พบผลลัพธ์ทั้งหมด 282 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2134/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานแวดล้อมยืนยันจำเลยร่วมกันฆ่าผู้ตาย ศาลพิจารณาหลักฐานแน่นแฟ้น ลดโทษตามอายุ
แม้ว่าโจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นขณะจำเลยและพวกฆ่าผู้ตายแต่โจทก์มีพยานแวดล้อมเห็นเหตุการณ์ใกล้ชิดก่อนผู้ตายถูกยิงจนถึงแก่ความตายโดยเห็นจำเลยและพวกโต้เถียงกับผู้ตายและชักอาวุธปืนจ้องจะยิงผู้ตาย เมื่อผู้ตายวิ่งหนี จำเลยและพวกถืออาวุธปืนวิ่งไล่ตามผู้ตายไปทันทีแล้วมีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัดหลังจากนั้นประมาณ 2 นาที ก็ดังขึ้นอีก 2 นัด ระยะเวลาที่จำเลยและพวกถืออาวุธปืนวิ่งไล่ตามผู้ตายไปจนมีเสียงปืนดังขึ้นรวม 3 นัด ดังกล่าวเป็นช่วงเวลาไม่นานซึ่งไม่พอที่จะทำให้ระแวงสงสัยได้ว่าจะมีผู้อื่นเข้ามาฆ่าผู้ตายในช่วงเวลานั้น จึงเชื่อได้ว่าต้องเป็นจำเลยและพวกอย่างแน่แท้ที่ฆ่าผู้ตาย ทั้งเจ้าพนักงานตำรวจก็ตรวจพบมีดอีโต้ที่พวกจำเลยถือไปและรองเท้าแตะเปื้อนเลือด 1 ข้าง ของพวกจำเลยตกอยู่ในที่เกิดเหตุพยานโจทก์จึงมีน้ำหนักแน่นแฟ้นฟังได้ว่า จำเลยและพวกร่วมกันฆ่าผู้ตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1964/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายปุ๋ยโดยใบสั่งจ่ายสินค้าไม่ทำให้เกิดสิทธิเรียกร้องโดยตรงต่อผู้ขาย โจทก์มีสิทธิเพียงทำการแทนผู้ซื้อ
++ เรื่อง ซื้อขาย หนี้ ++
++ ทดสอบทำงานในระบบ CW เพื่อค้นหาข้อมูลทาง online ++
++
++
++ โจทก์ฎีกา
++
++ ข้อเท็จจริงในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติได้ตามที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่โต้แย้งกันว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีวัตถุประสงค์ในการจำหน่ายสินค้าประเภทปุ๋ยเกษตรกรรม จำเลยที่ 2ใช้นามแฝงในทางการค้าว่า นายกิจจา บุญนำ ประกอบอาชีพรับซื้อปุ๋ยจากบริษัทผู้ค้าปุ๋ยรายอื่นเพื่อนำไปขายต่ออีกทอดหนึ่ง โจทก์ประกอบอาชีพค้าขายปุ๋ยเกษตรกรรม โดยซื้อปุ๋ยจากจำเลยที่ 2 เพื่อนำไปจำหน่ายให้แก่ลูกค้าอีกทอดหนึ่ง
++ เมื่อปี 2536 จำเลยที่ 1 ขายปุ๋ยให้แก่จำเลยที่ 2 คิดเป็นเงินจำนวน 20,359,400 บาท โดยจำเลยที่ 1 ออกใบสั่งจ่ายสินค้าระบุประเภทจำนวน น้ำหนัก และชื่อที่จำเลยที่ 2 ใช้ในทางการค้า ให้แก่จำเลยที่ 2เพื่อนำไปเบิกปุ๋ยจากโกดังของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2ชำระราคาปุ๋ยด้วยการสั่งจ่ายเช็คลงวันที่ล่วงหน้า
++ ต่อมาจำเลยที่ 2 ขายปุ๋ยด้วยการส่งมอบใบสั่งจ่ายสินค้าดังกล่าวบางส่วนให้แก่โจทก์ ตามใบสั่งจ่ายสินค้าเอกสารหมาย จ.1 แต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมจ่ายสินค้าตามใบสั่งจ่ายสินค้าดังกล่าวโดยอ้างว่าเช็คชำระค่าปุ๋ยของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ซื้อปุ๋ยดังกล่าวไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้
++
++ มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 หรือไม่
++ ที่โจทก์ฎีกาว่า การซื้อขายปุ๋ยในคดีนี้ระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดเพราะมีการชำระราคาตั้งแต่แรก และเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งคือปุ๋ยตามใบสั่งจ่ายสินค้าเอกสารหมาย จ.1 กำหนดจำนวนน้ำหนักและขนาดบรรจุแน่นอน ไม่จำเป็นต้องนับ ชั่ง ตวงใหม่ และไม่จำต้องมากำหนดราคาที่แน่นอนใหม่
++ เห็นว่า ปุ๋ยที่จำเลยที่ 2 ตกลงซื้อจากจำเลยที่ 1เก็บอยู่ที่โกดังเก็บสินค้าของจำเลยที่ 1 ยังมิได้มีการคัดเลือกออกมาว่าปุ๋ยถุงใดจะขายให้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อให้บ่งตัวทรัพย์สินนั้นออกเป็นที่แน่นอนแล้วแต่อย่างใด กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายกันยังไม่โอนไปยังจำเลยที่ 2ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 460 วรรคหนึ่ง จึงมิใช่การซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
++ ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของจำเลยที่ 1 นั้น
++ เห็นว่าตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 ขายปุ๋ยให้แก่จำเลยที่ 2 หาได้อ้างว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของจำเลยที่ 1 ไม่ ทั้งข้ออ้างว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนนั้นก็เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
++ ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า เอกสารใบสั่งจ่ายสินค้าเอกสารหมาย จ.1 เป็นทรัพยสิทธิ ไม่ใช่บุคคลสิทธิ จึงสามารถโอนเปลี่ยนมือได้ การซื้อปุ๋ยระหว่างจำเลยที่ 2 กับโจทก์เป็นการโอนหนี้อันพึงต้องชำระแก่โจทก์ผู้ถือใบสั่งจ่ายสินค้าดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 313 ประกอบมาตรา 312 จำเลยที่ 1 จะยกข้อต่อสู้อันมีต่อจำเลยที่ 2 ขึ้นต่อสู้โจทก์ผู้ได้สิทธิมาโดยสุจริตหาได้ไม่นั้น
++ ในข้อนี้ปรากฏข้อความในใบจ่ายสินค้าด้านหน้าทุกฉบับเอกสารหมาย จ.1 ว่า "บริษัทเวิลด์เฟอท จำกัด...ใบสั่งจ่ายสินค้าเลขที่...วันที่...ใบส่งของเลขที่...เรียนหัวหน้าคลังสินค้าบริษัทเวิลด์เฟอท จำกัด (บางยอ) โปรดจ่ายสินค้าให้คุณกิจจา บุญนำ สินค้าปุ๋ยสูตร ... ขนาด... กกง จำนวน...กระสอบน้ำหนัก...ตัน ได้รับสินค้าตามรายการข้างบนนี้ไว้ถูกต้องเรียบร้อยแล้วผู้รับสินค้า...ผู้ซื้อ... ผู้ตรวจสอบ...ผู้อนุมัติ..." ส่วนที่ด้านหลังใบสั่งจ่ายสินค้าดังกล่าวระบุข้อความเป็นคำเตือนของบริษัทจำเลยที่ 1และมีข้อความว่า "ลงชื่อ...ผู้โอน"
++ เมื่อได้วินิจฉัยไว้ข้างต้นแล้วว่าการซื้อขายปุ๋ยระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ใช่การซื้อขายเสร็จเด็ดขาด กรรมสิทธิ์ในปุ๋ยที่ขายยังไม่โอนมาเป็นของจำเลยที่ 2 ใบสั่งจ่ายสินค้าดังกล่าวจึงมิใช่ตราสารแสดงกรรมสิทธิ์ในสินค้าปุ๋ยอันเป็นทรัพยสิทธิจำเลยที่ 2 มีเพียงสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1ส่งมอบปุ๋ยชนิด ขนาดบรรจุ จำนวน และน้ำหนักตามที่ระบุในใบสั่งจ่ายสินค้าดังกล่าวอันเป็นเพียงบุคคลสิทธิที่ผูกพันกันระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2เท่านั้น
++ ทั้งใบสั่งจ่ายสินค้าตามเอกสารหมาย จ.1 ก็เป็นเอกสารที่จำเลยที่ 1ได้ระบุไว้ชัดเจนให้หัวหน้าคลังสินค้าของจำเลยที่ 1 จ่ายสินค้าตามใบสั่งจ่ายสินค้าให้แก่บุคคลผู้มีชื่อคือจำเลยที่ 2 ใบสั่งจ่ายสินค้าดังกล่าวจึงมิใช่ตราสารอันพึงต้องชำระแก่ผู้ถือ ตามนัยของมาตรา 313 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
++ ดังนี้ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อในช่องผู้โอนสิทธิเรียกร้องตามใบสั่งจ่ายสินค้าให้แก่โจทก์ไว้ที่ด้านหลังใบสั่งจ่ายสินค้าทุกฉบับตามเอกสารหมาย จ.1 หรือได้ทำเป็นหนังสือโอนหนี้อันพึงต้องชำระแก่โจทก์เจ้าหนี้โดยเฉพาะเจาะจงแต่อย่างใด การที่โจทก์นำใบสั่งจ่ายสินค้าตามเอกสารหมาย จ.1 ไปขอรับสินค้าจากจำเลยที่ 1ย่อมเป็นได้เพียงการทำการแทนจำเลยที่ 2 เท่านั้น โจทก์และจำเลยที่ 1จึงมิได้มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน
++ เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ยอมจ่ายสินค้าตามใบสั่งจ่ายสินค้าเอกสารหมาย จ.1 นั้น โจทก์ก็ไม่อาจอ้างว่าถูกจำเลยที่ 1 โต้แย้งสิทธิและมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ส่งมอบสินค้าตามใบสั่งจ่ายสินค้าเอกสารหมาย จ.1 ได้
++ ทดสอบทำงานในระบบ CW เพื่อค้นหาข้อมูลทาง online ++
++
++
++ โจทก์ฎีกา
++
++ ข้อเท็จจริงในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติได้ตามที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่โต้แย้งกันว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีวัตถุประสงค์ในการจำหน่ายสินค้าประเภทปุ๋ยเกษตรกรรม จำเลยที่ 2ใช้นามแฝงในทางการค้าว่า นายกิจจา บุญนำ ประกอบอาชีพรับซื้อปุ๋ยจากบริษัทผู้ค้าปุ๋ยรายอื่นเพื่อนำไปขายต่ออีกทอดหนึ่ง โจทก์ประกอบอาชีพค้าขายปุ๋ยเกษตรกรรม โดยซื้อปุ๋ยจากจำเลยที่ 2 เพื่อนำไปจำหน่ายให้แก่ลูกค้าอีกทอดหนึ่ง
++ เมื่อปี 2536 จำเลยที่ 1 ขายปุ๋ยให้แก่จำเลยที่ 2 คิดเป็นเงินจำนวน 20,359,400 บาท โดยจำเลยที่ 1 ออกใบสั่งจ่ายสินค้าระบุประเภทจำนวน น้ำหนัก และชื่อที่จำเลยที่ 2 ใช้ในทางการค้า ให้แก่จำเลยที่ 2เพื่อนำไปเบิกปุ๋ยจากโกดังของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2ชำระราคาปุ๋ยด้วยการสั่งจ่ายเช็คลงวันที่ล่วงหน้า
++ ต่อมาจำเลยที่ 2 ขายปุ๋ยด้วยการส่งมอบใบสั่งจ่ายสินค้าดังกล่าวบางส่วนให้แก่โจทก์ ตามใบสั่งจ่ายสินค้าเอกสารหมาย จ.1 แต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมจ่ายสินค้าตามใบสั่งจ่ายสินค้าดังกล่าวโดยอ้างว่าเช็คชำระค่าปุ๋ยของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ซื้อปุ๋ยดังกล่าวไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้
++
++ มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 หรือไม่
++ ที่โจทก์ฎีกาว่า การซื้อขายปุ๋ยในคดีนี้ระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดเพราะมีการชำระราคาตั้งแต่แรก และเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งคือปุ๋ยตามใบสั่งจ่ายสินค้าเอกสารหมาย จ.1 กำหนดจำนวนน้ำหนักและขนาดบรรจุแน่นอน ไม่จำเป็นต้องนับ ชั่ง ตวงใหม่ และไม่จำต้องมากำหนดราคาที่แน่นอนใหม่
++ เห็นว่า ปุ๋ยที่จำเลยที่ 2 ตกลงซื้อจากจำเลยที่ 1เก็บอยู่ที่โกดังเก็บสินค้าของจำเลยที่ 1 ยังมิได้มีการคัดเลือกออกมาว่าปุ๋ยถุงใดจะขายให้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อให้บ่งตัวทรัพย์สินนั้นออกเป็นที่แน่นอนแล้วแต่อย่างใด กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายกันยังไม่โอนไปยังจำเลยที่ 2ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 460 วรรคหนึ่ง จึงมิใช่การซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
++ ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของจำเลยที่ 1 นั้น
++ เห็นว่าตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 ขายปุ๋ยให้แก่จำเลยที่ 2 หาได้อ้างว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของจำเลยที่ 1 ไม่ ทั้งข้ออ้างว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนนั้นก็เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
++ ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า เอกสารใบสั่งจ่ายสินค้าเอกสารหมาย จ.1 เป็นทรัพยสิทธิ ไม่ใช่บุคคลสิทธิ จึงสามารถโอนเปลี่ยนมือได้ การซื้อปุ๋ยระหว่างจำเลยที่ 2 กับโจทก์เป็นการโอนหนี้อันพึงต้องชำระแก่โจทก์ผู้ถือใบสั่งจ่ายสินค้าดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 313 ประกอบมาตรา 312 จำเลยที่ 1 จะยกข้อต่อสู้อันมีต่อจำเลยที่ 2 ขึ้นต่อสู้โจทก์ผู้ได้สิทธิมาโดยสุจริตหาได้ไม่นั้น
++ ในข้อนี้ปรากฏข้อความในใบจ่ายสินค้าด้านหน้าทุกฉบับเอกสารหมาย จ.1 ว่า "บริษัทเวิลด์เฟอท จำกัด...ใบสั่งจ่ายสินค้าเลขที่...วันที่...ใบส่งของเลขที่...เรียนหัวหน้าคลังสินค้าบริษัทเวิลด์เฟอท จำกัด (บางยอ) โปรดจ่ายสินค้าให้คุณกิจจา บุญนำ สินค้าปุ๋ยสูตร ... ขนาด... กกง จำนวน...กระสอบน้ำหนัก...ตัน ได้รับสินค้าตามรายการข้างบนนี้ไว้ถูกต้องเรียบร้อยแล้วผู้รับสินค้า...ผู้ซื้อ... ผู้ตรวจสอบ...ผู้อนุมัติ..." ส่วนที่ด้านหลังใบสั่งจ่ายสินค้าดังกล่าวระบุข้อความเป็นคำเตือนของบริษัทจำเลยที่ 1และมีข้อความว่า "ลงชื่อ...ผู้โอน"
++ เมื่อได้วินิจฉัยไว้ข้างต้นแล้วว่าการซื้อขายปุ๋ยระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ใช่การซื้อขายเสร็จเด็ดขาด กรรมสิทธิ์ในปุ๋ยที่ขายยังไม่โอนมาเป็นของจำเลยที่ 2 ใบสั่งจ่ายสินค้าดังกล่าวจึงมิใช่ตราสารแสดงกรรมสิทธิ์ในสินค้าปุ๋ยอันเป็นทรัพยสิทธิจำเลยที่ 2 มีเพียงสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1ส่งมอบปุ๋ยชนิด ขนาดบรรจุ จำนวน และน้ำหนักตามที่ระบุในใบสั่งจ่ายสินค้าดังกล่าวอันเป็นเพียงบุคคลสิทธิที่ผูกพันกันระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2เท่านั้น
++ ทั้งใบสั่งจ่ายสินค้าตามเอกสารหมาย จ.1 ก็เป็นเอกสารที่จำเลยที่ 1ได้ระบุไว้ชัดเจนให้หัวหน้าคลังสินค้าของจำเลยที่ 1 จ่ายสินค้าตามใบสั่งจ่ายสินค้าให้แก่บุคคลผู้มีชื่อคือจำเลยที่ 2 ใบสั่งจ่ายสินค้าดังกล่าวจึงมิใช่ตราสารอันพึงต้องชำระแก่ผู้ถือ ตามนัยของมาตรา 313 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
++ ดังนี้ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อในช่องผู้โอนสิทธิเรียกร้องตามใบสั่งจ่ายสินค้าให้แก่โจทก์ไว้ที่ด้านหลังใบสั่งจ่ายสินค้าทุกฉบับตามเอกสารหมาย จ.1 หรือได้ทำเป็นหนังสือโอนหนี้อันพึงต้องชำระแก่โจทก์เจ้าหนี้โดยเฉพาะเจาะจงแต่อย่างใด การที่โจทก์นำใบสั่งจ่ายสินค้าตามเอกสารหมาย จ.1 ไปขอรับสินค้าจากจำเลยที่ 1ย่อมเป็นได้เพียงการทำการแทนจำเลยที่ 2 เท่านั้น โจทก์และจำเลยที่ 1จึงมิได้มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน
++ เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ยอมจ่ายสินค้าตามใบสั่งจ่ายสินค้าเอกสารหมาย จ.1 นั้น โจทก์ก็ไม่อาจอ้างว่าถูกจำเลยที่ 1 โต้แย้งสิทธิและมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ส่งมอบสินค้าตามใบสั่งจ่ายสินค้าเอกสารหมาย จ.1 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1304/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการโต้แย้งสิทธิเกินกว่าการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอม
แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ตามที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้างว่า คดีอยู่ระหว่างจำเลยที่ 1 ผ่อนชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลพิพากษาตามยอมและจำเลยที่ 1 ยังมิได้ผิดนัด การที่โจทก์มีหนังสือขอให้ศาลจังหวัดสุรินทร์หักเงินบำเหน็จที่จำเลยที่ 1 จะได้รับเนื่องจากการลาออกจากราชการเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมเป็นการไม่ชอบนั้นก็เป็นเรื่องที่โจทก์มิได้มีการบังคับคดีจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 4 แต่เป็นเรื่องที่โจทก์โต้แย้งสิทธิของจำเลยที่ 1 นอกเหนือการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอม จำเลยที่ 1 ชอบที่จะไปว่ากล่าวโจทก์เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1304/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการยื่นคำร้องในคดีประนีประนอม และการบังคับคดีนอกเหนือคำพิพากษา
ศาลมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งจำเลยทั้งสามยอมชำระหนี้ให้โจทก์โดยผ่อนชำระเป็นรายเดือน หากผิดนัดงวดใดถือว่าผิดนัดทั้งหมด ยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที ระหว่างการผ่อนชำระหนี้จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ลาออกจากการทำงานและได้ยื่นคำร้องว่าที่โจทก์ขอให้ต้นสังกัดซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 หักเงินบำเหน็จโดยอาศัยสิทธิตามสัญญากู้ยืมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นการไม่ชอบเพราะจำเลยที่ 1 ยังไม่ผิดนัด ศาลชั้นต้นไม่รับวินิจฉัยคำร้องของจำเลย เนื่องจากจำเลยไม่มีสิทธิยื่นคำร้องเข้ามาในคดีให้ศาลกำหนดวิธีการอย่างใด ๆ ที่บัญญัติไว้ในภาค 4 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความในระหว่างการบังคับตามคำพิพากษา อุทธรณ์ของจำเลยแม้พอจะถือได้ว่าเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้น แต่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยในประเด็นเบื้องต้นก่อนว่าจำเลยมีสิทธิยื่นคำร้องเข้ามาในคดีนี้เพื่อให้ศาลกำหนดวิธีการอย่างใด ๆ ที่บัญญัติไว้ในภาค 4 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หรือไม่ ซึ่งศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้และเป็นประเด็นที่ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น แต่ศาลอุทธรณ์กลับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยโดยตั้งประเด็นว่าโจทก์มีสิทธิขอให้ต้นสังกัดของลูกจ้างหักเงินบำเหน็จที่จำเลยที่ 1 จะได้รับ เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ ซึ่งปัญหานี้ศาลชั้นต้นไม่รับวินิจฉัยเพราะเป็นเพียงประเด็นต่อจากประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้ยกคำร้องของจำเลย การที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยประเด็นหลักในเบื้องต้นก่อนเช่นนี้จึงไม่ชอบ แม้โจทก์จะมิได้ฎีกาในปัญหานี้แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5),246 และ 257และแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ตามที่จำเลยที่ 1 อ้าง ก็เป็นเรื่องที่โจทก์มิได้มีการบังคับคดีจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 4 และเป็นเรื่องที่โจทก์โต้แย้งสิทธิของจำเลยที่ 1 นอกเหนือการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอม จำเลยที่ 1 ต้องไปว่ากล่าวโจทก์เป็นอีกคดีหนึ่ง ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องเข้ามาในคดีนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1304/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอหักเงินบำเหน็จเพื่อชำระหนี้จากการประนีประนอมยอมความ: โจทก์ต้องใช้กระบวนการบังคับคดี
แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ตามที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้างว่า คดีอยู่ระหว่างจำเลยที่ 1 ผ่อนชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลพิพากษาตามยอมและจำเลยที่ 1 ยังมิได้ผิดนัด การที่โจทก์มีหนังสือขอให้ศาลจังหวัดสุรินทร์หักเงินบำเหน็จที่จำเลยที่ 1 จะได้รับเนื่องจากการลาออกจากราชการเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมเป็นการไม่ชอบนั้น ก็เป็นเรื่องที่โจทก์มิได้มีการบังคับคดีจำเลยที่ 1 ตาม ป.วิ.พ.ภาค 4 แต่เป็นเรื่องที่โจทก์โต้แย้งสิทธิของจำเลยที่ 1 นอกเหนือการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอม จำเลยที่ 1 ชอบที่จะไปว่ากล่าวโจทก์เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1231/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: โต้แย้งดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐานและข้อเท็จจริง เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยฐานยักยอก ตาม ป.อ.มาตรา 352 วรรคแรก, 91 รวม 106 กระทง จำคุกกระทงละ 1 เดือน รวมจำคุก 106 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นจำคุกกระทงละ 20 วัน เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และโทษจำคุกไม่เกินห้าปี คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลควรจะยกฟ้องโจทก์ทั้ง159 กรรม มิใช่เพียง 59 กรรม ด้วยเหตุผล 6 ประการ ตามฎีกาของจำเลยซึ่งล้วนแต่เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระกันหรือไม่โดยจำเลยอ้างว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังพยานหลักฐานที่ไม่มีเอกสารเป็นการไม่ชอบ ก็เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังมา เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้าง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1231/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: การโต้แย้งดุลพินิจศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ในการรับฟังพยานหลักฐานถือเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยฐานยักยอกตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก,91 รวม 106 กระทง จำคุกกระทงละ 1 เดือน รวมจำคุก 106 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นจำคุกกระทงละ 20 วัน เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และโทษจำคุกไม่เกินห้าปี คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลควรจะยกฟ้องโจทก์ทั้ง 159 กรรม มิใช่เพียง59 กรรม ด้วยเหตุผล 6 ประการ ตามฎีกาของจำเลยซึ่งล้วนแต่เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระกันหรือไม่ โดยจำเลยอ้างว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังพยานหลักฐานที่ไม่มีเอกสารเป็นการไม่ชอบ ก็เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังมา เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้าง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1171/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนนิติกรรมการให้สินสมรสหลังพ.ร.บ.ใช้บังคับ และอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1480
ที่ดินและบ้านพิพาท เป็นทรัพย์สินที่จำเลยที่ 1 ได้มาระหว่างสมรสกับโจทก์ก่อน ป.พ.พ.บรรพ 5 ที่ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 ใช้บังคับ จึงเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 และเมื่อไม่ปรากฏว่ามีสัญญาก่อนสมรสบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ทั้งตาม พ.ร.บ.ให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่ง ป.พ.พ.ที่ได้ตรวจชำระใหม่พ.ศ. 2519 มาตรา 7 บัญญัติว่า บทบัญญัติ บรรพ 5 แห่ง ป.พ.พ.ที่ได้ตรวจชำระใหม่ท้าย พ.ร.บ.นี้ ไม่กระทบกระเทือนถึงอำนาจการจัดการสินบริคณห์ที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มีอยู่แล้วในวันใช้บังคับบทบัญญัติ บรรพ 5 แห่ง ป.พ.พ.ที่ได้ตรวจชำระใหม่ท้าย พ.ร.บ.นี้ เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นสามีมีอำนาจในการจัดการรวมทั้งอำนาจจำหน่ายสินสมรสอยู่แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจจัดการสินสมรสต่อไป การที่จำเลยที่ 1 ได้ยกที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 โดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจขอเพิกถอนนิติกรรมได้ แต่การเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวได้กระทำเมื่อใช้บทบัญญัติ ป.พ.พ. บรรพ 5 ที่ตรวจชำระใหม่ ใช้บังคับ ซึ่งเป็นกรณีไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับแก่คดีได้ จึงต้องนำบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งคือ ป.พ.พ. มาตรา 1480 มาใช้บังคับตามมาตรา 4 นิติกรรมการให้ระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำลงเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2529 โจทก์ยื่นฟ้องขอให้เพิกถอนการให้เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2541 จึงเป็นการฟ้องหลังจากพ้นสิบปีนับแต่วันที่ได้ทำนิติกรรมนั้น ฟ้องโจทก์ย่อมขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา1480 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1171/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเพิกถอนนิติกรรมให้ทรัพย์สินระหว่างสมรส ฟ้องเกิน 10 ปี ขาดอายุความ
ที่ดินและบ้านพิพาท เป็นทรัพย์สินที่จำเลยที่ 1 ได้มาระหว่างสมรสกับโจทก์ก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ที่ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519ใช้บังคับ จึงเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 และเมื่อไม่ปรากฏว่ามีสัญญาก่อนสมรสบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ทั้งตามพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจชำระใหม่พ.ศ. 2519 มาตรา 7 บัญญัติว่า บทบัญญัติ บรรพ 5 แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ท้ายพระราชบัญญัตินี้ไม่กระทบกระเทือนถึงอำนาจการจัดการสินบริคณห์ที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มีอยู่แล้วในวันใช้บังคับบทบัญญัติ บรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ท้ายพระราชบัญญัตินี้ เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นสามีมีอำนาจในการจัดการ รวมทั้งอำนาจจำหน่ายสินสมรสอยู่แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจจัดการสินสมรสต่อไป การที่จำเลยที่ 1 ได้ยกที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 โดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์โจทก์จึงมีอำนาจขอเพิกถอนนิติกรรมได้ แต่การเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวได้กระทำเมื่อใช้บทบัญญัติ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ที่ตรวจชำระใหม่ใช้บังคับ ซึ่งเป็นกรณีไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับแก่คดีได้ จึงต้องนำบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1480 มาใช้บังคับตามมาตรา 4 นิติกรรมการให้ระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำลงเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2529 โจทก์ยื่นฟ้องขอให้เพิกถอนการให้เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2541 จึงเป็นการฟ้องหลังจากพ้นสิบปี นับแต่วันที่ได้ทำนิติกรรมนั้น ฟ้องโจทก์ย่อมขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1480 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1130/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิจำเลยในการมีทนายความและการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องจำเลยฐานมีฝิ่นอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 2หนัก 0.57 กรัม ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 17 วรรคหนึ่ง, 69 วรรคหนึ่ง มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท ฉะนั้นก่อนเริ่มพิจารณาศาลชั้นต้นต้องสอบถามจำเลยถึงเรื่องทนายความก่อนตาม ป.วิ.อ.มาตรา 173 วรรคสอง แต่ศาลชั้นต้นไม่ได้สอบถามจำเลย จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นสอบถามจำเลยเรื่องทนายความแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดีชอบแล้ว