คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
บุรินทร์ โชคเกิด

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 47 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4683/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาคดีฆ่าผู้อื่น โดยประเด็นสำคัญอยู่ที่การพิสูจน์ความผิดฐานมีอาวุธปืน และการย้ายศพเพื่อปิดบังความตาย
จำเลยกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามฟ้องโจทก์แต่ความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน โจทก์นำสืบแต่เพียงว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ โดยโจทก์ไม่ได้นำสืบว่าจำเลย เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนหรือไม่ และอาวุธปืนดังกล่าวมีเครื่องหมายของเจ้าพนักงาน ประทับหรือไม่ เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณาพยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักพอลงโทษจำเลยในฐานะนี้ สำหรับความผิดฐานย้ายศพเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตายข้อเท็จจริง เมื่อปรากฏจากการนำสืบของโจทก์ว่า ศพของผู้ตายถูกเคลื่อนย้ายไปเพียง 20 เมตรและย้ายไปอยู่ในที่เปิดเผยสามารถถูกพบได้โดยง่ายจึงไม่มีลักษณะเป็นการย้ายเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตายอันจะเป็นความผิดในฐานนี้จำเลยจึงไม่มีความผิดในฐานนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4244/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากทุนทรัพย์ที่พิพาทเกินสองแสนบาท และจำเลยจงใจขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยที่ 1ฎีกายกเหตุอ้างว่าไม่จงใจขาดนัดพิจารณาอันเป็นข้อเท็จจริงแม้ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นปัญหาในชั้นดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นไม่ใช่ปัญหาในประเด็นที่พิพาทคำฟ้องและคำให้การแต่เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริง ต้องกันว่า จำเลยที่ 1 จงใจขาดนัดพิจารณา ก็ต้องถือทุนทรัพย์ ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเป็นเงิน 178,125 บาท ตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้น เมื่อไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4079/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีภายใน 10 ปี: การยื่นคำขอออกหมายบังคับคดีถือเป็นการดำเนินการภายในกำหนดเวลา แม้การบังคับคดีจะเกินกำหนด
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังเมื่อวันที่12 พฤศจิกายน 2528 การที่โจทก์ยื่นคำขอต่อศาลชั้นต้นให้ออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2538 และ ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2538 โดยโจทก์วางเงินค่าใช้จ่ายต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีในวันเดียวกันนั้น ถือได้ว่าโจทก์ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและแถลงต่อ เจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาอันเป็นการ ดำเนินการตามขั้นตอนในการขอให้บังคับคดีแก่จำเลยแล้ว เมื่อโจทก์ดำเนินการขอให้บังคับคดีแก่จำเลยภายในกำหนดเวลา สิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษา การที่เจ้าพนักงานบังคับคดี จะไปบังคับคดีเมื่อใดนั้นเป็นขั้นตอนการดำเนินงานของ เจ้าพนักงานบังคับคดี แม้เจ้าพนักงานบังคับคดีจะไปบังคับคดี เกินสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษา ก็ถือได้ว่าโจทก์ได้ร้องขอให้ บังคับคดีตามคำพิพากษาภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4079/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีภายในกำหนดเวลาสิบปี: การดำเนินการขอให้บังคับคดีถือเป็นไปตามกฎหมาย แม้การบังคับคดีจะล่าช้า
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 12พฤศจิกายน 2528 การที่โจทก์ยื่นคำขอต่อศาลชั้นต้นให้ออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2538 และศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยเมื่อวันที่ 9พฤศจิกายน 2538 โดยโจทก์วางเงินค่าใช้จ่ายต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีในวันเดียวกันนั้น ถือได้ว่าโจทก์ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาอันเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนในการขอให้บังคับคดีแก่จำเลยแล้ว เมื่อโจทก์ดำเนินการขอให้บังคับคดีแก่จำเลยภายในกำหนดเวลาสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษา การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะไปบังคับคดีเมื่อใดนั้นเป็นขั้นตอนการดำเนินงานของเจ้าพนักงานบังคับคดี แม้เจ้าพนักงานบังคับคดีจะไปบังคับคดีเกินสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษา ก็ถือได้ว่าโจทก์ได้ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 271 แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3996/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเดินเผชิญสืบที่ดินตามข้อตกลงคู่ความ ศาลมีอำนาจวินิจฉัยตามรูปคดี
คู่ความตกลงกันให้ศาลชั้นต้นเดินเผชิญสืบที่ดินพิพาทแล้ววินิจฉัยไปตามรูปคดีโดยไม่ติดใจสืบพยานอื่นใดอีกต่อไป และตามข้อตกลงของคู่ความมีลักษณะให้อยู่ในดุลพินิจของศาลชั้นต้นว่าศาลชั้นต้นประสงค์จะหาข้อเท็จจริงเพียงใดจากการเดินเผชิญสืบก็ได้ และข้อตกลงดังกล่าวไม่มีลักษณะบังคับให้ศาลชั้นต้นต้องไปสอบถามข้อเท็จจริงต่าง ๆ จากบุคคลที่อยู่ใกล้เคียงที่ดินพิพาท และไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติว่าการเดินเผชิญสืบจะต้องไปสอบถามข้อเท็จจริงต่าง ๆ จากบุคคลที่อยู่ใกล้เคียงที่ดินพิพาทดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นได้ไปเดินเผชิญสืบที่ดินพิพาทพร้อมกับทำบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับอาณาเขตของที่ดินพิพาท ลักษณะของลำรางพิพาทว่าเป็นอย่างไร และมีอยู่อย่างไรแล้ววินิจฉัยคดีไปโดยไม่สอบถามพยานบุคคลหรือตรวจสอบพยานเอกสารอื่นอีกถือได้ว่าศาลชั้นต้นเดินเผชิญสืบอันเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามข้อตกลงของคู่ความแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3996/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงเดินเผชิญสืบ: ดุลพินิจศาลในการแสวงหาข้อเท็จจริง
คู่ความตอกลงกันให้ศาลชั้นต้นเดินเผชิญสืบที่ดินพิพาทแล้ววินิจฉัยไปตามรูปคดีโดยไม่ติดใจสืบพยานอื่นใดอีกต่อไปและตามข้อตกลงของคู่ความมีลักษณะให้อยู่ในดุลพินิจของศาลชั้นต้นว่าศาลชั้นต้นประสงค์จะหาข้อเท็จจริงเพียงใดจากการเดินเผชิญสืบก็ได้ และข้อตกลงดังกล่าวไม่มีลักษณะบังคับให้ศาลชั้นต้นต้องไปสอบถามข้อเท็จจริงต่าง ๆจากบุคคลที่อยู่ใกล้เคียงที่ดินพิพาท และไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติว่าการเดินเผชิญสืบจะต้องไปสอบถามข้อเท็จจริงต่าง ๆจากบุคคลที่อยู่ใกล้เคียงที่ดินพิพาทดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นได้ไปเดินเผชิญสืบที่ดินพิพาทพร้อมกับทำบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับอาณาเขตของที่ดินพิพาท ลักษณะของลำรางพิพาทว่าเป็นอย่างไร และมีอยู่อย่างไรแล้ววินิจฉัยคดีไปโดยไม่สอบถามพยานบุคคลหรือตรวจสอบพยานเอกสารอื่นอีกถือได้ว่าศาลชั้นต้นเดินเผชิญสืบอันเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามข้อตกลงของคู่ความแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3743/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำอนาจารเด็กโดยใช้กำลังประทุษร้ายและการบุกรุกเคหสถาน
จำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของช. อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(3) แล้วจำเลยเข้าไปปลุกผู้เสียหายให้ตื่น หลังจากนั้นจำเลยเดินไปที่เตียงนอนซึ่งผู้เสียหายนอนหลับอยู่ จำเลยกับผู้เสียหายและบิดามารดาของผู้เสียหายไม่รู้จักกันผู้เสียหายมีอายุถึง 14 ปีเศษ โดยทางสรีระ ถือว่าเป็นสาวแล้ว การที่จำเลยเข้าไปถึงเตียงนอน ของผู้เสียหายแล้วจับมือ จับแก้ม และลูบคางผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายสะบัดมือเพื่อให้พ้นจากการจับกุมของจำเลยจำเลยก็ไม่ยอมปล่อยมือ เช่นนี้ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควร อย่างยิ่งและเป็นการล่วงเกินทางเพศต่อผู้เสียหายอันถือได้ว่าเป็นการกระทำอนาจารต่อผู้เสียหาย โดยใช้กำลังประทุษร้ายตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3743/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกเคหสถานและการล่วงเกินทางเพศโดยใช้กำลัง ถือเป็นความผิดอนาจาร
จำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของ ช. อันเป็นความผิดตามป.อ.มาตรา 365 (3) แล้วจำเลยเข้าไปปลุกผู้เสียหายให้ตื่น หลังจากนั้นจำเลยเดินไปที่เตียงนอนซึ่งผู้เสียหายนอนหลับอยู่ จำเลยกับผู้เสียหายและบิดามารดาของผู้เสียหายไม่รู้จักกัน ผู้เสียหายมีอายุถึง 14 ปีเศษ โดยทางสรีระถือว่าเป็นสาวแล้ว การที่จำเลยเข้าไปถึงเตียงนอนของผู้เสียหายแล้วจับมือ จับแก้ม และลูบคางผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายสะบัดมือเพื่อให้พ้นจากการจับกุมของจำเลย จำเลยก็ไม่ยอมปล่อยมือ เช่นนี้ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่งและเป็นการล่วงเกินทางเพศต่อผู้เสียหาย อันถือได้ว่าเป็นการกระทำอนาจารต่อผู้เสียหายโดยใช้กำลังประทุษร้ายตาม ป.อ.มาตรา 279 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3633/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์รวมในที่ดิน, การหักเงินชำระ, อายุความฟ้อง, และการแก้ไขคำพิพากษาเพื่อความสงบเรียบร้อย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันจดทะเบียนลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในโฉนดที่ดินที่โจทก์กับจำเลยทั้งสามร่วมกันซื้อมา หากไม่อาจปฏิบัติได้ให้ร่วมกัน ใช้ราคาที่ดินแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์และจำเลยทั้งสาม แต่จำเลยที่ 1ได้มอบเงิน 1,000,000 บาท เป็นส่วนหนึ่งของค่าที่ดินให้แก่โจทก์แล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันจดทะเบียนลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในโฉนดที่ดินตามฟ้องหากไม่ปฏิบัติตามให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์โดยหักเงินจำนวน 1,000,000 บาท ที่จำเลยที่ 1 ชำระให้โจทก์ออก การที่โจทก์แก้ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์นำเงิน1,000,000 บาท ที่จำเลยที่ 1 จ่ายให้แก่โจทก์ไปหักออกจากค่าที่ดินดังกล่าวไม่ถูกต้อง เพราะไม่ใช่เงินที่จ่ายเป็นค่าที่ดิน ขอให้ศาลฎีกาพิพากษาแก้ราคาที่ดินพิพาทให้ด้วยนั้น โจทก์จะต้องยื่นฎีกาโดยทำเป็นคำฟ้องขึ้นมาจะขอมาในคำแก้ฎีกาไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์มิได้ระบุว่าการกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการทำนิติกรรมที่ทำให้โจทก์เสียเปรียบแต่เป็นความยินยอมของโจทก์ที่ให้จำเลยทั้งสามระบุชื่อในที่ดินพิพาทแต่โดยลำพังเอง จึงนำอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240 มาบังคับไม่ได้และการกระทำของจำเลยทั้งสามมิใช่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์จะนำอายุความละเมิดมาบังคับไม่ได้ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความจำเลยทั้งสามฎีกาเพียงว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะฟ้องเกินกำหนด 1 ปีแล้วเท่านั้น มิได้โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่า ไม่ถูกต้องหรือผิดพลาดอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าในกรณีที่โอนที่ดินไม่ได้ให้จำเลย ทั้งสามร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์ โดยหักเงินจำนวน 1,000,000 บาท ที่จำเลยที่ 1 ชำระให้โจทก์ออก แต่ในกรณีที่สามารถโอนที่ดิน ให้โจทก์ได้ ศาลอุทธรณ์มิได้นำยอดเงินที่จำเลยชำระให้โจทก์แล้ว จำนวน 1,000,000 บาท มาหักทอนด้วย กรณีอาจมีผลทำให้โจทก์ ได้รับประโยชน์เกินกว่าสิทธิที่ตนควรได้รับ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ สมควรให้โจทก์คืนเงินจำนวน 1,000,000 บาท แก่จำเลยที่ 1 ในกรณี ที่จำเลยทั้งสามโอนที่ดินให้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3633/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน, การหักเงินชำระแล้ว, และประเด็นความสงบเรียบร้อยของประชาชน
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันจดทะเบียนลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในโฉนดที่ดินที่โจทก์กับจำเลยทั้งสามร่วมกันซื้อมา หากไม่อาจปฏิบัติได้ให้ร่วมกันใช้ราคาที่ดินแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์และจำเลยทั้งสาม แต่จำเลยที่ 1 ได้มอบเงิน 1,000,000บาท เป็นส่วนหนึ่งของค่าที่ดินให้แก่โจทก์แล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันจดทะเบียนลงชื่อโจทก์ป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในโฉนดที่ดินตามฟ้อง หากไม่ปฏิบัติตามให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์โดยหักเงินจำนวน 1,000,000 บาท ที่จำเลยที่ 1 ชำระให้โจทก์ออก การที่โจทก์แก้ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์นำเงิน 1,000,000บาท ที่จำเลยที่ 1 จ่ายให้แก่โจทก์ไปหักออกจากค่าที่ดินดังกล่าวไม่ถูกต้อง เพราะไม่ใช่เงินที่จ่ายเป็นค่าที่ดิน ขอให้ศาลฎีกาพิพากษาแก้ราคาที่ดินพิพาทให้ด้วยนั้นโจทก์จะต้องยื่นฎีกาโดยทำเป็นคำฟ้องขึ้นมา จะขอมาในคำแก้ฎีกาไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์มิได้ระบุว่าการกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการทำนิติกรรมที่ทำให้โจทก์เสียเปรียบ แต่เป็นความยินยอมของโจทก์ที่ให้จำเลยทั้งสามระบุชื่อในที่ดินพิพาทแต่โดยลำพังเอง จึงนำอายุความตาม ป.พ.พ.มาตรา 240 มาบังคับไม่ได้ และการกระทำของจำเลยทั้งสามมิใช่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์จะนำอายุความละเมิดมาบังคับไม่ได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความจำเลยทั้งสามฎีกาเพียงว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะฟ้องเกินกำหนด 1 ปีแล้วเท่านั้น มิได้โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องหรือผิดพลาดอย่างไรจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าในกรณีที่โอนที่ดินไม่ได้ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์ โดยหักเงินจำนวน 1,000,000 บาท ที่จำเลยที่ 1ชำระให้โจทก์ออก แต่ในกรณีที่สามารถโอนที่ดินให้โจทก์ได้ ศาลอุทธรณ์มิได้นำยอดเงินที่จำเลยชำระให้โจทก์แล้วจำนวน 1,000,000 บาท มาหักทอนด้วย กรณีอาจมีผลทำให้โจทก์ได้รับประโยชน์เกินกว่าสิทธิที่ตนควรได้รับ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ สมควรให้โจทก์คืนเงินจำนวน 1,000,000 บาท แก่จำเลยที่ 1 ในกรณีที่จำเลยทั้งสามโอนที่ดินให้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
of 5