คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วุฒินันท์ สุขสว่าง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 92 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2115/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายเวลาอุทธรณ์: เหตุสุดวิสัยต้องเกิดขึ้นก่อนหมดกำหนดเวลา และการพิจารณาที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
เมื่อปรากฏว่าโจทก์ทราบคำสั่งศาลแล้ว การที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ไม่ทราบคำสั่งศาลด้วยตนเองเพราะสำนวนอยู่ในระหว่างเสนอผู้พิพากษาตรวจและลงลายมือชื่อนั้น มิใช่กรณีมีเหตุสุดวิสัย
การขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ.ความแพ่ง มาตรา23 จะต้องกระทำเสียก่อนระยะเวลายื่นอุทธรณ์สิ้นสุดลงเว้นแต่กรณีที่มีเหตุสุดวิสัย แต่โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ครั้งสุดท้ายเมื่อเลยกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตในครั้งก่อนที่ให้ยื่นอุทธรณ์ โดยไม่ปรากฏว่ามีเหตุสุดวิสัย คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์แก่โจทก์ในครั้งสุดท้ายดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายอุทธรณ์ของโจทก์ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับมาจึงเป็นอุทธรณ์ที่ยื่นเกินกำหนดอายุอุทธรณ์เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์โดยไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 23 จึงเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบตามมาตรา 27 และเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาคดีไปได้ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 246 ประกอบมาตรา 142 (5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1749/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำท้าทางกฎหมาย: การตกลงให้วินิจฉัยประเด็นสัญญา และผลผูกพันตามคำวินิจฉัย
โจทก์จำเลยทั้งสองแถลงรับข้อเท็จจริงกัน และตกลง ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยสัญญาตัวแทนจำหน่ายปุ๋ยเอกสารฉบับที่พิพาทเพียงประเด็นเดียวว่า สัญญาดังกล่าวขัดต่อความสงบเรียบร้อยอันจะตกเป็นโมฆะหรือไม่ หากข้อสัญญาดังกล่าวไม่ตกเป็นโมฆะจำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดตามฟ้องโจทก์หากข้อสัญญาดังกล่าวตกเป็นโมฆะโจทก์ต้องรับผิดต่อจำเลยทั้งสองโดยไม่ต้องมีการสืบพยานกันต่อไป ข้อตกลงเช่นนี้ถือได้ว่ามีลักษณะเป็นคำท้าหรือมีการตกลงกันในประเด็นแห่งคดีโดยมิได้มีการถอนคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 138 แล้ว หาจำต้องมีข้อความว่าคู่ความตกลงท้ากันหรือให้ถือเอาเป็นประเด็นข้อแพ้ชนะแห่งคดี จึงจะเป็นคำท้าไม่ ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยทั้งสองในเรื่องจำเลยที่ 1ในฐานะตัวแทนให้สัญญากับโจทก์ในฐานะตัวการว่าจะจำหน่ายปุ๋ยให้แก่เกษตรกรในนามของตนเองในราคาและเงื่อนไขที่กำหนดเรื่องการส่งเงินค่าปุ๋ยแก่โจทก์ในกรณีขายเงินสดขายเงินเชื่อหากมีเงินค้างชำระยอมให้คิดราคาปุ๋ยเพิ่มขึ้นตามอัตราที่ตกลงกัน และข้อปฏิบัติในเมื่อสัญญาสิ้นสุดลง เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นข้อตกลงที่เป็นพันธะผูกพันระหว่างคู่กรณีมิได้เกี่ยวข้องหรือกระทบไปถึงผลประโยชน์ส่วนได้เสียของประชาชนโดยทั่วไปเมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อตกลงนี้ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนไม่ตกเป็นโมฆะจำเลยทั้งสองต้องรับผิดตามฟ้องตามคำท้า โดยไม่จำต้องวินิจฉัยคดีในประเด็นข้ออื่นที่คู่ความตกลงสละแล้วต่อไปอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1749/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงจำกัดประเด็นข้อพิพาท และผลของการวินิจฉัยสัญญาตัวแทนจำหน่าย
โจทก์จำเลยทั้งสองแถลงรับข้อเท็จจริงกัน และตกลงให้ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยสัญญาตัวแทนจำหน่ายปุ๋ยเอกสารฉบับที่พิพาท เพียงประเด็นเดียวว่าสัญญาดังกล่าวขัดต่อความสงบเรียบร้อย อันจะตกเป็นโมฆะหรือไม่ หากข้อสัญญาดังกล่าวไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดตามฟ้องโจทก์และหากข้อสัญญาดังกล่าวตกเป็นโมฆะ โจทก์ต้องรับผิดต่อจำเลยทั้งสองโดยไม่ต้องมีการ สืบพยานกันต่อไป ข้อตกลงเช่นนี้ถือได้ว่ามีลักษณะ เป็นคำท้า หรือมีการตกลงกันในประเด็นแห่งคดีโดยมิได้มีการถอนคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 แล้ว หาจำต้อง มีข้อความว่าคู่ความตกลงท้ากันหรือให้ถือเอาเป็นประเด็น ข้อแพ้ชนะแห่งคดี จึงจะเป็นคำท้าไม่ เมื่อข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยทั้งสองในเรื่องจำเลยที่ 1 ในฐานะตัวแทนให้สัญญากับโจทก์ ในฐานะตัวการว่าจะจำหน่ายปุ๋ยให้แก่เกษตรกรในนามของตนเองใน ราคาและเงื่อนไขที่กำหนด เรื่องการส่งเงินค่าปุ๋ยแก่โจทก์ ในกรณีขายเงินสด ขายเงินเชื่อ หากมีเงินค้างชำระยอมให้ คิดราคาปุ๋ยเพิ่มขึ้นตามอัตราที่ตกลงกัน และข้อปฏิบัติในเมื่อ สัญญาสิ้นสุดลง เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นข้อตกลงที่เป็นพันธะ ผูกพันระหว่างคู่กรณี มิได้เกี่ยวข้องหรือกระทบไปถึงผลประโยชน์ ส่วนได้เสียของประชาชนโดยทั่วไป เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อตกลง นี้ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดตามฟ้องตามคำท้า โดยไม่จำต้องวินิจฉัยคดีในประเด็นข้ออื่นที่คู่ความตกลง สละแล้วต่อไปอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1572/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองแทนที่ดินและการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์: โจทก์ยังคงเป็นเจ้าของที่ดินส่วนของตน แม้จำเลยจะครอบครองและออก น.ส.3ก.
โจทก์โอนที่ดินส่วนของโจทก์ให้จำเลยครอบครองแทนแม้จำเลยจะนำที่ดินพิพาทไปขอออก น.ส.3 ก. แต่เมื่อไม่ปรากฏว่า จำเลยแจ้งเปลี่ยนเจตนาในการครอบครองจากครอบครองแทน เป็นครอบครองเพื่อตนไปยังโจทก์ จำเลยครอบครองที่ดินพิพาท นานเท่าใดก็หาได้สิทธิครอบครองไม่ โจทก์ยังเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ในส่วนของโจทก์อยู่การที่โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งหมด ศาลฎีกาคงพิพากษาให้โจทก์ได้รับ ที่ดินพิพาทในส่วนของโจทก์เท่านั้นตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1478/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลักทรัพย์ของกลาง: การรับสารภาพ, พยานหลักฐาน, และการมอบอำนาจที่ไม่สมเหตุสมผล
จำเลยรับว่าได้ถอดชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจยึดไว้เป็นของกลางจริง โดยอ้างว่าได้รับอนุญาตจาก อ. เจ้าของรถให้ยืมชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ดังกล่าวซึ่งขัดต่อเหตุผล เนื่องจากการถอดชิ้นส่วนจาก รถจักรยานยนต์ของกลางจะทำให้รถจักรยานยนต์ของกลางใช้การไม่ได้ ทั้งยังขัดกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวน ซึ่งมิได้นำสืบปฏิเสธความถูกต้องแท้จริงของบันทึกคำให้การดังกล่าว ทั้งตามบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและภาพถ่ายปรากฏว่าจำเลยได้นำชี้เส้นทางที่ใช้เป็นทางเข้าออกโดยเข้ามาข้างศาลาพักผู้โดยสารด้านหลังสถานีตำรวจ แล้วเข้ามาลักชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ของกลางและหลบหนีไปทางเส้นทางเดิมซึ่งจำเลยมิได้ปฏิเสธว่าบันทึกและภาพถ่ายดังกล่าวไม่ถูกต้องเช่นกัน จึงรับฟังได้ว่าจำเลยให้การรับสารภาพตามบันทึกคำให้การผู้ต้องหาและนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพโดยสมัครใจ เมื่อคำรับสารภาพดังกล่าวเจือสมกับคำเบิกความของสิบตำรวจโท จ. ที่ว่าพบรอยเท้าคนเดินที่พงหญ้าด้านหลังสถานีตำรวจ นอกจากนี้จำเลยก็มิได้นำสืบใบมอบอำนาจที่จำเลยอ้างว่า อ. เจ้าของรถมอบอำนาจให้มาถอดชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์หรือนำเจ้าพนักงานตำรวจที่จำเลยแสดงใบมอบอำนาจ ดังกล่าวมาเบิกความสนับสนุน ทั้งรถจักรยานยนต์ของกลาง ก็ยังอยู่ในความครอบครองของเจ้าพนักงานตำรวจซึ่ง อ. จะอนุญาตให้ถอดชิ้นส่วนรถไปโดยพลการไม่ได้ ข้ออ้างของ จำเลยจึงฟังไม่ขึ้น ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ พฤติการณ์ของจำเลยจึงมีเจตนาทุจริต แม้ว่า อ. จะทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยรับรถจักรยานยนต์ของกลางแต่ก็เป็นเวลา ภายหลังเกิดเหตุแล้ว ไม่ทำให้จำเลยพ้นความผิดไปได้ จำเลยจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1) และ (8) วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1426/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของผู้ถือหุ้นตามมาตรา 1169 วรรคหนึ่ง ต้องเป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายแทนบริษัทเท่านั้น
ป.พ.พ. มาตรา 1169 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า ถ้ากรรมการทำให้เกิดเสียหายแก่บริษัท ๆ จะฟ้องร้องเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนแก่กรรมการก็ได้ หรือในกรณีที่บริษัทไม่ยอมจะฟ้องร้อง ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคนใดจะเอาคดีนั้นขึ้นว่ากล่าวก็ได้นั้น เป็นการให้อำนาจแก่ผู้ถือหุ้นฟ้องกรรมการบริษัทผู้ทำให้บริษัทเสียหาย ซึ่งโดยปกติบริษัทย่อมเป็นผู้ฟ้องเรียกให้กรรมการผู้นั้นชดใช้ค่าเสียหายแก่บริษัท ส่วนผู้ถือหุ้นจะเป็นผู้ฟ้องตามมาตรา 1169 วรรคหนึ่ง ได้นั้น จะต้องฟ้องแทนหรือฟ้องเพื่อประโยชน์ของบริษัท เฉพาะกรณีที่บริษัทไม่ฟ้องและเป็นการฟ้องเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเท่านั้น แต่การที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ขอให้พิพากษาว่านิติกรรมขายสิทธิตามสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นโมฆะ หาใช่เป็นการฟ้องเพื่อเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 1 ไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1426/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องผู้ถือหุ้นคดีกรรมการทำละเมิด: ต้องเป็นการฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเท่านั้น ไม่ใช่ฟ้องให้โมฆะนิติกรรม
การฟ้องโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1169 วรรคหนึ่ง ที่ให้อำนาจแก่ผู้ถือหุ้นฟ้องกรรมการผู้ทำให้บริษัทเสียหาย ซึ่งโดยปกติบริษัทย่อมเป็นผู้ฟ้องเรียกให้กรรมการผู้นั้นชดใช้ค่าเสียหายแก่บริษัท ส่วนผู้ถือหุ้นจะเป็นผู้ฟ้องตามมาตรา 1169 วรรคหนึ่ง ต้องฟ้องแทนหรือฟ้องเพื่อประโยชน์ของบริษัทเฉพาะกรณีที่บริษัทไม่ฟ้องและเป็นการฟ้องเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเท่านั้น การที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1ขอให้พิพากษาว่านิติกรรมขายสิทธิตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและอาคารพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4เป็นโมฆะเช่นนี้ หาใช่เป็นการฟ้องเพื่อเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 1 ไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นบุคคลภายนอกไม่ได้เป็นกรรมการบริษัทโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเช่นเดียวกัน อำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลย จะไม่ให้การต่อสู้ ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 901/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การช่วยเหลือญาติในคดีอาญาโดยไม่มีเจตนาเรียกรับผลประโยชน์ ไม่เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล
การที่ผู้ถูกกล่าวหาไปพบผู้พิพากษา หัวหน้า ศาลชั้นต้นที่บ้านพักเพื่อขอร้องให้ช่วยปล่อยชั่วคราวหรือรอการลงโทษเพื่อต้องการช่วยเหลือ พ. ซึ่งเป็นหลานโดยไม่ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาได้เสนอผลประโยชน์เป็นเงินแก่ ผู้พิพากษาหัวหน้า ศาลชั้นต้นแต่อย่างใด และเมื่อ ผู้พิพากษาหัวหน้า ศาลชั้นต้นปฏิเสธและแนะนำให้ไปปรึกษาทนายความ ผู้ถูกกล่าวหาก็กลับไปโดยดี ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหา ได้กล่าวรับรองต่อ พ. ว่าศาลชั้นต้นจะให้ปล่อยชั่วคราวหรือตัดสินรอการลงโทษให้แต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้นในชั้นฎีกา พ. ยังได้ทำบันทึกด้วยลายมือของตนเองยืนยันว่าตนไม่เคยให้เงินแก่ผู้ถูกกล่าวหาเพื่อให้ช่วยวิ่งเต้นคดีแต่อย่างใด ผู้ถูกกล่าวหาได้ช่วยเหลือโดยสุจริตใจเพราะเป็นญาติกัน โดยมีศักดิ์ เป็นอาและด้วยความสงสารลูกของ พ. จึงเห็นได้ว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหานั้นกระทำไปโดยสุจริตด้วยเจตนา ที่จะช่วยเหลือ พ. ซึ่งเป็นญาติกันตามสมควร ทั้งไม่ปรากฏว่าได้เรียกร้องหรือรับผลประโยชน์ เป็นเงินตอบแทนแต่อย่างใด จึงมิใช่เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 901/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การช่วยเหลือญาติในคดีอาญา ไม่เรียกร้องผลประโยชน์ ไม่เป็นละเมิดอำนาจศาล
ผู้ถูกกล่าวหาไปพบผู้พิพากษาหัวหน้าศาลที่บ้านพักเพื่อขอร้องให้ช่วยปล่อยชั่วคราว พ. หรือรอการลงโทษแก่ พ. เพื่อต้องการช่วยเหลือ พ. ซึ่งเป็นหลานโดยสุจริตใจตามสมควรแก่กรณีและผู้ถูกกล่าวหามิได้เสนอผลประโยชน์เป็นเงินแก่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเมื่อผู้พิพากษาหัวหน้าศาลปฏิเสธและแนะนำให้ไปปรึกษาทนายความ ผู้ถูกกล่าวหาก็กลับไปโดยดี ทั้งผู้ถูกกล่าวหามิได้กล่าวรับรองต่อ พ. หรือผู้ใดว่าศาลจะให้ปล่อยชั่วคราว พ.หรือตัดสินรอการลงโทษให้แก่ พ.เช่นนี้ การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาจึงมิใช่เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 901/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การช่วยเหลือญาติในคดีอาญาโดยสุจริต ไม่เข้าข่ายประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล
ผู้ถูกกล่าวหาไปพบผู้พิพากษาหัวหน้าศาลที่บ้านพักเพื่อขอร้องให้ช่วยปล่อยชั่วคราว พ.หรือรอการลงโทษแก่ พ.เพื่อต้องการช่วยเหลือ พ.ซึ่งเป็นหลานโดยสุจริตใจตามสมควรแก่กรณี และผู้ถูกกล่าวหามิได้เสนอผลประโยชน์เป็นเงินแก่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล เมื่อผู้พิพากษาหัวหน้าศาลปฏิเสธและแนะนำให้ไปปรึกษาทนายความ ผู้ถูกกล่าวหาก็กลับไปโดยดี ทั้งผู้ถูกกล่าวหามิได้กล่าวรับรองต่อ พ.หรือผู้ใดว่าศาลจะให้ปล่อยชั่วคราว พ.หรือตัดสินรอการลงโทษให้แก่ พ.เช่นนี้ การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาจึงมิใช่เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลตาม ป.วิ.พ.มาตรา 31 (1)
of 10