พบผลลัพธ์ทั้งหมด 420 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 384/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำชำเราผู้เยาว์โดยมีตัวการร่วม ข่มขู่ และผลกระทบต่อการแจ้งความล่าช้า
จำเลยที่ 2 เป็นภริยาจำเลยที่ 3 ได้ช่วยจำเลยที่ 3 ถอดเสื้อผ้าผู้เสียหายออกระหว่างนั้นก็คอยปิดปากและจับแขนผู้เสียหายไว้เหนือศีรษะให้จำเลยที่ 3 กระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ ถือได้ว่าเป็นตัวการร่วมในการกระทำชำเราผู้เสียหายแล้วตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 83
การที่ผู้เสียหายเบิกความถึงเหตุการณ์หลังจากถูกกระทำชำเราแล้วจำเลยที่ 2 และที่ 3 ข่มขู่ว่าหากเอาเรื่องไปบอกคนอื่นจะฆ่าให้ตาย ผู้เสียหายเคยเล่าเรื่องให้จำเลยที่ 1 ฟังแต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือ ซ้ำยังถูกจำเลยที่ 2 ตบอีกอันเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้เสียหายเกรงกลัว ไม่กล้าเล่าให้ผู้ใดฟัง ผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์อายุเพียง 14 ปีเศษ มีการศึกษาน้อยไม่เคยอยู่ที่จังหวัดราชบุรีซึ่งเป็นจังหวัดเกิดเหตุมาก่อน ไม่ทราบว่าสถานีตำรวจอยู่ที่ไหนและจะต้องดำเนินการอย่างไร เมื่อสบโอกาสเพราะบ้านเกิดเหตุปลอดคน ผู้เสียหายจึงหนีกลับบ้านที่จังหวัดเพชรบุรีแล้วเล่าเรื่องให้ ล. ฟังนั้น เป็นการเบิกความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตามลำดับและสมเหตุผล แม้ว่าเมื่อเกิดเหตุแล้วผู้เสียหายไม่ได้รีบแจ้งความก็ไม่เป็นพิรุธเพราะถูกขู่เอาไว้ส่วนที่ ล. เบิกความว่าไม่ได้รีบแจ้งความทันทีเพราะไม่อาจตัดสินใจว่าจะจัดการอย่างไร เนื่องจากจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีพระคุณต่อผู้เสียหายมาก่อน ต้องรอปรึกษามารดาจำเลยที่ 1 ก่อนแล้วจึงไปแจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสามนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่า ล. เคยมีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 3 มาก่อน จึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งหรือปรักปรำจำเลยที่ 3 คำเบิกความดังกล่าวของ ล. จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ
การที่ผู้เสียหายเบิกความถึงเหตุการณ์หลังจากถูกกระทำชำเราแล้วจำเลยที่ 2 และที่ 3 ข่มขู่ว่าหากเอาเรื่องไปบอกคนอื่นจะฆ่าให้ตาย ผู้เสียหายเคยเล่าเรื่องให้จำเลยที่ 1 ฟังแต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือ ซ้ำยังถูกจำเลยที่ 2 ตบอีกอันเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้เสียหายเกรงกลัว ไม่กล้าเล่าให้ผู้ใดฟัง ผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์อายุเพียง 14 ปีเศษ มีการศึกษาน้อยไม่เคยอยู่ที่จังหวัดราชบุรีซึ่งเป็นจังหวัดเกิดเหตุมาก่อน ไม่ทราบว่าสถานีตำรวจอยู่ที่ไหนและจะต้องดำเนินการอย่างไร เมื่อสบโอกาสเพราะบ้านเกิดเหตุปลอดคน ผู้เสียหายจึงหนีกลับบ้านที่จังหวัดเพชรบุรีแล้วเล่าเรื่องให้ ล. ฟังนั้น เป็นการเบิกความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตามลำดับและสมเหตุผล แม้ว่าเมื่อเกิดเหตุแล้วผู้เสียหายไม่ได้รีบแจ้งความก็ไม่เป็นพิรุธเพราะถูกขู่เอาไว้ส่วนที่ ล. เบิกความว่าไม่ได้รีบแจ้งความทันทีเพราะไม่อาจตัดสินใจว่าจะจัดการอย่างไร เนื่องจากจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีพระคุณต่อผู้เสียหายมาก่อน ต้องรอปรึกษามารดาจำเลยที่ 1 ก่อนแล้วจึงไปแจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสามนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่า ล. เคยมีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 3 มาก่อน จึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งหรือปรักปรำจำเลยที่ 3 คำเบิกความดังกล่าวของ ล. จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 330/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินวางศาลชำระหนี้ตามคำพิพากษา หากเจ้าหนี้ไม่เรียกรับภายใน 5 ปี เงินตกเป็นของแผ่นดิน
เงินที่จำเลยนำมาวางศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ตามที่ศาลออกคำบังคับ ถือได้ว่าเป็นเงินที่ค้างจ่ายอยู่ในศาล โจทก์ผู้มีสิทธิจะต้องเรียกเอาภายในห้าปีนับแต่วันที่จำเลยนำเงินมาวางศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 323 มิใช่นับจากวันที่โจทก์ผู้มีสิทธิได้ทราบถึงการวางเงิน กรณีมิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิบังคับเอาแก่จำเลยได้ภายใน 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 278/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลดโทษประหารชีวิตเป็นจำคุกตลอดชีวิต: พิจารณาจากความร้ายแรงแห่งคดี
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 52(2) ในการลดโทษประหารชีวิตถ้าจะลดกึ่งหนึ่งให้ลดเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือโทษจำคุกตั้งแต่ 25 ปีถึง 50 ปี ซึ่งศาลจะลดโทษให้เพียงใดเป็นดุลพินิจของศาล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดว่าร้ายแรงหรือไม่เพียงใด เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 1เป็นภริยาผู้ตายสมคบกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ฆ่าผู้ตายแล้วยังใช้น้ำมันราดและจุดไฟเผาศพผู้ตายเพื่อปิดบังซ่อนเร้นการตาย พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นการกระทำความผิดร้ายแรงและไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจลดโทษให้จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่งจากโทษประหารชีวิตเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิตนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 210/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิเสธการรับมอบรถยนต์ที่ชำระหนี้ไม่ถูกต้องตามคำพิพากษา ศาลมีสิทธิปฏิเสธและบังคับตามคำพิพากษาเดิมได้
ศาลชั้นต้นมีคำวินิจฉัยชัดเจนให้จำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อร่วมกับจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันส่งมอบรถยนต์ในสภาพใช้การได้ดีคืนโจทก์ หากไม่ส่งมอบคืนก็ให้ใช้ราคาแทนพร้อมกับค่าเสียหาย แม้ในตอนท้ายของคำพิพากษาจะมิได้ระบุว่าจำเลยทั้งสองจะต้องส่งมอบรถยนต์แก่โจทก์ในสภาพเช่นไรแต่ก็พึงเข้าใจได้ว่าจะต้องส่งมอบในสภาพที่ใช้การได้ดีดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้แล้วในตอนต้น เพราะการพิจารณาถึงความหมายของคำพิพากษาเพื่อปฏิบัติการชำระหนี้ให้ถูกต้องนั้นต้องพิจารณาจากคำพิพากษาทั้งฉบับ มิใช่เฉพาะแต่ส่วนใดส่วนหนึ่ง การที่จำเลยที่ 1 นำรถยนต์มาส่งมอบแก่โจทก์หลังจากมีคำบังคับแล้วถึง 1 ปีเศษ ซึ่งเมื่อตรวจสอบแล้วปรากฏว่าไม่มีทะเบียนทำให้ไม่ทราบว่าเป็นรถยนต์คันเดียวกับที่ศาลมีคำพิพากษาหรือไม่ แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ใช้รถยนต์อย่างไม่ดูแลรักษา เพราะแม้กระทั่งทะเบียนรถก็ไม่มี ฉะนั้น การที่โจทก์ไม่ยอมรับรถยนต์โดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติการชำระหนี้ไม่ถูกต้องตรงตามคำพิพากษาเพราะไม่อยู่ในสภาพใช้การได้ดีจึงมีเหตุผลและเป็นการกระทำโดยชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 210/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ตามคำพิพากษาต้องถูกต้องตามสภาพรถยนต์ที่ใช้การได้ โจทก์มีสิทธิปฏิเสธรับมอบหากสภาพไม่ดี
ศาลชั้นต้นมีคำวินิจฉัยไว้ว่าจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อผิดสัญญาจึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 2ผู้ค้ำประกันส่งมอบรถยนต์ในสภาพใช้การได้ดีคืนโจทก์ หากไม่ส่งมอบคืนก็ให้ใช้ราคาแทน แม้ในตอนท้ายของคำพิพากษามิได้ระบุว่ารถยนต์จะต้องอยู่ในสภาพเช่นไรก็ตามแต่ก็พึงเป็นที่เข้าใจว่าจะต้องอยู่ในสภาพที่ใช้การได้ดีดังที่ได้มีคำวินิจฉัยไว้แล้วในตอนต้นเพราะการพิจารณาถึงความหมายของคำพิพากษาเพื่อปฏิบัติการชำระหนี้ที่ถูกต้อง จะต้องพิจารณาจากคำพิพากษาทั้งฉบับ ดังนั้น เมื่อรถยนต์ไม่อยู่ในสภาพใช้การได้ดีแล้ว การที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์แก่โจทก์ ก็เท่ากับจำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติการชำระหนี้ให้ถูกต้องตรงตามคำพิพากษา โจทก์ย่อมมีสิทธิปฏิเสธไม่ยอมรับรถยนต์และขอให้บังคับจำเลยทั้งสองปฏิบัติชำระหนี้ตามคำพิพากษาลำดับที่สองต่อไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 210/2545 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ตามคำพิพากษาต้องถูกต้องตามสภาพรถยนต์ที่ส่งมอบ โจทก์มีสิทธิปฏิเสธหากสภาพไม่ใช้การได้
การพิจารณาถึงความหมายของคำพิพากษาเพื่อปฏิบัติการชำระหนี้ให้ถูกต้อง จะต้องพิจารณาจากคำพิพากษาทั้งฉบับมิใช่แต่เฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง
ศาลชั้นต้นมีคำวินิจฉัยไว้ชัดเจนว่าจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อผิดสัญญาจึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันส่งมอบ รถยนต์ในสภาพใช้การได้ดีคืนโจทก์หากไม่ส่งมอบคืนก็ให้ใช้ราคาแทนพร้อมกับค่าเสียหาย แม้ในตอนท้ายของ คำพิพากษาจะมิได้ระบุว่ารถยนต์ที่จำเลยทั้งสองมีหน้าที่ส่งมอบแก่โจทก์จะต้องอยู่ในสภาพเช่นไรก็ตาม แต่ก็พึงเป็นที่เข้าใจได้ว่ารถยนต์จะต้องอยู่ในสภาพที่ใช้การได้ดีดังที่ศาลได้มีคำวินิจฉัยไว้ในตอนต้น หากรถยนต์ไม่อยู่ในสภาพใช้การได้ดีแล้ว การที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ดังกล่าวแก่โจทก์ก็เท่ากับจำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติการชำระหนี้ให้ถูกต้องตรงตามคำพิพากษา โจทก์ย่อมมีสิทธิปฏิเสธไม่ยอมรับรถยนต์และขอให้บังคับจำเลยทั้งสองปฏิบัติการชำระหนี้ตาม คำพิพากษาลำดับที่สองต่อไปได้
ศาลชั้นต้นมีคำวินิจฉัยไว้ชัดเจนว่าจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อผิดสัญญาจึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันส่งมอบ รถยนต์ในสภาพใช้การได้ดีคืนโจทก์หากไม่ส่งมอบคืนก็ให้ใช้ราคาแทนพร้อมกับค่าเสียหาย แม้ในตอนท้ายของ คำพิพากษาจะมิได้ระบุว่ารถยนต์ที่จำเลยทั้งสองมีหน้าที่ส่งมอบแก่โจทก์จะต้องอยู่ในสภาพเช่นไรก็ตาม แต่ก็พึงเป็นที่เข้าใจได้ว่ารถยนต์จะต้องอยู่ในสภาพที่ใช้การได้ดีดังที่ศาลได้มีคำวินิจฉัยไว้ในตอนต้น หากรถยนต์ไม่อยู่ในสภาพใช้การได้ดีแล้ว การที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ดังกล่าวแก่โจทก์ก็เท่ากับจำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติการชำระหนี้ให้ถูกต้องตรงตามคำพิพากษา โจทก์ย่อมมีสิทธิปฏิเสธไม่ยอมรับรถยนต์และขอให้บังคับจำเลยทั้งสองปฏิบัติการชำระหนี้ตาม คำพิพากษาลำดับที่สองต่อไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 193/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการถอนเงินตามคำสั่งศาลเพิกถอนการอายัดก่อนพิพากษา การถอนเกินจำนวนที่ศาลสั่งต้องคืน
โจทก์ทั้งสามฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้เลิกห้างจำเลยที่ 1 และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอายัดเงินฝากในธนาคารของจำเลยที่ 1 ไว้ก่อนพิพากษาตามคำร้องของโจทก์ทั้งสาม จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการอายัดดังกล่าวศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนการอายัดเงินก่อนพิพากษาโดยคิดตามอัตราส่วนการลงหุ้นระหว่างโจทก์ทั้งสามกับจำเลยที่ 2 โดยแบ่งเป็น9 ส่วน และให้เพิกถอนเพียง 4 ส่วนใน 9 ส่วน เป็นเงิน 26,492,000 บาทเพื่อให้จำเลยที่ 2 มีโอกาสใช้เงินหมุนเวียนดำเนินกิจการของห้างจำเลยที่ 1ต่อไปได้ แม้ตามคำร้องของจำเลยที่ 2 จะแสดงรายละเอียดว่าเงินที่ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการอายัด 4 ส่วนนั้น เป็นเงิน 48,496,745.08 บาทก็ตามแต่เมื่อศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการอายัดเพียง 26,492,000 บาท ซึ่งจำเลยที่ 2มิได้โต้แย้งในยอดเงินดังกล่าว แสดงว่าจำเลยที่ 2 เห็นด้วยกับจำนวนเงินที่ศาลสั่งให้เพิกถอนการอายัดนั้นว่าเพียงพอที่จะนำไปใช้หมุนเวียนในกิจการของจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 2 จึงไม่อาจถอนเงินเกินกว่าจำนวนที่ศาลสั่งได้แม้ส่วนที่เกินจะเป็นเงินดอกเบี้ยของเงินฝากที่ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการอายัดก็ตาม แต่เงินดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลและจะเป็นประโยชน์แก่โจทก์ทั้งสามและจำเลยที่ 2 เมื่อศาลมีคำพิพากษาให้เลิกห้างและมีการชำระบัญชีต่อไป จำเลยที่ 2 จึงต้องนำเงินส่วนที่ถอนจากธนาคารเกินไปมาคืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 154/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนายิงปืนในที่สาธารณะ เล็งเห็นผลถึงแก่ชีวิต ถือเป็นความผิดฐานพยายามฆ่า
จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงไปทางกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในร้านขายอาหารซึ่งมีประมาณ 20 คน โดยไม่ใยดีว่ากระสุนปืนจะถูกใครหรือไม่ แม้จะเป็นการยิงเพียงนัดเดียวก็อาจถูกผู้อื่นถึงแก่ความตายได้ ทั้งกระสุนปืนดังกล่าวถูกต้นขาขวาของเด็กคนหนึ่งจึงเป็นการกระทำที่ย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น เป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคสอง จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเล่นแชร์ผิดกฎหมายทำให้เช็คไม่มีมูลหนี้ ผู้สั่งจ่ายและผู้สลักหลังไม่ต้องรับผิด
เมื่อวงแชร์ที่เป็นมูลหนี้ในการสั่งจ่ายเช็คพิพาทมีห้างหุ้นส่วนจำกัดพ. ซึ่งเป็นนิติบุคคลเป็นนายวงแชร์ อันต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ฯ มาตรา 5 นิติกรรมการเล่นแชร์ดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 เช็คพิพาทจึงไม่มีมูลหนี้ที่จะบังคับได้ตามกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้สั่งจ่ายรับผิดตามเช็คพิพาท และการที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้สลักหลังให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1ใช้เงินตามเช็คพิพาทดังกล่าวแก่โจทก์ซึ่งเป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้จำเลยที่ 1 ฎีกาเพียงผู้เดียว ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ที่มิได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1)ประกอบมาตรา 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9862/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นต้องดำเนินการภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย หากพ้นกำหนด ฟ้องร้องไม่ได้
บริษัททำการประชุมใหญ่วิสามัญผู้ถือหุ้น ที่ประชุมใหญ่มีมติเป็นเอกฉันท์ให้โอนกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ของบริษัท หากผู้ถือหุ้นในบริษัทประสงค์จะขอให้เพิกถอนมตินั้นโดยเห็นว่าผิดระเบียบ ผู้ถือหุ้นต้องปฏิบัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 1195 ซึ่งบัญญัติว่า การประชุมใหญ่นั้นถ้านัดเรียกหรือได้ประชุมหรือลงมติโดยฝ่าฝืนกฎหมายหรือข้อบังคับของบริษัท กรรมการหรือผู้ถือหุ้นจะร้องขอให้เพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่ ต้องร้องขอภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันลงมติ