พบผลลัพธ์ทั้งหมด 772 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1992/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามคำพิพากษา: การวางเงินชำระหนี้ต้องถูกต้องครบถ้วนก่อนจดทะเบียนโอน หากวางเงินแล้วแต่มีเงื่อนไขเพิ่มเติม อาจถูกเพิกถอนได้
การบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกานั้น เมื่อโจทก์จะรับโอนที่ดินพิพาทโดยถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย โจทก์มีหน้าที่ต้องนำเงินค่าที่ดินมาวางศาลภายในกำหนดเพื่อชำระให้แก่จำเลยเสียก่อน การที่โจทก์นำเงินค่าที่ดินไปวางศาลแล้วต่อมาโจทก์ยื่นคำแถลงขอให้งดการจ่ายเงินไว้ก่อน เนื่องจากโจทก์เห็นว่าจำเลยจะต้องรับผิดชอบค่าธรรมเนียมและค่าภาษีในการโอนทั้งที่โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะขอหักกลบลบหนี้ได้เพราะคำพิพากษาศาลฎีกามิได้กำหนดให้จำเลยรับผิดชอบค่าธรรมเนียมและค่าภาษีในการโอนด้วย การวางเงินของโจทก์ในลักษณะดังกล่าวจึงเป็นการวางเงินที่จำเลยไม่อาจรับเงินที่วางไว้ได้ในทันที แสดงให้เห็นว่าโจทก์ซึ่งมีหนี้ตามคำพิพากษาที่จะต้องชำระตอบแทนให้แก่จำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิบังคับคดีโดยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทมาเป็นของโจทก์ได้ อย่างไรก็ดี แม้โจทก์ได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทมาเป็นของโจทก์โดยมิชอบ แต่หลังจากนั้น ศาลชั้นต้นก็มีคำสั่งอนุญาตให้เบิกจ่ายเงินที่โจทก์นำมาวางศาลให้แก่จำเลยได้ซึ่งเมื่อโจทก์อุทธรณ์และฎีกา ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืนจำเลยจึงต้องรับเงินที่โจทก์นำมาวางศาลและถือได้ว่าทั้งโจทก์และจำเลยได้ปฏิบัติการชำระหนี้ต่างตอบแทนตามคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนการบังคับคดีของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1830/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาห้ามวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ที่จำเลยให้การรับสารภาพ และปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องตามช่วงเวลาที่กระทำผิด
โจทก์บรรยายฟ้องไว้ชัดแจ้งว่า จำเลยเป็นนายจ้างของลูกจ้างผู้มีชื่อจำนวน 55 คน ได้กระทำผิดด้วยการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 และ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยไม่ยอมจ่ายค่าชดเชยให้ลูกจ้างดังกล่าว จำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังตามที่โจทก์บรรยาย มาในคำฟ้อง จำเลยจะฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงให้ผิดไปจากที่ปรากฏในคำฟ้องซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพแล้วไม่ได้ ทั้งข้อเท็จจริงที่จำเลยกล่าวอ้างในฎีกาก็เป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 แต่การกระทำความผิดเกิดขึ้นก่อน พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มีผลใช้บังคับจึงต้องปรับบทให้ถูกต้องตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 103 ลงวันที่ 16 มีนาคม 2515 และประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับในขณะกระทำความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1811/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดียาเสพติดต้องพิจารณาปริมาณสารบริสุทธิ์ หากต่ำกว่าเกณฑ์กฎหมาย โจทก์ต้องพิสูจน์เจตนา
บทบัญญัติมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯหมายความว่า บุคคลที่มียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเมื่อคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ยี่สิบกรัมขึ้นไป ให้ถือว่าบุคคลนั้นมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอันเป็นข้อสันนิษฐานเด็ดขาดตามกฎหมายโดยโจทก์ไม่ต้องนำสืบว่าบุคคลนั้นมีเจตนามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่ถ้ามีไว้ในครอบครองคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ไม่ถึงยี่สิบกรัม โจทก์ต้องนำสืบให้ฟังได้ว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายถ้าโจทก์นำสืบไม่ได้จะฟังว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามข้อสันนิษฐานดังกล่าวหาได้ไม่ คงฟังได้เพียงว่ามีไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
คำฟ้องระบุว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางมีน้ำหนักรวมเพียง5.76 กรัม เห็นได้ชัดแจ้งว่าคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ไม่ถึงยี่สิบกรัมและโจทก์ก็มิได้ประสงค์ให้ลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเพราะมีเมทแอมเฟตามีนคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ยี่สิบกรัมขึ้นไป จึงหาต้องคำนวณและระบุจำนวนสารบริสุทธิ์มาในคำฟ้องและรายงานผลการตรวจพิสูจน์ไม่
คำฟ้องระบุว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางมีน้ำหนักรวมเพียง5.76 กรัม เห็นได้ชัดแจ้งว่าคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ไม่ถึงยี่สิบกรัมและโจทก์ก็มิได้ประสงค์ให้ลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเพราะมีเมทแอมเฟตามีนคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ยี่สิบกรัมขึ้นไป จึงหาต้องคำนวณและระบุจำนวนสารบริสุทธิ์มาในคำฟ้องและรายงานผลการตรวจพิสูจน์ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1370/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไถ่ขายฝากที่ดินภายในกำหนด แม้ยังมิได้จดทะเบียนก็มีผลผูกพัน โจทก์มีสิทธิฟ้องร้องได้ตลอดเวลา
ผู้ขายฝากได้ไถ่ที่ดินพิพาทจากผู้ซื้อภายในกำหนดในสัญญาขายฝากแล้ว แม้จะไม่มีการจดทะเบียนไถ่การขายฝากก็เป็นเพียงทำให้การกลับคืนมาซึ่งทรัพยสิทธิในที่ดินพิพาทยังไม่บริบูรณ์เท่านั้น แต่มีผลใช้บังคับยันกันเองได้ แม้ยังมิได้มีการจดทะเบียนไถ่ ที่ดินที่ขายฝากก็ตกเป็นของผู้ขายฝากทันที ซึ่งมีผลบังคับยันกันได้ระหว่างคู่สัญญา ผู้จัดการมรดกของผู้ขายฝากย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนและฟ้องร้องขอให้ผู้ซื้อจดทะเบียนไถ่การขายฝากที่ดินในระยะเวลาใดก็ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1370/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไถ่การขายฝากที่ดินภายในกำหนด แม้ยังไม่ได้จดทะเบียน ก็มีผลผูกพันระหว่างคู่สัญญาและผู้จัดการมรดก คดีไม่ขาดอายุความ
ม. ไถ่ที่ดินจากจำเลยภายในกำหนดในสัญญาขายฝากแล้วแม้จะไม่ได้จดทะเบียนไถ่การขายฝาก ก็เป็นเพียงทำให้การกลับคืนมาซึ่งทรัพย์สิทธิยังไม่บริบูรณ์เท่านั้น แต่ใช้ยันกันได้ระหว่าง ม. กับจำเลย เมื่อโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของ ม. จึงมีผลยันกันได้ระหว่างโจทก์กับจำเลยด้วย โจทก์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนและฟ้องร้องขอให้จำเลยจดทะเบียนไถ่การขายฝากที่ดินแก่โจทก์เมื่อใดก็ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1333/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันคู่ความ แต่ไม่ผูกพันบุคคลภายนอกผู้รับประโยชน์
สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้วที่ระบุ ให้แบ่งที่พิพาทออกเป็นสองส่วน โดยให้แปลงด้านทิศเหนือตกเป็นของผู้ร้องและท. ส่วนแปลงด้านทิศใต้ให้ตกเป็นของผู้คัดค้าน ย่อมผูกพันผู้ร้องและผู้คัดค้านตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 วรรคหนึ่ง โดยผู้คัดค้านมีหน้าที่ต้องขอรังวัดแบ่งแยกและจดทะเบียนลงชื่อผู้ร้องและ ท. เป็นผู้ร่วมถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงด้านทิศเหนือและผู้ร้องมีหน้าที่ต้องยินยอมให้ ท. ลงชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมดังกล่าวด้วยแต่จะอ้างผลเพื่อให้ ท. ยอมรับการเป็นเจ้าของรวมกับผู้ร้องและยินยอมให้ลงชื่อ ท.ในที่ดินไม่ได้เพราะท. เป็นบุคคลภายนอกที่จะได้รับผลประโยชน์มิได้เป็นคู่ความ จึงไม่ผูกพันท.ให้ต้องปฏิบัติตามและเป็นสิทธิของท. ที่จะรับหรือไม่รับที่ดินก็ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1333/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันคู่ความ แต่ไม่ผูกพันบุคคลภายนอกผู้รับประโยชน์
การที่ผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้านทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมตกลงกันให้ผู้ร้องทั้งสองกับบุคคลภายนอกเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาท คำพิพากษานั้นย่อมไม่ผูกพันบุคคลภายนอก แม้ว่าหลังจากนั้นผู้ร้องมายื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าสัญญาประนีประนอมดังกล่าวไม่มีผลผูกพันบุคคลภายนอกคดีและศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามคำร้องว่า คำพิพากษาผูกพันคู่ความในคดีให้ต้องปฏิบัติตาม แต่ไม่ผูกพันบุคคลภายนอก แม้จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากคำพิพากษา ซึ่งหมายความว่า สัญญาประนีประนอมยอมความไม่ผูกพันบุคคลภายนอกให้ต้องปฏิบัติตามและเป็นสิทธิเฉพาะตัวของบุคคลภายนอกผู้รับประโยชน์ว่าจะรับหรือไม่รับที่ดินหรือไม่ก็ได้ เท่านั้น ไม่ต้องนำไปบังคับแก่ผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้านทั้งสอง การที่ผู้ร้องที่ 2 มายื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหนังสือรับรองว่าคำสั่งดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว หรือมายื่นคำแถลงขอให้ศาลออกหนังสือรับรองว่าคำสั่งดังกล่าวไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์หรือฎีกา โดยมีความประสงค์อย่างชัดแจ้งว่า ต้องการนำคำสั่งศาลดังกล่าวไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินในชั้นบังคับคดีว่า ผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้านทั้งสองซึ่งเป็นคู่ความในคดีไม่มีความผูกพันที่จะต้องลงชื่อบุคคลภายนอกเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์รวม เป็นการหลีกเลี่ยงการบังคับคดีให้ผิดจากสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม และทำให้เจ้าพนักงานที่ดินไขว้เขวต่อการปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม ศาลเห็นสมควรไม่ออกหนังสือรับรองให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1135/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งค่าบำเหน็จตัวแทน: เกี่ยวเนื่องกับหนี้เดิม พิจารณาได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาซื้อขายนมกล่อง ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าสินค้าแก่โจทก์ จำเลยให้การและ ฟ้องแย้งว่า จำเลยเป็นตัวแทนค้าต่างของโจทก์ จำเลยได้รับสินค้าและได้นำไปส่งมอบให้แก่ผู้สั่งซื้อแล้ว ชอบที่จะได้ ค่าบำเหน็จจากโจทก์ ตามคำฟ้องและฟ้องแย้งเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทำสัญญาว่าทำกันด้วยเรื่องอะไร ผลของสัญญาจะเป็นเช่นใด ซึ่งโจทก์และจำเลยต่างอ้างว่าอีกฝ่ายต้องรับผิดตามสัญญาเกี่ยวกับการกระทำอันเดียวกัน จำเลยย่อมฟ้องแย้งให้โจทก์ชำระเงินค่าบำเหน็จได้ เพราะเป็นเงินที่เกี่ยวเนื่องกับจำนวนหนี้ที่โจทก์ฟ้อง จึงเป็นเรื่องทีเกี่ยวกับคำฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1135/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งค่าบำเหน็จตัวแทนค้าต่างเกี่ยวข้องกับหนี้ซื้อขาย ศาลต้องรับพิจารณา
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสั่งซื้อสินค้านมกล่อง และรับสินค้าจากโจทก์ไปครบถ้วนแล้วเป็นเงิน 1,082,105.40 บาท แต่จำเลยไม่ชำระเงินค่าสินค้าขอให้บังคับจำเลยชำระค่าสินค้าแก่โจทก์ จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นตัวแทนค้าต่างของโจทก์ จำเลยได้รับสินค้าและได้นำไปส่งมอบให้แก่ผู้สั่งซื้อแล้วชอบที่จะได้ค่าบำเหน็จในฐานะเป็นตัวแทนของโจทก์ จึงฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ชำระค่าบำเหน็จจำนวน 674,325.79 บาท แก่จำเลย ตามคำฟ้องและฟ้องแย้งเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทำว่าสัญญาทำกันด้วยเป็นเรื่องอะไรผลของสัญญาจะเป็นเช่นใด ซึ่งต่างอ้างว่าอีกฝ่ายต้องรับผิดตามสัญญาเกี่ยวกับการกระทำอันเดียวกัน จำเลยย่อมฟ้องแย้งให้โจทก์ชำระเงินได้เพราะเป็นเงินที่เกี่ยวเนื่องกับจำนวนหนี้ที่โจทก์ฟ้องจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 963/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องขับไล่จำกัดเฉพาะกรณีอสังหาริมทรัพย์ โจทก์มีสิทธิรื้อถอนบ้านตามสัญญาเท่านั้น
โจทก์ฟ้องอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านตามฟ้องในลักษณะที่ต้องรื้อถอนไปอย่างสังหาริมทรัพย์ จึงไม่ใช่กรณีฟ้องเรียกบ้านในสภาพที่ปลูกอยู่บนที่ดินอย่างอสังหาริมทรัพย์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านดังกล่าวได้ มีเพียงสิทธิที่จะเข้าไปรื้อถอนบ้านตามสัญญาโดยจำเลยไม่มีสิทธิมาขัดขวางห้ามปรามเท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านตามฟ้อง เป็นการ พิพากษาบังคับไม่ตรงกับสภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องและเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน