พบผลลัพธ์ทั้งหมด 447 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 263/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจัดการมรดกตามพินัยกรรม: ผู้ร้องไม่มีสิทธิเป็นผู้จัดการมรดก
ผู้ตายเป็นป้าของผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 1 โดยผู้คัดค้านที่ 1เป็นพี่สาวร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้ร้อง ส่วนผู้คัดค้านที่ 2 เป็นบุตรของผู้คัดค้านที่ 1 ผู้ตายพักอาศัยอยู่กับผู้คัดค้านที่ 1 และช่วยเลี้ยงดูผู้คัดค้านที่ 2 มาตั้งแต่ผู้คัดค้านที่ 2 ยังเป็นเด็ก เมื่อผู้คัดค้านที่ 2 เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ผู้คัดค้านที่ 2 ก็เลี้ยงดูผู้ตายตลอดมาจนถึงแก่ความตายด้วยโรคชรา ผู้ตายไม่มีคู่สมรสและบุตรส่วนบิดามารดาถึงแก่กรรมไปนานแล้ว ผู้ตายทำพินัยกรรมด้วยความสมัครใจ และพินัยกรรมดังกล่าวเป็นพินัยกรรมที่สมบูรณ์ เมื่อผู้ร้องมิได้เป็นผู้รับพินัยกรรม แต่ผู้คัดค้านทั้งสองเป็นผู้รับทรัพย์มรดกทั้งหมดของเจ้ามรดกตามพินัยกรรม ผู้ร้องจึงมิได้เป็นทายาทและผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดก จึงไม่มีเหตุที่จะตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9603/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งหมายเรียกและหมายนัดพยานโดยวิธีปิดหมายชอบด้วยกฎหมาย แม้มีข้อผิดพลาดเล็กน้อยในรายงานเจ้าพนักงาน
เจ้าพนักงานศาลได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยวิธีปิดหมายตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 ทั้งได้ทำรายงานลงข้อความระบุแน่ชัดถึงตัวบุคคล ชื่อเจ้าพนักงานผู้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องและชื่อผู้รับ รวมทั้งวิธีการส่ง วันเดือนปีและสถานที่ส่ง พร้อมทั้งลงลายมือชื่อของเจ้าพนักงานผู้ทำรายงานแล้ว จึงเป็นการปฏิบัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 80 การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 ณ ภูมิลำเนาโดยวิธีปิดหมายตามคำสั่งของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว การที่เจ้าพนักงานศาลทำรายงานต่อศาลชั้นต้นว่า ในขณะนำส่งหมายได้พบชาย - หญิงอายุประมาณ 30 - 50 ปี ณ สถานที่ดังกล่าวและบุคคลดังกล่าวแจ้งว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ผู้จัดการจำเลยที่ 4 และที่ 5 ออกไปธุระต่างจังหวัด ซึ่งจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 5 อ้างว่าไม่เป็นความจริง เพราะในวันดังกล่าวเป็นวันหยุดทำการของจำเลยที่ 4 ที่ 5 จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะพบบุคคลดังกล่าวนั้น ก็เป็นเพียงรายละเอียดที่เจ้าพนักงานศาลทำรายงานต่อศาลเท่านั้น และข้อเท็จจริงดังกล่าวถึงแม้จะเป็นวันหยุดทำการก็อาจมีพนักงานของจำเลยที่ 4 ที่ 5 มาทำงานก็ได้ จึงไม่ทำให้การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยวิธีปิดหมายเสียไป
รายงานการเดินหมายของเจ้าพนักงานศาลเป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานศาลทำรายงานต่อศาลชั้นต้น และได้ระบุถึงรายละเอียดเกี่ยวกับตัวบุคคล ชื่อเจ้าพนักงานผู้ส่งหมาย วิธีส่ง วันเดือนปี และเวลาที่ส่ง และรายงานนั้นได้ลงวัน เดือน ปี และลงลายมือชื่อของเจ้าพนักงานผู้ทำรายงานแล้ว การส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์จึงเป็นการส่งโดยชอบ ส่วนที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 อ้างว่า การส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์ในรายงานเจ้าหน้าที่ไม่ได้ระบุว่า ส่งให้แก่จำเลยคนใด ณ บ้านเลขที่ใดนั้น ก็ปรากฏจากบันทึกการปิดหมายของเจ้าพนักงานศาลว่า ได้ส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 5 ณ บ้านเลขที่ตามฟ้องแล้ว ส่วนรายงานของเจ้าพนักงานศาลต่อศาลชั้นต้นเกี่ยวกับบ้านเลขที่ของจำเลยที่ 3 ว่าเป็นบ้านเลขที่ 49/5 ซึ่งความจริงบ้านเลขที่ดังกล่าวเป็นเลขที่ 59/4 นั้นก็เป็นเพียงข้อผิดพลาดเล็กน้อยในรายงานระหว่างเจ้าพนักงานศาลที่ทำรายงานต่อศาลชั้นต้นเท่านั้น ไม่ทำให้การส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์เสียไป
เมื่อการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง รวมทั้งการส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์ไม่สามารถกระทำได้โดยการส่งหมายวิธีปกติ ดังนั้น ศาลชั้นต้นจึงแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งห้าทราบโดยวิธีปิดประกาศหน้าศาลอันเป็นวิธีอื่นใดตามที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 79 วรรคแรก
รายงานการเดินหมายของเจ้าพนักงานศาลเป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานศาลทำรายงานต่อศาลชั้นต้น และได้ระบุถึงรายละเอียดเกี่ยวกับตัวบุคคล ชื่อเจ้าพนักงานผู้ส่งหมาย วิธีส่ง วันเดือนปี และเวลาที่ส่ง และรายงานนั้นได้ลงวัน เดือน ปี และลงลายมือชื่อของเจ้าพนักงานผู้ทำรายงานแล้ว การส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์จึงเป็นการส่งโดยชอบ ส่วนที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 อ้างว่า การส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์ในรายงานเจ้าหน้าที่ไม่ได้ระบุว่า ส่งให้แก่จำเลยคนใด ณ บ้านเลขที่ใดนั้น ก็ปรากฏจากบันทึกการปิดหมายของเจ้าพนักงานศาลว่า ได้ส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 5 ณ บ้านเลขที่ตามฟ้องแล้ว ส่วนรายงานของเจ้าพนักงานศาลต่อศาลชั้นต้นเกี่ยวกับบ้านเลขที่ของจำเลยที่ 3 ว่าเป็นบ้านเลขที่ 49/5 ซึ่งความจริงบ้านเลขที่ดังกล่าวเป็นเลขที่ 59/4 นั้นก็เป็นเพียงข้อผิดพลาดเล็กน้อยในรายงานระหว่างเจ้าพนักงานศาลที่ทำรายงานต่อศาลชั้นต้นเท่านั้น ไม่ทำให้การส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์เสียไป
เมื่อการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง รวมทั้งการส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์ไม่สามารถกระทำได้โดยการส่งหมายวิธีปกติ ดังนั้น ศาลชั้นต้นจึงแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งห้าทราบโดยวิธีปิดประกาศหน้าศาลอันเป็นวิธีอื่นใดตามที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 79 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8888/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดยื่นคำให้การ: การส่งหมายเรียกโดยชอบด้วยกฎหมายและการขอพิจารณาใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแสดงว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 198 วรรคหนึ่งและวรรคสาม (เดิม) การที่จำเลยอ้างว่าไม่ทราบว่าถูกฟ้องเป็นคดีนี้เป็นเหตุหนึ่งที่จำเลยจะร้องขอให้พิจารณาใหม่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 207 (เดิม) เท่านั้น หาใช่เหตุที่จำเลยจะขอให้เพิกถอนการพิจารณาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การซึ่งศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งไปโดยชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าวไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8642/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานไม่เพียงพอต่อการลงโทษฐานพยายามชิงทรัพย์ แต่พิพากษาลงโทษฐานทำร้ายร่างกายได้
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคสาม ประกอบด้วยมาตรา 80 ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้องในชั้นพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น ศาลก็ต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง จึงจะพิพากษาลงโทษจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง แต่พยานหลักฐานเท่าที่โจทก์นำสืบผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานรู้เห็นเพียงคนเดียว และผู้เสียหายมิได้ยืนยันหรือเบิกความกล่าวหาว่า จำเลยพยายามชิงทรัพย์ของผู้เสียหาย ผู้เสียหายคงยืนยันแต่เพียงว่า เข้าใจว่าจำเลยจะข่มขืนผู้เสียหาย การที่ผู้เสียหายเบิกความว่าจำเลยใช้มือล้วงกระเป๋าเสื้อที่ผู้เสียหายสวมใส่ แต่ในกระเป๋าเสื้อนั้นไม่มีทรัพย์ใด ๆ อยู่ เป็นพฤติการณ์ที่ไม่อาจสันนิษฐานได้ว่าจำเลยได้ลงมือชิงทรัพย์ของผู้เสียหายแล้ว แม้จำเลยจะเคยให้การรับสารภาพต่อพนักงานสอบสวนว่าประสงค์จะได้เงินจึงใช้มือล้วงกระเป๋าเสื้อของผู้เสียหาย คำให้การของจำเลยดังกล่าวอาจจะเป็นข้อแก้ตัวของจำเลยที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำการอนาจารผู้เสียหายก็ได้ พยานโจทก์เท่าที่นำสืบจึงมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้ลงมือกระทำการชิงทรัพย์ของผู้เสียหายแล้วหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่า จำเลยชิงทรัพย์ ซึ่งความผิดตามที่ฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่างรวมทั้งข้อหาว่าจำเลยใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายด้วย ซึ่งเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง และโจทก์มีผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่าถูกจำเลยทำร้ายมีบาดแผลหลายแห่ง และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ทำร้ายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ศาลจึงพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหก
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่า จำเลยชิงทรัพย์ ซึ่งความผิดตามที่ฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่างรวมทั้งข้อหาว่าจำเลยใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายด้วย ซึ่งเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง และโจทก์มีผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่าถูกจำเลยทำร้ายมีบาดแผลหลายแห่ง และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ทำร้ายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ศาลจึงพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8642/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีชิงทรัพย์: พยานหลักฐานไม่เพียงพอ แต่ลงโทษฐานทำร้ายร่างกายได้
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดตาม ป.อ.มาตรา339 วรรคสาม ประกอบด้วยมาตรา 80 ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้องในชั้นพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น ศาลก็ต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง จึงจะพิพากษาลงโทษจำเลยได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 176 วรรคหนึ่ง แต่พยานหลักฐานเท่าที่โจทก์นำสืบมีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานรู้เห็นเพียงคนเดียว และผู้เสียหายมิได้ยืนยันหรือเบิกความกล่าวหาว่า จำเลยพยายามชิงทรัพย์ของผู้เสียหาย ผู้เสียหายคงยืนยันแต่เพียงว่า เข้าใจว่าจำเลยจะข่มขืนผู้เสียหาย การที่ผู้เสียหายเบิกความว่าจำเลยใช้มือล้วงกระเป๋าเสื้อที่ผู้เสียหายสวมใส่ แต่ในกระเป๋าเสื้อนั้นไม่มีทรัพย์ใด ๆอยู่ เป็นพฤติการณ์ที่ไม่อาจสันนิษฐานได้ว่าจำเลยได้ลงมือชิงทรัพย์ของผู้เสียหายแล้วแม้จำเลยจะเคยให้การรับสารภาพต่อพนักงานสอบสวนว่าประสงค์จะได้เงินจึงใช้มือล้วงกระเป๋าเสื้อของผู้เสียหาย คำให้การของจำเลยดังกล่าวอาจจะเป็นข้อแก้ตัวของจำเลยที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำการอนาจารผู้เสียหายก็ได้ พยานโจทก์เท่าที่นำสืบจึงมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้ลงมือกระทำการชิงทรัพย์ของผู้เสียหายแล้วหรือไม่ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตาม ป.วิ.อ.มาตรา 227 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่า จำเลยชิงทรัพย์ ซึ่งความผิดตามที่ฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่างรวมทั้งข้อหาว่าจำเลยใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายด้วยซึ่งเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง และโจทก์มีผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่าถูกจำเลยทำร้ายมีบาดแผลหลายแห่ง และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ทำร้ายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ศาลจึงพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192วรรคหก
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่า จำเลยชิงทรัพย์ ซึ่งความผิดตามที่ฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่างรวมทั้งข้อหาว่าจำเลยใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายด้วยซึ่งเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง และโจทก์มีผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่าถูกจำเลยทำร้ายมีบาดแผลหลายแห่ง และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ทำร้ายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ศาลจึงพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192วรรคหก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8176/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ของเจ้าหน้าที่สหกรณ์ การเป็นผู้เสียหายและอำนาจร้องทุกข์
จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่การเงินการบัญชีผู้รับผิดชอบเก็บรักษาเงินต่าง ๆของสหกรณ์ออมทรัพย์โจทก์ร่วม เมื่อคณะกรรมการของโจทก์ร่วมอนุมัติให้สมาชิกกู้เงินแล้ว แต่ยังไม่ได้ส่งมอบเงินให้แก่สมาชิก หรือเงินกู้ ตามสัญญากู้ใหม่ซึ่งจะต้องหักเงินบางส่วนชำระหนี้เก่าที่ยังค้างชำระอยู่รวมทั้งเงินของสมาชิกผู้ขอลาออกจากสมาชิกโจทก์ร่วมซึ่งโจทก์ร่วมจะต้องหักเงินของสมาชิกใช้หนี้ให้เสร็จสิ้นก่อนจะอนุมัติให้ลาออกเงินเหล่านี้ล้วนยังเป็นกรรมสิทธิ์และอยู่ในความครอบครองของโจทก์ร่วมอยู่ กรรมสิทธิ์ในเงินดังกล่าวยังมิได้โอนไปยังสมาชิกของโจทก์ร่วมเพราะยังมิได้มีการส่งมอบเงินดังกล่าวให้แก่กันโดยชอบ เมื่อจำเลยยักยอกเงินดังกล่าวไป โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8176/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ของเจ้าหน้าที่การเงิน: โจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจร้องทุกข์
จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่การเงินการบัญชีผู้รับผิดชอบเก็บรักษาเงินต่าง ๆ ของโจทก์ร่วม เมื่อคณะกรรมการของโจทก์ร่วมอนุมัติให้สมาชิกกู้เงินแล้วแต่ยังไม่ได้ส่งมอบเงินให้แก่สมาชิก หรือเงินกู้ตามสัญญากู้ใหม่ซึ่งจะต้องหักเงินบางส่วนชำระหนี้เก่าที่ยังค้างชำระอยู่ รวมทั้งเงินของสมาชิกผู้ขอลาออกจากสมาชิกโจทก์ร่วม ซึ่งโจทก์ร่วมจะต้องหักเงินของสมาชิกใช้หนี้ให้เสร็จสิ้นก่อนจะอนุมัติให้ลาออก เงินเหล่านี้ล้วนยังเป็นกรรมสิทธิ์และอยู่ในความครอบครองของโจทก์ร่วม กรรมสิทธิ์ในเงินดังกล่าวยังมิได้โอนไปยังสมาชิกของโจทก์ร่วมเพราะยังมิได้มีการส่งมอบเงินดังกล่าวให้แก่กันโดยชอบ เมื่อจำเลยยักยอกเงินดังกล่าวไป โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7991/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการบังคับจำนองและการคิดดอกเบี้ยย้อนหลังตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/27 ประกอบมาตรา 745 บังคับผู้รับจำนองว่าจะใช้สิทธิบังคับให้นำเงินจากการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จำนองชำระดอกเบี้ยที่ค้างย้อนหลังเกินห้าปีขึ้นไปไม่ได้เท่านั้นแต่มิได้ห้ามผู้รับจำนองให้เรียกดอกเบี้ยเกินห้าปีนับแต่วันฟ้อง ผู้รับจำนองจึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปได้ ส่วนการเรียกดอกเบี้ยย้อนหลังแม้จำเลยผู้จำนองฎีกายินยอมให้โจทก์ผู้รับจำนองเรียกได้เป็นเวลา 5 ปีตั้งแต่ก่อนวันฟ้องก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยไม่ทบต้นเป็นเวลาเพียงห้าปีนับแต่วันฟ้องย้อนหลังขึ้นไป ศาลจึงไม่อาจพิพากษาให้จำเลยรับผิดเกินกว่าที่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/27 บัญญัติไว้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7991/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการเรียกดอกเบี้ยจากการบังคับจำนอง: ห้ามเรียกย้อนหลังเกิน 5 ปีนับแต่วันฟ้อง
ตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/27 ประกอบมาตรา 745 บังคับผู้รับจำนองว่าจะใช้สิทธิบังคับให้นำเงินจากการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จำนองชำระดอกเบี้ยที่ค้างย้อนหลังเกินห้าปีขึ้นไปไม่ได้เท่านั้น แต่มิได้ห้ามผู้รับจำนองให้เรียกดอกเบี้ยเกินห้าปีนับแต่วันฟ้อง ผู้รับจำนองจึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปได้ ส่วนการเรียกดอกเบี้ยย้อนหลัง แม้จำเลยผู้จำนองฎีกายินยอมให้โจทก์ผู้รับจำนองเรียกได้เป็นเวลา 5 ปี ตั้งแต่ก่อนวันฟ้องก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยไม่ทบต้นเป็นเวลาเพียงห้าปีนับแต่วันฟ้องย้อนหลังขึ้นไป ศาลจึงไม่อาจพิพากษาให้จำเลยรับผิดเกินกว่าที่ ป.พ.พ. มาตรา 193/27 บัญญัติไว้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7855/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนคำวินิจฉัย คชก. และสิทธิในการฟ้องเรียกซื้อที่ดิน – จำเป็นต้องฟ้องเพิกถอนก่อน
คู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียที่ไม่เห็นด้วยหรือไม่พอใจคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัด จะต้องฟ้อง คชก.จังหวัด เพื่อให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดเสียก่อนตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 57วรรคหนึ่ง เพราะตราบใดที่คำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดยังไม่ถูกเพิกถอนต้องถือว่าคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัด ยังมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย หากไม่ฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดภายในกำหนดเวลา คำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดย่อมเป็นที่สุดตามมาตรา 57 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 56
โจทก์เป็นผู้เช่านาพิพาทจากจำเลยที่ 1 ซึ่งขายนาดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 ไม่พอใจคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดนนทบุรีที่วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิซื้อนาพิพาท โจทก์จึงต้องฟ้อง คชก.จังหวัดนนทบุรี เพื่อขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดนนทบุรี เมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้อง คชก.จังหวัดนนทบุรี และมิได้มีการเรียกคชก.จังหวัดนนทบุรีเข้ามาเป็นคู่ความในคดีด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองโดยลำพังให้ขายนาพิพาทแก่โจทก์อันแตกต่างไปจากคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดนนทบุรีได้
แม้ คชก.จังหวัดนนทบุรีจะมิได้มีฐานะเป็นนิติบุคคลก็ตาม โจทก์ก็ย่อมฟ้องตัวบุคคลที่ประกอบเป็นคณะกรรมการได้
การยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่โจทก์ยกขึ้นอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในการฟ้องคดีของโจทก์ว่ามีอยู่จริงหรือไม่นั้น สมควรที่จะไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่
โจทก์เป็นผู้เช่านาพิพาทจากจำเลยที่ 1 ซึ่งขายนาดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 ไม่พอใจคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดนนทบุรีที่วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิซื้อนาพิพาท โจทก์จึงต้องฟ้อง คชก.จังหวัดนนทบุรี เพื่อขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดนนทบุรี เมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้อง คชก.จังหวัดนนทบุรี และมิได้มีการเรียกคชก.จังหวัดนนทบุรีเข้ามาเป็นคู่ความในคดีด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองโดยลำพังให้ขายนาพิพาทแก่โจทก์อันแตกต่างไปจากคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดนนทบุรีได้
แม้ คชก.จังหวัดนนทบุรีจะมิได้มีฐานะเป็นนิติบุคคลก็ตาม โจทก์ก็ย่อมฟ้องตัวบุคคลที่ประกอบเป็นคณะกรรมการได้
การยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่โจทก์ยกขึ้นอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในการฟ้องคดีของโจทก์ว่ามีอยู่จริงหรือไม่นั้น สมควรที่จะไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่