประมาทซึ่งมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ศาลอาจสั่งให้โฆษณาคำพิพากษาทั้งหมด หรือแต่บางส่วนในหนังสือพิมพ์หนึ่งฉบับหรือหลายฉบับ ครั้งเดียวหรือหลายครั้ง โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา เห็นได้ว่าให้อำนาจศาลสั่งให้โฆษณาคำพิพากษาเท่านั้น มิได้มีกฎหมายให้อำนาจศาลสั่งให้โฆษณาคำขออภัยด้วย การที่ศาลล่างทั้งสองสั่งให้จำเลยที่ 1 โฆษณาคำขออภัยต่อโจทก์ด้วย จึงเป็นการลงโทษจำเลยที่ 1 นอกเหนือจากโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมายต้องห้ามตาม ป.อ.มาตรา 2 วรรคหนึ่ง จึงไม่ชอบ
เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้จำหน่ายหนังสือพิมพ์รายวัน ข. ที่จำเลยที่เป็นบรรณาธิการ ผู้พิมพ์โฆษณา เป็นผู้ใส่ความโจทก์หรือมีส่วนร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดหรือรู้ว่าข้อความที่ตีพิมพ์เป็นข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ ลำพังแต่เพียงได้ความว่าจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของและผู้จำหน่ายหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวให้แก่ประชาชนทั่วไป ไม่เพียงพอรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 3 เดือน และปรับ 50,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนในส่วนนี้ จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ขอให้ลงโทษสถานเบา เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ อันเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1ในข้อนี้จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ตาม ป.อ.มาตรา 332 (2) บัญญัติว่า ในคดีหมิ่นประมาทซึ่งมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ศาลอาจสั่งให้โฆษณาคำพิพากษาทั้งหมด หรือแต่บางส่วนในหนังสือพิมพ์หนึ่งฉบับหรือหลายฉบับ ครั้งเดียวหรือหลายครั้ง โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา เห็นได้ว่าให้อำนาจศาลสั่งให้โฆษณาคำพิพากษาเท่านั้น มิได้มีกฎหมายให้อำนาจศาลสั่งให้โฆษณาคำขออภัยด้วย การที่ศาลล่างทั้งสองสั่งให้จำเลยที่ 1 โฆษณาคำขออภัยต่อโจทก์ด้วย จึงเป็นการลงโทษจำเลยที่ 1 นอกเหนือจากโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมายต้องห้ามตาม ป.อ.มาตรา 2 วรรคหนึ่ง จึงไม่ชอบ
เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้จำหน่ายหนังสือพิมพ์รายวัน ข. ที่จำเลยที่เป็นบรรณาธิการ ผู้พิมพ์โฆษณา เป็นผู้ใส่ความโจทก์หรือมีส่วนร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดหรือรู้ว่าข้อความที่ตีพิมพ์เป็นข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ ลำพังแต่เพียงได้ความว่าจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของและผู้จำหน่ายหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวให้แก่ประชาชนทั่วไป ไม่เพียงพอรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 3 เดือน และปรับ 50,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนในส่วนนี้ จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ขอให้ลงโทษสถานเบา เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ อันเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1ในข้อนี้จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7569/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คพิพาท-สัญญากู้-ยินยอมชำระหนี้: เช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้กู้ยืมที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ถือเป็นความผิดตามฟ้องเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน
การที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินโจทก์ร่วม แล้วจำเลยที่ 1 มอบเช็คพิพาทให้โจทก์ร่วม โดยปรากฏว่าวันสั่งจ่ายที่ลงในเช็คตรงกับวันที่ครบกำหนดชำระเงินตามสัญญากู้เงิน แสดงว่าขณะเช็คถึงกำหนดสั่งจ่ายซึ่งถือว่าเป็นวันออกเช็คนั้นมูลหนี้ตามเช็คดังกล่าวมีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือสามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้ตามกฎหมาย
เมื่อหนี้กู้ยืมอันเป็นมูลหนี้ตามเช็คพิพาทเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและสามารถฟ้องร้องบังคับได้ตามกฎหมาย การที่จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมดังกล่าวเท่ากับจำเลยที่ 2 ยินยอมชำระหนี้ดังกล่าวแล้ว แม้ว่าจำเลยที่ 2 จะไม่ได้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้ด้วยก็ตาม เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจำเลยที่ 2 ย่อมมีความผิดตามฟ้อง
เมื่อหนี้กู้ยืมอันเป็นมูลหนี้ตามเช็คพิพาทเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและสามารถฟ้องร้องบังคับได้ตามกฎหมาย การที่จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมดังกล่าวเท่ากับจำเลยที่ 2 ยินยอมชำระหนี้ดังกล่าวแล้ว แม้ว่าจำเลยที่ 2 จะไม่ได้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้ด้วยก็ตาม เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจำเลยที่ 2 ย่อมมีความผิดตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7569/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานออกเช็คเพื่อชำระหนี้กู้ยืม แม้ไม่ได้ลงนามในสัญญากู้ แต่ยินยอมชำระหนี้แล้ว
การที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินโจทก์ร่วมแล้วจำเลยที่ 1 มอบเช็คพิพาทให้โจทก์ร่วม โดยปรากฏว่าวันสั่งจ่ายที่ลงในเช็คตรงกับวันที่ครบกำหนดชำระเงินตาม สัญญากู้เงิน แสดงว่าขณะเช็คถึงกำหนดสั่งจ่ายซึ่งถือว่าเป็นวันออกเช็คนั้นมูลหนี้ตามเช็คดังกล่าวมีหลักฐาน การกู้ยืมเป็นหนังสือสามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้ตามกฎหมาย เมื่อหนี้กู้ยืมอันเป็นมูลหนี้ตามเช็คพิพาทเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและสามารถฟ้องร้องบังคับได้ตามกฎหมายการที่จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมดังกล่าวเท่ากับจำเลยที่ 2 ยินยอมชำระหนี้ดังกล่าวแล้ว แม้ว่าจำเลยที่ 2 จะไม่ได้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้ด้วยก็ตาม เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจำเลยที่ 2 ย่อมมีความผิดตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7437/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องสัญญาประกันจากพนักงานสอบสวน: เงินค่าปรับเป็นไปตามระเบียบราชการ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 136บัญญัติให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจในการที่จะปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาโดยมีประกันและหลักประกันด้วยก็ได้ และมาตรา 106(1)บัญญัติว่า คำร้องขอให้ปล่อยผู้ต้องหาชั่วคราวเมื่อผู้ต้องหาถูกควบคุมอยู่และยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาล ให้ยื่นต่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการแล้วแต่กรณี ดังนั้น ผู้ที่กฎหมายกำหนดให้มี อำนาจปล่อยชั่วคราวและทำสัญญาประกันในกรณีที่ผู้ต้องหายังอยู่ในอำนาจควบคุมของพนักงานสอบสวนคือพนักงานสอบสวนมิใช่กรมตำรวจ เมื่อจำเลยผิดสัญญาประกันย่อมเป็นการผิดสัญญาต่อพนักงานสอบสวนโดยตรง พนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาประกันได้ ทั้งอำนาจในการปล่อยชั่วคราวและทำสัญญาประกัน กฎหมายมอบให้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งพนักงานสอบสวน มิได้มอบอำนาจให้แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นการส่วนตัว เงินค่าปรับตามสัญญาประกันจึงต้องเป็นไปตามระเบียบของทางราชการมิได้ตกเป็นเงินส่วนตัวของร้อยตำรวจเอกป. การที่ร้อยตำรวจเอกป. ไม่อาจนำเงินดังกล่าวไปใช้ส่วนตัวได้มิได้แสดงว่าร้อยตำรวจเอกป.ในฐานะพนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจฟ้องผู้ผิดสัญญาประกันโจทก์ในฐานะพนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจฟ้องชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7299/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับบทลงโทษความผิดฐานไม่หยุดช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุ: ศาลอุทธรณ์ปรับบทลงโทษถูกต้อง ไม่ถือเป็นการรับฟังข้อเท็จจริงนอกคำวินิจฉัย
โจทก์บรรยายฟ้องสำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 78,160 ว่า จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ซึ่งขับโดยล. เป็นเหตุให้ ล. ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา แล้วจำเลยหลบหนีไปไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควรและไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที การที่จำเลยหลบหนีไปไม่ให้ความช่วยเหลือเป็นเหตุให้ ล. ถึงแก่ความตาย จำเลยให้การรับสารภาพ จึงต้องรับฟังข้อเท็จจริงว่าหลังจากจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ที่ ล. ขับ เป็นเหตุให้ ล. ได้รับบาดเจ็บแล้วจำเลยหลบหนีไปไม่ให้ความช่วยเหลือเป็นเหตุให้ ล. ถึงแก่ความตายตามที่โจทก์ฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 160 วรรคหนึ่ง จำคุก 4 เดือน สูงกว่าอัตราโทษจำคุกตามบทมาตราดังกล่าวจึงไม่ตรงกับข้อเท็จจริงตามฟ้อง กรณีเป็นเรื่องศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยไม่ถูกต้องแม้โจทก์มิได้อุทธรณ์ก็ตาม แต่การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็น ให้ลงโทษจำเลยฐานไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือเป็นเหตุให้บุคคลอื่นตายตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 160 วรรคสอง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นการปรับบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้อง มิใช่เป็นการรับฟังข้อเท็จจริงนอกเหนือจากคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 194
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7299/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับบทลงโทษความผิดฐานขับรถโดยประมาทและไม่หยุดให้ความช่วยเหลือ ศาลอุทธรณ์ปรับบทได้ถูกต้อง
โจทก์บรรยายฟ้องสำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 78,160 ว่า จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ซึ่งขับโดยล. เป็นเหตุให้ ล. ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา แล้วจำเลยหลบหนีไปไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควรและไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที การที่จำเลยหลบหนีไปไม่ให้ความช่วยเหลือเป็นเหตุให้ ล. ถึงแก่ความตาย จำเลยให้การรับสารภาพ จึงต้องรับฟังข้อเท็จจริงว่าหลังจากจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ที่ ล. ขับ เป็นเหตุให้ ล. ได้รับบาดเจ็บแล้วจำเลยหลบหนีไปไม่ให้ความช่วยเหลือเป็นเหตุให้ ล. ถึงแก่ความตายตามที่โจทก์ฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 160 วรรคหนึ่ง จำคุก 4 เดือน สูงกว่าอัตราโทษจำคุกตามบทมาตราดังกล่าวจึงไม่ตรงกับข้อเท็จจริงตามฟ้อง กรณีเป็นเรื่องศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยไม่ถูกต้องแม้โจทก์มิได้อุทธรณ์ก็ตาม แต่การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็น ให้ลงโทษจำเลยฐานไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือเป็นเหตุให้บุคคลอื่นตายตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 160 วรรคสอง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นการปรับบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้อง มิใช่เป็นการรับฟังข้อเท็จจริงนอกเหนือจากคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 194
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7299/2541 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับบทลงโทษคดีขับรถประมาทและหลบหนีไม่ให้ความช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ
ป.วิ.อ. มาตรา 176, 194, 195พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 160
โจทก์บรรยายฟ้องสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกพ.ศ.2522 มาตรา 78, 160 ว่า จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ซึ่งขับโดย ล.เป็นเหตุให้ ล.ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา แล้วจำเลยหลบหนีไปไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควรและไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที การที่จำเลยหลบหนีไปไม่ให้ความช่วยเหลือเป็นเหตุให้ ล.ถึงแก่ความตาย จำเลยให้การรับสารภาพ จึงต้องรับฟังข้อเท็จจริงว่าหลังจากจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ที่ ล.ขับ เป็นเหตุให้ ล.ได้รับบาดเจ็บแล้วจำเลยหลบหนีไปไม่ให้ความช่วยเหลือเป็นเหตุให้ ล.ถึงแก่ความตายตามที่โจทก์ฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 160 วรรคหนึ่ง จำคุก 4 เดือน สูงกว่าอัตราโทษจำคุกตามบทมาตราดังกล่าว จึงไม่ตรงกับข้อเท็จจริงตามฟ้อง กรณีเป็นเรื่องศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยไม่ถูกต้อง แม้โจทก์มิได้อุทธรณ์ก็ตาม แต่การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็น ให้ลงโทษจำเลยฐานไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือเป็นเหตุให้บุคคลอื่นตายตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 160 วรรคสองนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นการปรับบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้อง มิใช่เป็นการรับฟังข้อเท็จจริงนอกเหนือจากคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น จึงไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ.มาตรา 194
โจทก์บรรยายฟ้องสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกพ.ศ.2522 มาตรา 78, 160 ว่า จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ซึ่งขับโดย ล.เป็นเหตุให้ ล.ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา แล้วจำเลยหลบหนีไปไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควรและไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที การที่จำเลยหลบหนีไปไม่ให้ความช่วยเหลือเป็นเหตุให้ ล.ถึงแก่ความตาย จำเลยให้การรับสารภาพ จึงต้องรับฟังข้อเท็จจริงว่าหลังจากจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ที่ ล.ขับ เป็นเหตุให้ ล.ได้รับบาดเจ็บแล้วจำเลยหลบหนีไปไม่ให้ความช่วยเหลือเป็นเหตุให้ ล.ถึงแก่ความตายตามที่โจทก์ฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 160 วรรคหนึ่ง จำคุก 4 เดือน สูงกว่าอัตราโทษจำคุกตามบทมาตราดังกล่าว จึงไม่ตรงกับข้อเท็จจริงตามฟ้อง กรณีเป็นเรื่องศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยไม่ถูกต้อง แม้โจทก์มิได้อุทธรณ์ก็ตาม แต่การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็น ให้ลงโทษจำเลยฐานไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือเป็นเหตุให้บุคคลอื่นตายตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 160 วรรคสองนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นการปรับบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้อง มิใช่เป็นการรับฟังข้อเท็จจริงนอกเหนือจากคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น จึงไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ.มาตรา 194
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6987/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความมรดก: การครอบครองทรัพย์มรดกโดยไม่แจ้งเปลี่ยนลักษณะการยึดถือ ยังมีสิทธิเรียกร้องแบ่งมรดกได้ แม้พ้นอายุความ
โจทก์ที่ 4 เป็นภรรยาเจ้ามรดกมาก่อนประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 มีบุตรด้วยกัน4 คน คือ โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 และจำเลย เจ้ามรดกถึงแก่กรรมเมื่อปี 2503 โดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้ โจทก์ที่ 4และจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทสืบต่อมาหลังจากเจ้ามรดกถึงแก่กรรม จึงเป็นการครอบครองแทนทายาทอื่นด้วยเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้บอกกล่าวไปยังโจทก์ทั้งสี่ว่าจำเลยไม่มีเจตนายึดถือที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกแทนโจทก์ทั้งสี่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 การที่ จำเลยนำที่ดินพิพาทไปออก น.ส.3 ในนามของจำเลยแต่ผู้เดียว โดยมิได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยัง โจทก์ทั้งสี่ จึงถือได้ว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ทั้งสี่อยู่ต่อไป เมื่อโจทก์ทั้งสี่ครอบครองที่พิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกที่ยังมิได้แบ่งกัน โจทก์ทั้งสี่ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดก แม้ว่าจะล่วงพ้นกำหนดอายุความมรดกตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754บัญญัติไว้ ทั้งนี้เป็นไปตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1748 คดีจึง ไม่ขาดอายุความมรดก