คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
คงศักดิ์ วัชรคงศักดิ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 49 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 753/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอายัดทรัพย์มรดก แม้ไม่มีชื่อเจ้ามรดกในบัญชี หากมีเหตุเชื่อว่าเป็นทรัพย์มรดกและมีเหตุสมควร
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยส่งมอบทรัพย์สินที่จำเลยครอบครองอยู่เข้ากองมรดกเพื่อแบ่งปันให้ทายาท คำฟ้องดังกล่าวย่อมครอบคลุมรวมทั้งทรัพย์มรดกที่มีชื่อและไม่มีชื่อเจ้ามรดกด้วย มิใช่จำกัดเฉพาะทรัพย์ที่มีชื่อเจ้ามรดกปรากฏอยู่โจทก์ขออายัดเงินฝากที่ธนาคารไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษา แม้ไม่มีชื่อเจ้ามรดกในบัญชีเงินฝาก แต่หากมีเหตุน่าเชื่อว่าเป็นทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกและเข้าหลักเกณฑ์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 255 โจทก์ย่อมมีสิทธิขออายัดได้
เจ้ามรดกมีบุตรรวม 6 คน รวมทั้งจำเลยและ บ.ด้วยระหว่างเจ้ามรดกมีชีวิตอยู่ได้มอบให้จำเลยกับ บ.ดูแลทรัพย์สินแทนก่อนเจ้ามรดกถึงแก่ความตายได้มีการถอนเงินจากบัญชีเงินฝากชื่อจำเลยร่วมกับเจ้ามรดก และนำฝากเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยโดยการถอนและการฝากกระทำในวันเดียวกันรวมทั้งสิ้น 14 ครั้ง ครั้นเจ้ามรดกถึงแก่ความตายแล้วยังได้มีการนำใบถอนเงินซึ่งมีลายมือชื่อเจ้ามรดกลงชื่อร่วมกับจำเลยในช่องเจ้าของบัญชีและในช่องผู้รับเงินมาถอนเงิน และปิดบัญชี อีกทั้งภายหลังโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว จำเลยยังได้ถอนเงินออกจากบัญชีของจำเลย กรณีมีเหตุน่าเชื่อว่าเจ้ามรดกให้ความรักและเชื่อถือจำเลยโดยลงลายมือชื่อในใบถอนเงินมอบให้จำเลยไว้ดำเนินการเกี่ยวกับการเงิน แต่คดีนี้ยังมีประเด็นต้องวินิจฉัยในชั้นพิจารณาว่าเงินในบัญชีของจำเลย เป็นเงินที่เจ้ามรดกยกให้จำเลยหรือเพียงให้จำเลยจัดการแทน ดังนี้ พฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุให้เห็นได้ว่าจำเลยอาจโอนเงินดังกล่าวไปให้พ้นจากอำนาจศาลเพื่อขัดขวางต่อการบังคับคดีตามคำฟ้อง และโอกาสที่โจทก์ยื่นคำร้องขอนั้นมีเหตุสมควรและเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 255 วรรค 2 (ข)มาใช้แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 753/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอายัดเงินฝากที่เป็นทรัพย์มรดก แม้ชื่อผู้ฝากไม่ใช่เจ้ามรดก คุ้มครองสิทธิทายาทจากความเสียหาย
การที่โจทก์ฟ้องอ้างว่า ระหว่างยังมีชีวิตเจ้ามรดกมอบหมายให้จำเลยซึ่งเป็นบุตรคนหนึ่งดูแลทรัพย์สินและจัดหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินแทน เจ้ามรดกมีทรัพย์สินเป็นเงินสดและที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เจ้ามรดกลงชื่อจำเลยในบัญชีเงินฝากและในโฉนดที่ดิน โดยแสดงเจตนาว่าทรัพย์สินของเจ้ามรดกนั้นจำเลยมีชื่อเพียงในฐานะผู้ครอบครองแทนเจ้ามรดกมีเจตนาที่จะแบ่งทรัพย์สินของตนให้บุตรทุกคนเท่ากันเมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดก และทายาทคนอื่นเรียกให้จำเลยส่งมอบทรัพย์สินที่จำเลย ครอบครองอยู่เข้ากองมรดกเพื่อแบ่งปันแก่ทายาท แต่จำเลยปฏิเสธคำฟ้องดังกล่าวย่อมครอบคลุมรวมทั้งทรัพย์มรดกที่มีชื่อและไม่มีชื่อเจ้ามรดก มิได้จำกัดแต่เฉพาะทรัพย์ที่มีชื่อเจ้ามรดกปรากฏอยู่เท่านั้น และโดยที่ในชั้นพิจารณามีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าเงินฝากในธนาคารเป็นเงินที่เจ้ามรดกยกให้จำเลยหรือเพียงให้จำเลยจัดการแทน ซึ่งหากเป็นกรณีเพียงให้จำเลยจัดการแทน แม้บัญชีดังกล่าวจะมีจำเลยคนเดียวเป็นผู้ฝาก เงินดังกล่าวก็เป็นทรัพย์มรดกซึ่งโจทก์และทายาทอื่นมีสิทธิอยู่ด้วย เมื่อพฤติการณ์ส่อแสดงว่าจำเลยอาจโอนเงินดังกล่าวไปให้พ้นจากอำนาจศาลเพื่อขัดขวางการบังคับคดี โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอให้อายัดเงินฝากดังกล่าว อันเป็นวิธีการขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 255 วรรคสอง (ข) ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 248/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหักกลบลบหนี้ด้วยทรัพย์สินและการเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ห้องแถวจากการรื้อสร้างใหม่
ประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เดิมคือ โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องแถวพิพาทหรือไม่ และโจทก์เสียหายเพียงใด ส่วนประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดขึ้นใหม่นั้นเพียงเพิ่มประเด็นข้อพิพาทอีกข้อหนึ่งว่า โจทก์นำห้องแถวพิพาทมาหักกลบลบหนี้ที่บุตรโจทก์เป็นหนี้จำเลยหรือไม่เท่านั้นซึ่งมีความหมายรวมอยู่ในประเด็นข้อพิพาทเดิมที่ตั้งไว้ในข้อที่ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในห้องแถวพิพาทหรือไม่อยู่แล้ว กล่าวคือ หากข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์นำห้องแถวเดิมมาหักกลบลบหนี้ที่บุตรโจทก์เป็นหนี้จำเลย แล้วจำเลยรื้อถอนห้องแถวดังกล่าวและปลูกขึ้นใหม่เป็นห้องแถวพิพาทเช่นนี้ ห้องแถวพิพาทจึงเป็นของจำเลยโจทก์ย่อมไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องแถวพิพาทนั่นเอง ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพิ่มเติมดังกล่าวจึงไม่ทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 248/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นข้อพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินและความสัมพันธ์กับการหักกลบลบหนี้ การกำหนดประเด็นเพิ่มเติมไม่ทำให้กระบวนการพิจารณาไม่ชอบ
ประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เดิมคือ โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องแถวพิพาทหรือไม่ และโจทก์เสียหายเพียงใด ส่วนประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดขึ้นใหม่นั้นเพียงเพิ่มประเด็นข้อพิพาทอีกข้อหนึ่งว่า โจทก์นำห้องแถวพิพาทมาหักกลบลบหนี้ที่บุตรโจทก์เป็นหนี้จำเลยหรือไม่เท่านั้น ซึ่งมีความหมายรวมอยู่ในประเด็นข้อพิพาทเดิมที่ตั้งไว้ในข้อที่ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในห้องแถวพิพาทหรือไม่อยู่แล้ว กล่าวคือ หากข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์นำห้องแถวเดิมมาหักกลบลบหนี้ที่บุตรโจทก์เป็นหนี้จำเลย แล้วจำเลยรื้อถอนห้องแถวดังกล่าวและปลูกขึ้นใหม่เป็นห้องแถวพิพาทเช่นนี้ ห้องแถวพิพาทจึงเป็นของจำเลยโจทก์ย่อมไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องแถวพิพาทนั่นเอง ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพิ่มเติมดังกล่าวจึงไม่ทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 173/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีที่ดินสาธารณประโยชน์: โจทก์ต้องเสียหายเป็นพิเศษหรือมีหน้าที่ดูแลรักษาเท่านั้นจึงจะมีสิทธิฟ้อง
จำเลยทั้งสี่ไปยื่นคำร้องต่อทางราชการขอให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท โจทก์ซึ่งเป็นกำนันได้ยื่นคำร้องคัดค้านว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งประชาชนทั่วไปรวมทั้งโจทก์ใช้เป็นที่เลี้ยงสัตว์ทางอำเภอสอบสวนแล้วมีคำสั่งเปรียบเทียบให้โจทก์ฟ้องร้องต่อศาลภายใน 60 วัน แต่คำสั่งดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะฟ้องจำเลย เพราะหากที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่พลเมืองใช้ร่วมกันโจทก์และจำเลยก็ย่อมมีสิทธิใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวได้การยื่นคำขอของจำเลยทั้งสี่ก็ไม่ปรากฎว่าทำให้โจทก์ได้ได้รับความเสียหายยิ่งกว่าประชาชนทั่วไป และโจทก์เองก็ไม่มีกฎหมายใดกำหนดให้เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอีกทั้งไม่ปรากฎว่าถูกจำเลยทั้งสี่ขัดขวางการใช้สิทธิในที่ดินดังกล่าวเป็นพิเศษ จึงยังไม่อาจถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่อันจะทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสี่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 173/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดินสาธารณสมบัติ – ข้อพิพาทสิทธิ – อำนาจฟ้อง – ป.วิ.พ.มาตรา 55
จำเลยยื่นคำร้องต่อทางราชการขอให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท โดยอ้างว่าได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเต็มทั้งแปลงตลอดมา โจทก์ซึ่งเป็นกำนันตำบลท้องที่ซึ่งที่ดินตั้งอยู่ในขณะนั้นได้ไปยื่นคำร้องคัดค้านอ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประชาชนทั่วไปรวมทั้งโจทก์ใช้เป็นที่เลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่สาธารณประโยชน์ ทางอำเภอสอบสวนแล้วได้มีคำสั่งเปรียบเทียบให้โจทก์ฟ้องร้องต่อศาลภายใน 60 วัน ดังนี้ คำสั่งดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะฟ้องจำเลยแต่อย่างใด เพราะหากที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่พลเมืองใช้ร่วมกันดังที่โจทก์อ้าง โจทก์และจำเลยก็ย่อมมีสิทธิใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวได้ การยื่นคำขอของจำเลยดังกล่าวก็ไม่ปรากฏว่าทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายยิ่งกว่าประชาชนทั่วไป และโจทก์เองก็ไม่มีกฎหมายใดกำหนดให้เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน อีกทั้งไม่ปรากฏว่าถูกจำเลยขัดขวางการใช้สิทธิในที่ดินดังกล่าวเป็นพิเศษ กรณีถือไม่ได้ว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่อันจะทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 55

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7883/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทเลินเล่อทางวิพากษ์: การชนท้ายจากความเร็วสูงและการประเมินความรับผิดของผู้ขับขี่และผู้ถูกชน
จากสภาพรอยห้ามล้อของรถจำเลยที่ 1 ซึ่งปรากฏบนถนนที่เกิดเหตุมีความยาวถึงประมาณ 8 เมตร แสดงว่าจำเลยที่ 1 ขับรถมาด้วยความเร็วสูง เมื่อมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุมีควันไฟหนา ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้ จำเลยที่ 1 จึงพยายามหยุดรถอย่างแรง ทำให้ล้อรถไถไปตามถนนโดยไม่หมุน ในที่สุดรถของจำเลยที่ 1 พุ่งเข้าชนท้ายรถของโจทก์ซึ่งจอดอยู่บนถนนจนตกไปบนไหล่ทางและเกิดความเสียหายความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถของโจทก์ดังกล่าวจึงเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ซึ่งขับรถด้วยความเร็วสูง จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นให้แก่โจทก์
เมื่อโจทก์ขับรถมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุ เห็น จ. ขับรถฝ่าเข้าไปในควันไฟซึ่งเกิดขึ้นจากไฟไหม้หญ้าข้างทาง เนื่องจากควันไฟดังกล่าวหนาทึบทำให้ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้เช่นนี้ โจทก์ควรหยุดรถรอให้ควันไฟเบาบางลงก่อนแล้วค่อยขับรถต่อไป แต่โจทก์กลับเสี่ยงภัยขับรถตาม จ. ฝ่าควันไฟเข้าไป จนกระทั่งชนท้ายรถของ จ. ทำให้รถของโจทก์จอดกีดขวางช่องทางจราจร โจทก์จึงมีส่วนประมาทก่อให้เกิดความเสียหายด้วย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับจำเลยที่ 1 ซึ่งขับรถมายังที่เกิดเหตุด้วยความเร็วสูงทั้ง ๆที่มองไม่เห็นทางจนเป็นเหตุทำให้รถของจำเลยที่ 1 พุ่งเข้าชนท้ายรถของโจทก์อย่างแรงแล้ว ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อมากกว่าโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7883/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทเลินเล่อในการขับรถ ชนท้ายจนเกิดความเสียหาย ศาลพิจารณาความรับผิดของผู้ขับขี่และผู้เสียหาย
จากสภาพรอยห้ามล้อของรถจำเลยที่ 1 ซึ่งปรากฏบนถนนที่เกิดเหตุมีความยาวถึงประมาณ 8 เมตร แสดงว่าจำเลยที่ 1 ขับรถมาด้วยความเร็วสูง เมื่อมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุมีควันไฟหนา ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้ จำเลยที่ 1 จึงพยายามหยุดรถอย่างแรง ทำให้ล้อรถไถไปตามถนนโดยไม่หมุน ในที่สุดรถของจำเลยที่ 1 พุ่งเข้าชนท้ายรถของโจทก์ซึ่งจอดอยู่บนถนนจนตกไปบนไหล่ทางและเกิดความเสียหายความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถของโจทก์ดังกล่าวจึงเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ซึ่งขับรถด้วยความเร็วสูง จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นให้แก่โจทก์
เมื่อโจทก์ขับรถมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุ เห็น จ. ขับรถฝ่าเข้าไปในควันไฟซึ่งเกิดขึ้นจากไฟไหม้หญ้าข้างทาง เนื่องจากควันไฟดังกล่าวหนาทึบทำให้ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้เช่นนี้ โจทก์ควรหยุดรถรอให้ควันไฟเบาบางลงก่อนแล้วค่อยขับรถต่อไป แต่โจทก์กลับเสี่ยงภัยขับรถตาม จ. ฝ่าควันไฟเข้าไป จนกระทั่งชนท้ายรถของ จ. ทำให้รถของโจทก์จอดกีดขวางช่องทางจราจร โจทก์จึงมีส่วนประมาทก่อให้เกิดความเสียหายด้วย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับจำเลยที่ 1 ซึ่งขับรถมายังที่เกิดเหตุด้วยความเร็วสูงทั้ง ๆที่มองไม่เห็นทางจนเป็นเหตุทำให้รถของจำเลยที่ 1 พุ่งเข้าชนท้ายรถของโจทก์อย่างแรงแล้ว ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อมากกว่าโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7187/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค้ำประกันเบิกเกินบัญชี, สัญญาค้ำประกัน, การแปลงหนี้, ความรับผิดของผู้ค้ำประกัน, ดอกเบี้ยทบต้น
ข้อตกลงการคิดดอกเบี้ยในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีที่ให้เป็นไปตามธรรมเนียมประเพณีของธนาคาร หมายความว่าให้โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ตามประเพณีของธนาคารพาณิชย์ ส่วนอัตราดอกเบี้ยต้องถือตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี แม้ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศให้ธนาคารคิดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี ก็ไม่ทำให้ข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยซึ่งจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ในอัตราร้อยละ15 ต่อปีเปลี่ยนแปลงไป โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปีตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
จำเลยที่ 1 ทำหนังสือรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ และจะชำระให้เป็นรายเดือนมิได้มีการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ลูกหนี้หรือสาระสำคัญแห่งหนี้อันจะถือว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ มูลหนี้เดิมจึงไม่ระงับ การที่มีบุคคลอื่นมาค้ำประกันจำเลยที่ 1ต่อโจทก์อีกไม่ทำให้จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันเดิมพ้นความรับผิด
of 5