คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
มงคล คุปต์กาญจนากุล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 772 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4024/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท: ปลอมเอกสารเพื่อประมูลงานก่อสร้าง ศาลแก้เป็นลงโทษฐานใช้เอกสารราชการปลอม
ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมาย หลายบทหรือหลายกรรม แม้จำเลยเพิ่งจะหยิบยกขึ้นมาใน ชั้นฎีกาแต่เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225 จำเลยย่อมยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ การที่จำเลยปลอมหนังสือมอบอำนาจของห้างหุ้นส่วนจำกัดส.และปลอมใบเสนอราคาว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดส. เสนอที่จะทำงานรับจ้างเหมาก่อสร้างอาคารสำนักงานและสิ่งก่อสร้าง อื่น ๆ แก่สำนักงานสาธารณะสุขจังหวัดสิงห์บุรี โดยจำเลย ลงลายมือชื่อปลอมของ ว. และประทับตราห้างหุ้นส่วนจำกัดส. ปลอมลงในเอกสารหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคลส. เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 และจำเลยปลอมหนังสือราชการกรอกข้อความเป็นหนังสือรับรองว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดส.ได้รับจ้างเหมาก่อสร้างอาคารสำนักงานโรงเก็บพัสดุบ้านพักข้าราชการและอื่น ๆ ของโครงการชลประทานจังหวัดแพร่ แล้วจำเลยนำเอกสารต่าง ๆ ที่ทำปลอมดังกล่าวทั้งหมดไปใช้ยื่นแสดงต่อคณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคาและคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาจ้างเหมาก่อสร้างอาคารเพื่อให้หลงเชื่อว่าเอกสารดังกล่าวทั้งหมดเป็นเอกสารแท้จริงการที่จำเลยกระทำดังกล่าว เป็นการกระทำต่อเนื่องและใช้เอกสารปลอมดังกล่าวโดยมีเจตนาเดียวกันเพื่อให้จำเลยได้เป็นผู้รับจ้างเหมาก่อสร้าง จึงเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ซึ่งต้องลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 265 แต่กระทงเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3820/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่าย แม้มีปริมาณไม่ถึง 20 กรัม ก็เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติด
จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อ จำหน่ายแล้ว แม้จำเลยที่ 1 จะมีเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวที่มีน้ำหนักคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เพียง 11.151 กรัม ไม่ถึงยี่สิบกรัม การกระทำของจำเลยที่ 1 ก็เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง,66 วรรคหนึ่งแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3814/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานมีไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่ายยาเสพติดเป็นความผิดสองกรรมได้ แม้จะกระทำต่อเนื่องกัน
ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ. 2518 มาตรา 4 บัญญัตินิยามคำว่า "ขาย" ให้หมายความรวมถึงการมีไว้ขายด้วย การขายหรือมีไว้เพื่อขายจึงเป็นความผิดอย่างเดียวกัน ผู้ที่มีวัตถุออกฤทธิ์ไว้เพื่อขายแล้วได้ขายไปบางส่วนคงมีความผิดฐานขายเพียงสถานเดียว แต่ตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4 ได้บัญญัตินิยามคำว่า "จำหน่าย" หมายความว่า ขาย จ่าย แจก แลกเปลี่ยนให้เท่านั้น มิได้บัญญัติให้หมายความรวมถึงการมีไว้ใน ครอบครองเพื่อจำหน่ายด้วย การมียาเสพติดไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่ายและการจำหน่ายยาเสพติดเป็นความผิดซึ่งอาศัยเจตนาในการกระทำผิดแยกต่างหากจากกันได้ แม้เมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นยาเสพติดจำนวน 4 เม็ดที่จำเลยมอบให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อเป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีนจำนวน 60 เม็ด ที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายไปในเวลาที่ต่อเนื่องกัน แต่การกระทำของจำเลยดังกล่าวก็มีเจตนาแยกต่างหากจากกันตั้งแต่จำเลยจำหน่ายแล้ว การกระทำของจำเลย จึงเป็นความผิดสองกรรม หาใช่เป็นความผิดกรรมเดียวไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3781/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลูกจ้างนำทรัพย์สินนายจ้างไปจำนำแล้วนำเงินไปใช้ส่วนตัว มีเจตนาทุจริตเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
เลื่อยฉลุไฟฟ้าและเครื่องหินเจียไฟฟ้าที่จำเลยนำไปจำนำเป็นของโจทก์ร่วม และขณะนำไปจำนำจำเลยยังเป็นลูกจ้างโจทก์ร่วม การที่จำเลยนำเลื่อยฉลุไฟฟ้าและเครื่องหินเจียไฟฟ้าของโจทก์ร่วมไปจำนำแล้วนำเงินที่ได้รับมาใช้ประโยชน์ส่วนตัวนั้น ถ้าจำเลยไม่ไถ่คืนภายในเวลาที่กำหนดผู้รับจำนำมีสิทธินำไปขายทอดตลาดได้ และทำให้โจทก์ร่วมได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตโดยแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้างตามป.อ.มาตรา 335 (11) วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3781/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลูกจ้างนำทรัพย์สินนายจ้างไปจำนำโดยมิชอบ ถือเป็นการลักทรัพย์นายจ้างตามกฎหมายอาญา
เลื่อยฉลุไฟฟ้าและเครื่องหินเจียไฟฟ้าที่จำเลยนำไปจำนำ เป็นของโจทก์ร่วม และขณะนำไปจำนำจำเลยยังเป็นลูกจ้างโจทก์ร่วม การที่จำเลยนำเลื่อยฉลุไฟฟ้าและเครื่องหินเจียไฟฟ้าของ โจทก์ร่วมไปจำนำแล้วนำเงินที่ได้รับมาใช้ประโยชน์ส่วนตัวนั้น ถ้าจำเลยไม่ไถ่คืนภายในเวลาที่กำหนดผู้รับจำนำมีสิทธิ นำไปขายทอดตลาดได้ และทำให้โจทก์ร่วมได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตโดยแสวงหา ประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง จึงเป็น ความผิดฐานลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้างตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(11) วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3672/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นข้อพิพาทจำกัด: ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกประเด็นไม่ได้
เมื่อศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทตามที่คู่ความแถลงร่วมกันเพียงประเด็นเดียวเท่านั้นว่า โจทก์หรือจำเลยทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ส่วนปัญหาที่ว่าคำให้การของจำเลยเป็นคำให้การที่ขัดแย้งกันเอง ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งในประเด็นที่ยกขึ้นต่อสู้ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 177 หรือไม่นั้นไม่เป็นประเด็นแห่งคดี เมื่อไม่มีประเด็นดังกล่าวขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ทั้งปัญหาข้อนี้ไม่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองโดยวินิจฉัยว่า คำให้การของจำเลยขัดแย้งกันเอง จำเลยไม่มีสิทธิที่จะนำสืบตามคำให้การ จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3672/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นการขัดแย้งในคำให้การ จำเลยไม่อาจสืบพยานได้ ศาลต้องวินิจฉัยเฉพาะประเด็นที่กำหนด
เมื่อศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทตามที่คู่ความแถลงร่วมกันเพียงประเด็นเดียวเท่านั้นว่า โจทก์หรือจำเลยทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทส่วนปัญหาที่ว่าคำให้การของจำเลยเป็นคำให้การที่ขัดแย้งกันเอง ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งในประเด็นที่ยกขึ้นต่อสู้ ไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 หรือไม่นั้น ไม่เป็นประเด็นแห่งคดี เมื่อไม่มีประเด็นดังกล่าวขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ทั้งปัญหาข้อนี้ไม่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนการที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองโดยวินิจฉัยว่าคำให้การของจำเลยขัดแจ้งกันเอง จำเลยไม่มีสิทธิที่จะนำสืบตามคำให้การ จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3629/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ชิงทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย การริบรถจักรยานยนต์
จำเลยกระชากสร้อยคอทองคำหนัก 15 บาท ของผู้เสียหายผู้เสียหายจับเหรียญรัชกาลที่ 5 ที่ห้อยอยู่ที่สร้อยคอทองคำไว้ และใช้มืออีกข้างหนึ่งตีจำเลย จำเลยลากผู้เสียหายไป 3 ถึง 4 ก้าว จนผู้เสียหายล้มลง จำเลยใช้มือกดหน้าอกผู้เสียหายพร้อมกับกระชากสร้อยคอทองคำผู้เสียหาย แล้วจำเลยวิ่งไปขึ้นรถจักรยานยนต์ขับหลบหนีไป แม้ไม่ปรากฏว่าขณะจำเลยกระชากสร้อยคอทองคำผู้เสียหาย และผู้เสียหายจับเหรียญรัชกาลที่ 5 ที่ห้อยอยู่ที่สร้อยคอทองคำนั้น จำเลยได้พูดขู่เข็ญว่า ทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายก็ตาม แต่การที่จำเลยลากผู้เสียหายโดยเร็วและแรงมาก โดยจำเลยมีเจตนาเพื่อให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวและทำให้ผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ กรณีถือได้ว่าจำเลยใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายตาม ป.อ.มาตรา 1 (6) เพื่อให้ความสะดวกแก่การกระชากสร้อยคอทองคำของผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ตามมาตรา 339 วรรคหนึ่ง
หลังจากจำเลยกระชากสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายแล้ว จำเลยวิ่งไปขึ้นรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุถึง 100 เมตร แล้วขับหลบหนีไปการนำรถจักรยานยนต์ไปจอดห่างมากเช่นนั้นเป็นพฤติการณ์ที่บ่งชี้ว่าจำเลยมีเจตนาเพียงใช้รถจักรยานยนต์ของกลางไปและกลับจากการกระทำความผิด และเพื่อหลบหนีให้พ้นจากการจับกุมโดยสะดวกรวดเร็วเท่านั้น รถจักรยานยนต์ของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์ที่จะพึงริบตาม ป.อ.มาตรา 33 (1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3629/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ชิงทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย และการริบรถจักรยานยนต์ที่ใช้หลบหนี
จำเลยกระชากสร้อยคอทองคำหนัก 15 บาท ของผู้เสียหาย ผู้เสียหายจับเหรียญรัชกาลที่ 5 ที่ห้อยอยู่ที่สร้อยคอทองคำไว้ และใช้มืออีกข้างหนึ่งตีจำเลย จำเลยลาก ผู้เสียหายไป 3 ถึง 4 ก้าว จนผู้เสียหายล้มลง จำเลยใช้มือ กดหน้าอกผู้เสียหายพร้อมกับกระชากสร้อยคอทองคำผู้เสียหาย แล้วจำเลยวิ่งไปขึ้นรถจักรยานยนต์ขับหลบหนีไป แม้ไม่ปรากฏ ว่าขณะจำเลยกระชากสร้อยคอทองคำผู้เสียหาย และผู้เสียหาย จับเหรียญรัชกาลที่ 5 ที่ห้อยอยู่ที่สร้อยคอทองคำนั้น จำเลยได้พูดขู่เข็ญว่า ทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายก็ตาม แต่การที่จำเลยลากผู้เสียหายโดยเร็วและแรงมาก โดยจำเลยมีเจตนาเพื่อให้ผู้เสียหายเกิดความกลัว และทำให้ผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ กรณี ถือได้ว่าจำเลยใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(6) เพื่อให้ความสะดวกแก่การกระชาก สร้อยคอทองคำของผู้เสียหาย การกระทำ ของจำเลยเป็นความผิด ฐานชิงทรัพย์ตาม มาตรา 339 วรรคหนึ่ง หลังจากจำเลยกระชากสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายแล้วจำเลยวิ่งไปขึ้นรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุถึง 100 เมตร แล้วขับหลบหนีไปการนำรถจักรยานยนต์ไปจอดห่างมาก เช่นนั้นเป็นพฤติการณ์ที่บ่งชี้ว่าจำเลยมีเจตนาเพียงใช้ รถจักรยานยนต์ของกลางไปและกลับจากการกระทำความผิด และเพื่อหลบหนีให้พ้นจากการจับกุมโดยสะดวกรวดเร็วเท่านั้น รถจักรยานยนต์ของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์ที่จะพึงริบตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3353/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การช่วยเหลือคนต่างด้าวผิดกฎหมาย: ลดโทษ-รอการลงโทษ พิจารณาผลกระทบต่อสังคมและอายุของผู้กระทำ
โจทก์ฟ้อง จำเลยให้การรับสารภาพและโจทก์มิได้นำสืบพยาน ไม่อาจกล่าวได้ว่าจำเลยจำนนต่อพยานหลักฐาน ย่อมมีเหตุบรรเทาโทษ สมควรลดโทษให้แก่จำเลย คนต่างด้าวที่จำเลยให้ความช่วยเหลือเป็นผู้เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายและมีจำนวนมากถึง 10 คน ย่อมยาก แก่การควบคุมดูแลตลอดจนสืบหาติดตามตัวทำให้เกิดปัญหา แก่สังคมโดยส่วนรวมและก่อให้เกิดปัญหาแรงงานกระทบกระเทือน ต่อเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศ การที่จำเลยมีอายุถึง 52 ปี ทั้งยังเป็นผู้จัดการสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง ย่อมมีความรู้ความเข้าใจต่อปัญหาสังคมและเศรษฐกิจว่า การกระทำของจำเลยเกิดผลเสียต่อส่วนรวมได้ ที่จำเลยอ้างว่า กระทำไปโดยขาดความรู้ความเข้าใจในตัวบทกฎหมายย่อมไม่มีเหตุผล จึงไม่สมควรรอการลงโทษแก่จำเลย
of 78