พบผลลัพธ์ทั้งหมด 288 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1190/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามฆ่าและอาวุธปืน: หลักฐานขัดแย้งฟังได้ว่าปืนลั่นระหว่างแย่งกัน ไม่ใช่จำเลยยิง
ผู้เสียหายเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่ากระสุนปืนลั่นระหว่างที่ผู้เสียหายกับจำเลยแย่งอาวุธปืนกันและเหตุที่ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายก็เพราะเกรงว่าจะถูกดำเนินคดีด้วย ซึ่งสอดคล้องกับ คำเบิกความของจำเลยที่ว่าอาวุธปืนเป็นของผู้เสียหายและระหว่าง ที่จำเลยเข้าแย่งปืนจากผู้เสียหายลั่นขึ้น 1 นัดปรากฏว่า อาวุธปืนของกลางไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงาน ประทับไว้ หากอาวุธปืนดังกล่าวเป็นของผู้เสียหายก็มีเหตุที่จะต้องกลัวว่าจะถูกดำเนินคดีดังที่เบิกความคำเบิกความของ จำเลยจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า กระสุนปืน ลั่นระหว่างจำเลยกับผู้เสียหายแย่งอาวุธปืนกัน ไม่ใช่กระสุนปืนลั่น เนื่องจากจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย จึงลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายไม่ได้ การที่จำเลยเอาอาวุธปืนของผู้เสียหายที่นำมาให้ จำเลยดูมาพกไว้ที่เอวเป็นเพียงการพกเล่น ไม่ได้มีเจตนา ครอบครองอาวุธปืนดังกล่าว จึงไม่เป็นความผิดฐานมีอาวุธปืน ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ความผิดทั้งสองข้อหาจะต้องห้ามฎีกา เมื่อข้อเท็จจริง ฟังได้ว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิด ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษา ยกฟ้องโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185,215 และ 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1109/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการครอบครองอาคารและการเป็นบริวารทางกฎหมาย
โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ประกอบการค้าในสวนลุมพินีต่อไปอีก30 ปี และจำเลยที่ 1 ตกลงจะสร้างอาคารใหม่ขึ้นอีก 1 แห่ง แต่ขณะนั้นจำเลยที่ 1ไม่มีเงินเพียงพอ จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงให้ผู้ร้องเป็นผู้ลงทุนก่อสร้างอาคารให้โจทก์เช่นนี้ต้องถือว่าผู้ร้องสร้างอาคารพิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 แม้โจทก์จะยินยอมให้ผู้ร้องประกอบการค้าในอาคารที่ก่อสร้างได้ก็ตาม แต่ผู้ร้องก็เข้าไปอยู่ในอาคารและที่ดินพิพาทก็โดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะบริวารไม่ใช่ผู้มีอำนาจพิเศษตาม ป.วิ.พ.มาตรา 296 จัตวา (3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1109/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการครอบครองอาคารบนที่ดินของผู้อื่น: ผู้ลงทุนก่อสร้างไม่ใช่ผู้มีอำนาจพิเศษ
การที่โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ประกอบการค้าในสวนลุมพินีต่อไปอีก 30 ปี และจำเลยที่ 1 ตกลงจะสร้าง อาคารใหม่ขึ้นอีก 1 แห่ง แต่ขณะนั้นจำเลยที่ 1 ไม่มีเงิน เพียงพอ จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงให้ผู้ร้องเป็นผู้ลงทุน ก่อสร้างอาคารให้โจทก์ เช่นนี้ต้องถือว่าผู้ร้องสร้างอาคารพิพาท โดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 แม้โจทก์จะยินยอมให้ผู้ร้องประกอบการค้าในอาคารที่ก่อสร้างได้ แต่ก็เป็นการเข้าไปอยู่ในอาคารและที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1และที่ 2 ผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะบริวารไม่ใช่ผู้มีอำนาจพิเศษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา (3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1109/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานะทางกฎหมายของผู้เช่าที่ลงทุนสร้างอาคารในที่ดินของผู้อื่น: บริวารหรือผู้มีอำนาจพิเศษ
โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ประกอบการค้าใน สวนลุมพินีต่อไปอีก 30 ปี และจำเลยที่ 1 ตกลงจะสร้างอาคารใหม่ขึ้นอีก 1 แห่ง แต่ขณะนั้นจำเลยที่ 1 ไม่มีเงินเพียงพอ จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงให้ผู้ร้องเป็นผู้ลงทุน ก่อสร้างอาคารให้โจทก์เช่นนี้ต้องถือว่าผู้ร้องสร้างอาคารพิพาท โดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 แม้โจทก์จะยินยอมให้ผู้ร้อง ประกอบการค้าในอาคารที่ก่อสร้างได้ก็ตาม แต่ผู้ร้อง ก็เข้าไปอยู่ในอาคารและที่ดินพิพาทก็โดยอาศัยสิทธิของ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะบริวารไม่ใช่ ผู้มีอำนาจพิเศษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 จัตวา(3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1085/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภูมิลำเนาจำเลยที่ถูกควบคุมตัว, การยื่นคำร้องคัดค้านการบังคับคดี, และกรอบเวลาการดำเนินการตามกฎหมาย
การที่จำเลยที่ 2 ถูกควบคุมตัวระหว่างการพิจารณาคำร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน เป็นกรณีที่ศาลใช้อำนาจ ตามพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดนฯ มาตรา 10 ที่ให้สั่งขังจำเลยไว้มิใช่สั่งจำคุก จึงไม่ใช่กรณีที่จำเลยถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาล หรือถูกจำคุกตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครจึงมิใช่ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 ตามคำร้องของ จำเลยที่ 2 ระบุว่า โจทก์และเจ้าพนักงาน บังคับคดีคบคิดกันฉ้อฉลแกล้งประเมินราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ต่ำกว่าความเป็นจริง ขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิก หมายบังคับคดีและเพิกถอนการยึดที่ดินกับให้งดการบังคับคดี เป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 ยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิก กระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวง จึงต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 296 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งซึ่งจะต้องยื่นไม่ช้ากว่า 8 วัน นับแต่วันทราบการฝ่าฝืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1085/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งคำบังคับไปยังเรือนจำของผู้ต้องขังคดีส่งผู้ร้ายข้ามแดน และการยื่นคำคัดค้านการบังคับคดีเกินกำหนด
การที่จำเลยถูกควบคุมตัวในเรือนจำระหว่างการพิจารณา คำร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน เป็นกรณีที่ศาลใช้อำนาจตาม พระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน ที่ให้สั่งขังจำเลยไว้ มิใช่ สั่งจำคุก จึงไม่ใช่กรณีที่จำเลยถูกจำคุกตามคำพิพากษา ถึงที่สุดของศาล หรือถูกจำคุกตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47 เรือนจำ จึงไม่ใช่ภูมิลำเนาของจำเลย จำเลยยื่นคำร้องว่าโจทก์และเจ้าพนักงานบังคับคดีคบคิดกันฉ้อฉลแกล้งประเมินราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างต่ำกว่าความเป็นจริง ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย เป็นกรณี ที่จำเลยยื่นคำขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกกระบวนวิธีการบังคับคดี ทั้งปวง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสองซึ่งจะต้องยื่นไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่จำเลยทราบการฝ่าฝืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1023/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีละเมิด: การรู้ถึงการละเมิดและตัวผู้ชดใช้
จำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขับรถบรรทุกไป ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาทเป็นเหตุ ให้ตู้คอนเทนเนอร์ที่บรรทุกไปเกี่ยวสายเคเบิลโทรศัพท์ของโจทก์ได้รับความเสียหาย ต่อมาวันที่ 30 สิงหาคม 2536โจทก์มีหนังสือทวงถามเรียกให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2536 หนังสือดังกล่าวลงนามโดย ส.หัวหน้ากองบำรุงรักษาที่ 1 ทำการแทนผู้อำนวยการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย มีข้อความว่า จำเลยที่ 1กระทำละเมิดให้จำเลยที่ 2 นำเงินค่าเสียหาย 243,230 บาทไปชำระ หากไม่ชำระโจทก์จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไปแสดงอยู่ในตัวว่าโจทก์ได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้ จะถึงใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้ว ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าส. ได้รับมอบอำนาจให้เป็นผู้แทนโจทก์โดยชอบ และถือได้ว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนอย่างช้าที่สุดในวันที่ 30 สิงหาคม 2536 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2537 พ้นกำหนด 1 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1023/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีละเมิด: การรู้ถึงการละเมิดและตัวผู้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นสำคัญ
จำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขับรถบรรทุกไปในทางการ ที่จ้างของจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาทเป็นเหตุให้ตู้คอนเทนเนอร์ ที่บรรทุกไปเกี่ยวสายเคเบิลโทรศัพท์ของโจทก์ได้รับความเสียหายต่อมาวันที่ 30 สิงหาคม 2536 โจทก์มีหนังสือทวงถามเรียกให้ จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายลงวันที่ 30 สิงหาคม 2536 หนังสือดังกล่าวลงนามโดยส. หัวหน้ากองบำรุงรักษาที่ 1 ทำการแทนผู้อำนวยการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย มีข้อความ ว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิด และให้จำเลยที่ 2 นำเงินค่าเสียหายไปชำระ หากไม่ชำระโจทก์จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป แสดงอยู่ ในตัวว่าโจทก์ได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ ค่าสินไหมทดแทนแล้ว ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ส. ได้รับมอบอำนาจให้เป็นผู้แทนโจทก์โดยชอบ และถือได้ว่าโจทก์รู้ถึงการ ละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนอย่างช้าที่สุด ในวันที่ 30 สิงหาคม 2536 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 30กันยายน 2537 พ้นกำหนด 1 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1023/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีละเมิด: เริ่มนับเมื่อโจทก์รู้ถึงการละเมิดและตัวผู้ต้องชดใช้
จำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขับรถบรรทุกไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาทเป็นเหตุให้ตู้คอนเทนเนอร์ที่บรรทุกไปเกี่ยวสายเคเบิลโทรศัพท์ของโจทก์ได้รับความเสียหาย ต่อมาวันที่ 30 สิงหาคม 2536โจทก์มีหนังสือทวงถามเรียกให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม2536 หนังสือดังกล่าวลงนามโดย ส.หัวหน้ากองบำรุงรักษาที่ 1 ทำการแทนผู้อำนวยการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย มีข้อความว่า จำเลยที่ 1 กระทำละเมิดให้จำเลยที่ 2 นำเงินค่าเสียหาย 243,230 บาท ไปชำระ หากไม่ชำระโจทก์จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป แสดงอยู่ในตัวว่าโจทก์ได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้ว ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ส.ได้รับมอบอำนาจให้เป็นผู้แทนโจทก์โดยชอบ และถือได้ว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนอย่างช้าที่สุดในวันที่ 30 สิงหาคม 2536 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่30 กันยายน 2537 พ้นกำหนด 1 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 802/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจัดการมรดก: หน้าที่ผู้จัดการมรดก & เหตุผลสมควรในการไม่ปฏิบัติตาม
แม้ผู้คัดค้านเป็นผู้ไถ่ถอนจำนองที่ดินมรดกจากธนาคารก็ตาม แต่เมื่อผู้คัดค้านไม่ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์มรดกให้ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้จัดการมรดก ผู้ร้องย่อมไม่สามารถจัดการแบ่งทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทได้ การที่ผู้คัดค้านเป็นผู้ไปไถ่ถอนจำนองที่ดินจากธนาคารไม่ใช่เหตุที่จะอ้างไม่ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ การที่ผู้ร้องไม่สามารถจัดการแบ่งทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทเพราะเหตุดังกล่าว จึงไม่ใช่ความผิดของผู้ร้อง นอกจากนี้ผู้คัดค้านเป็นบุตรเจ้ามรดก ส่วนผู้ร้องเป็นมารดาผู้คัดค้านและเป็นภริยาเจ้ามรดก และทุกฝ่ายทราบดีอยู่แล้วว่าทรัพย์มรดกมีอะไรบ้าง การที่ผู้ร้องไม่จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกจึงไม่พอฟังว่าผู้ร้องมีเจตนาปิดบังทรัพย์มรดก ส่วนเรื่องผู้ร้องไม่เรียกประชุมทายาท ก็ปรากฏว่าทายาทของเจ้ามรดกบางคนอยู่ต่างประเทศบางคนอยู่ต่างจังหวัดจึงเป็นการยากที่จะจัดประชุมทายาท ดังนั้น ที่ผู้ร้องไม่จัดประชุมทายาทเพราะเหตุดังกล่าวมา จึงไม่พอฟังว่าผู้ร้องละเลยไม่ทำการตามหน้าที่ และแม้ผู้ร้องจะไม่จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกตามที่ป.พ.พ.มาตรา 1728 และ 1729 บัญญัติไว้ก็ตาม แต่มาตรา 1731 ก็ให้อำนาจศาลที่จะใช้ดุลพินิจพิจารณาว่า มีเหตุสมควรจะถอนผู้จัดการมรดกเพียงใดหรือไม่ ซึ่งตามพฤติการณ์ดังกล่าวยังไม่มีเหตุผลสมควรที่จะสั่งถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดก