คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วิชัย ชื่นชมพูนุท

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 447 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7008/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาเหตุรอการลงโทษในคดีลักทรัพย์ การกระทำที่เป็นภัยร้ายแรงต่อสังคมไม่อาจรอการลงโทษได้
แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในฎีกาของจำเลยที่ 1 เพียงว่า "รอไว้สั่งเมื่อผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาคำร้อง ขอให้รับรองฎีกาเสร็จแล้ว" แต่เมื่อผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อ ในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ฎีกาใน ปัญหาข้อเท็จจริงแล้ว ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งเกี่ยวกับฎีกา ของจำเลยที่ 1 อีก คงมีแต่รายการระบุว่าโจทก์ได้รับสำเนาฎีกาของจำเลยที่ 1 และเจ้าหน้าที่รายงานว่าโจทก์รับสำเนาฎีกาครบกำหนดแล้วไม่ยื่นคำแก้ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในรายงานของเจ้าหน้าที่ว่า ส่งสำนวนไปศาลฎีกา พฤติกรรมดังกล่าวถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้สั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 และปฏิบัติการให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 216 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 200 และ 201 แล้วศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 1 ได้ การลักทรัพย์โดยการถอดชิ้นส่วนรถยนต์ที่จอดไว้เป็นพฤติการณ์ที่เป็นภัยร้ายแรงต่อสังคม แม้ทรัพย์ที่ลักไปจะมีราคาน้อยก็ตาม และที่ผู้เสียหายได้รับทรัพย์คืนไปก็เนื่องจากเจ้าพนักงานจับจำเลยที่ 1 ได้พร้อมกับทรัพย์ที่ถูกลัก การที่ผู้เสียหายได้ทรัพย์คืนมา จึงไม่ใช่การบรรเทาผลร้ายของจำเลยที่ 1 พฤติการณ์แห่งคดีจึงไม่มีเหตุรอการลงโทษให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6968/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงทรัพย์สินก่อนอยู่กินเป็นสามีภริยาโดยไม่จดทะเบียนสมรสมีผลผูกพันทางกฎหมาย
ผู้ตายกับจำเลยทำข้อตกลงก่อนอยู่กินร่วมกันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสว่าทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างอยู่กินร่วมกัน ผู้ตายยินยอมยกให้จำเลยทั้งหมด แต่จำเลยต้องกันเงินส่วนหนึ่งเพื่อส่งเสียเลี้ยงดูภรรยาเก่าและบุตรทั้งหกที่เกิดจากภรรยาเก่าของผู้ตายด้วย ข้อตกลงดังกล่าวย่อมมีผลบังคับตามกฎหมาย ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างที่ผู้ตายอยู่กินกับจำเลยจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแต่ผู้เดียว หาได้เป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายครึ่งหนึ่งไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6879/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขโทษในคดีเกี่ยวกับยาเสพติดและการห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 66 วรรคหนึ่ง, 67 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ.มาตรา 90 จำคุกจำเลย 5 ปี เพิ่มโทษจำเลยกึ่งหนึ่งตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 97 คงจำคุก 7 ปี 6 เดือน คำขอนอกจากนั้นให้ยก ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่เพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 97 ริบของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้เพิ่มโทษจำเลย เป็นไม่เพิ่มโทษกับให้ริบของกลางเท่านั้น โดยมิได้แก้บทมาตราแห่งความผิดตามฟ้อง จึงเป็นการแก้เฉพาะในเรื่องโทษ อันเป็นการแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดเดิมไม่เกิน 5 ปี จำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 218 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6879/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: แก้ไขโทษเล็กน้อย ไม่กระทบฐานความผิด ไม่รับฎีกา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคหนึ่ง,67เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ ลงโทษ ตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลย 5 ปีเพิ่มโทษจำเลยกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 97 คงจำคุก 7 ปี 6 เดือน คำขอนอกจากนั้นให้ยก ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่เพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97ริบของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ให้เพิ่มโทษจำเลย เป็นไม่เพิ่มโทษกับให้ริบของกลางเท่านั้นโดยมิได้แก้บทมาตราแห่งความผิดตามฟ้อง จึงเป็นการแก้เฉพาะ ในเรื่องโทษ อันเป็นการแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุก จำเลยในความผิดเดิมไม่เกิน 5 ปี จำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6833/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำอนาจารเด็ก แม้มีพฤติการณ์ไม่รุนแรง ประกอบกับมีการชดใช้ค่าเสียหายและผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความ ศาลฎีกาให้รอการลงโทษ
แม้จำเลยจะกระทำอนาจารผู้เสียหายซึ่งมีอายุไม่เกิน15 ปี โดยใช้กำลังประทุษร้ายด้วยการใช้แขนรัดคอใช้มือปิดปาก จับทรวงอก และพยายามปลดตะขอกางเกงของผู้เสียหายพร้อมกับพูดขอให้ผู้เสียหายยอมให้จำเลยกระทำชำเราก็ตาม แต่จำเลยก็มิได้ใช้อาวุธทำการขู่เข็ญหรือประทุษร้ายผู้เสียหาย ทั้งก่อน เกิดเหตุผู้เสียหายกับจำเลยเคยติดต่อคบหากันอย่างคนรักพฤติการณ์แห่งคดีที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายจึงไม่ร้ายแรงนัก ประกอบกับจำเลยไม่เคยกระทำความผิดหรือเคยต้องรับโทษจำคุกมาก่อน และจำเลยได้บรรเทาผลร้ายด้วยการยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ร่วมและผู้เสียหาย จนโจทก์ร่วมและผู้เสียหายไม่ประสงค์จะให้จำเลยต้องรับโทษทางอาญา ดังนั้น หากปรานีจำเลยด้วยการรอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้เพื่อเปิดโอกาสให้จำเลยได้กลับตัวเป็นพลเมืองดีและคุมความประพฤติจำเลยไว้เพื่อให้พนักงานคุมประพฤติคอยสอดส่อง ดูแลแนะนำช่วยเหลือหรือตักเตือนให้จำเลยได้แก้ไขฟื้นฟู ตนเอง น่าจะบังเกิดผลดีแก่จำเลยและสังคมส่วนรวมมากกว่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6828/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดินจากการครอบครองทำประโยชน์ต่อเนื่องและการแก้ไข น.ส.3 ก. เมื่อออกทับที่ดินเดิม
โจทก์ได้รับการยกให้ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าจากบิดาโจทก์ และได้ครอบครองทำนาในที่ดินพิพาทตลอดมาตั้งแต่ปี 2515 และเพิ่งมีเหตุพิพาทกับจำเลยในปี 2536เว้นไม่ได้ทำปี 2522 และโจทก์เป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่ของที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทจึงเป็นของโจทก์ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยออก น.ส.3 ก. ทับที่ดินพิพาทเนื้อที่ประมาณ 12 ไร่ แต่ทางพิจารณาได้ความว่า ตาม น.ส.3 ก. ดังกล่าวยังคลุมถึงที่ดินของจำเลยด้วย และการเพิกถอน น.ส.3 ก. ต้องเพิกถอนทั้งฉบับ ซึ่งย่อมกระทบ ถึงสิทธิของจำเลยในส่วนที่ดินที่เป็นของจำเลย จึงไม่มีเหตุเพิกถอน น.ส.3 ก. ฉบับดังกล่าวได้ แต่เมื่อศาลฎีกา ฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ และ น.ส.3 ก. ของจำเลย ออกทับที่ดินพิพาท จำเลยต้องแก้ไข น.ส.3 ก. ฉบับดังกล่าว ให้มีผลคลุมเฉพาะที่ดินของจำเลยเท่านั้น การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอน น.ส.3 ก. เฉพาะส่วนที่ทับที่ดินพิพาท ย่อมมีผลทำนองเดียวกับการแก้ไข น.ส.3 ก. ไม่ให้มีผลคลุมถึงที่ดินพิพาท คงให้มีผลคลุมถึงเฉพาะที่ดินส่วนของจำเลยเท่านั้น ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้จำเลยไปขอแก้ไขได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6674/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำหน่ายคดีเนื่องจากคู่ความขาดนัดและจำเลยแถลงไม่ติดใจดำเนินคดี
คดีแพ่งระหว่างโจทก์ทั้งห้าและจำเลยที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 ในวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 กับโจทก์ทั้งห้าต่างไม่ไปศาลตามวันเวลานัด ต้องถือว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายขาดนัดพิจารณา เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 แถลงไม่ติดใจดำเนินคดีต่อไป จึงขอให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดี กรณีดังกล่าวบทบัญญัติกฎหมายให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 200 วรรคแรกโดยศาลไม่จำต้องสอบถามจำเลยที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 ก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6674/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดพิจารณาคดีแพ่งและการจำหน่ายคดีออกจากสารบบความเมื่อคู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ไปศาล
คดีแพ่งระหว่างโจทก์ทั้งห้าและจำเลยที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 ในวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 5 ที่ 6 และที่ 7กับโจทก์ทั้งห้าต่างไม่ไปศาลตามวันเวลานัด ต้องถือว่าคู่ความ ทั้งสองฝ่ายขาดนัดพิจารณา เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4แถลงไม่ติดใจดำเนินคดีต่อไป จึงขอให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีกรณีดังกล่าวบทบัญญัติกฎหมายให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 200 วรรคแรก โดยศาลไม่จำต้องสอบถามจำเลยที่ 5ที่ 6 และที่ 7 ก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6587/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานโจทก์มีพิรุธและข้อต่อสู้ของจำเลยสมเหตุสมผล ศาลฎีกายกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
เมื่อคำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์มีพิรุธก็รับฟังคำเบิกความดังกล่าวเป็นพยานหลักฐาน ลงโทษจำเลยตามฟ้องโดยปราศจากข้อระแวงสงสัย ไม่ได้ ประกอบกับจำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอด ทั้งต่อสู้ว่าจำเลยสงสัยว่าเจ้าพนักงานตำรวจกลั่นแกล้ง จำเลยด้วยการนำธนบัตรตามสำเนาธนบัตร ที่เจ้าพนักงานตำรวจเตรียมไว้มาใส่ในกระเป๋าเงิน ของจำเลยตอนที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดกระเป๋าของจำเลยไป ซึ่งข้อนำสืบของจำเลยดังกล่าวก็ควรรับฟังประกอบการพิจารณาด้วย เมื่อจำเลยปฏิเสธว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้องและพยานหลักฐาน ของโจทก์มีพิรุธ ก็ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็น คุณแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6576/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกเหตุบอกกล่าวทวงถามเป็นข้อต่อสู้หลังศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้ว ถือเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยฎีกาอ้างเป็นข้อกฎหมายว่า การที่โจทก์มิได้บอกกล่าวทวงถาม จำเลยจึงยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด ไม่ต้องรับผิดในเรื่องดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากันมาในศาลชั้นต้น จึงไม่รับวินิจฉัยให้เป็นการไม่ชอบนั้น การวินิจฉัยฎีกาของจำเลยดังกล่าวย่อมต้องอาศัยข้อเท็จจริงที่ว่า จำเลยได้ยกเรื่องบอกกล่าวทวงถามขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นหรือไม่ เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ฎีกาของจำเลยจึงมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
of 45