คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุวัตร์ สุขเกษม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 319 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 394/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งบรรจุเฮโรอีนเข้าข่ายความผิดฐานผลิตยาเสพติดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ
จำเลยนำเฮโรอีนบรรจุใส่หลอดเครื่องดื่มและใช้เทียนไขจุดไฟลนปิดหัวท้ายอยู่ในขนำ ขณะเจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นขนำดังกล่าวก็พบเฮโรอีนที่บรรจุในหลอดบิ๊กฝาแดง 1 หลอด ซึ่งพร่องไปบ้างแล้วและเฮโรอีนที่บรรจุในหลอดเครื่องดื่มปิดหัวท้ายอีก 15 หลอด กับพบหลอดเครื่องดื่มเปล่าที่ตัดไว้แล้วและยังไม่ได้ตัดเป็นจำนวนรวม 72 หลอด ทั้งยังพบเทียนไข 2 เล่ม ไม้ขีดไฟ 1 กล่อง ไฟแช็ก1 อัน และมีดคัทเตอร์ขนาดเล็ก 1 เล่ม พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าขณะจำเลยถูกจับจำเลยแบ่งบรรจุเฮโรอีนจากหลอดบิ๊กฝาแดงลงในหลอดเครื่องดื่มไปแล้วและกำลังจะแบ่งบรรจุอีกต่อไป ถือได้ว่าจำเลยทำการผลิตเฮโรอีนตามความหมายแห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4 ซึ่งให้คำนิยามว่า "ผลิต" หมายความว่าเพาะ ปลูก ทำ ผสม ปรุงแปรสภาพ เปลี่ยนรูป สังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ และให้หมายความรวมตลอดถึงการแบ่งบรรจุหรือรวมบรรจุด้วยแล้ว ทั้งนี้แม้จำเลยจะแบ่งบรรจุเฮโรอีนโดยมิได้มีการดัดแปลง เจือปน หรือเพิ่มเติมสิ่งใดก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 389/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฟ้องเท็จ: แม้ข้อกล่าวหาไม่เป็นความจริง แต่ขาดเจตนาทำให้ผู้อื่นได้รับโทษ จึงไม่เป็นความผิด
แม้จะได้ความตามคำเบิกความของ ส. พยานโจทก์และคำวินิจฉัยของศาลล่างว่าพฤติการณ์ของโจทก์ทั้งสองขาดเจตนา กระทำความผิดดังที่จำเลยฟ้อง แต่จำเลยก็ฟ้องโจทก์ทั้งสอง เป็นคดีอาญาไปตามความเข้าใจของจำเลยตามที่พบเห็นมา จึงเป็น การขาดเจตนากระทำผิดฐานฟ้องเท็จ การกระทำของจำเลยไม่เป็น ความผิดฐานฟ้องเท็จ คดีโจทก์ไม่มีมูล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 387/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การออกเช็คชำระหนี้หลังแปลงหนี้เดิมเป็นหนี้ใหม่ ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.เช็ค
แม้การกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับ จ. มิได้มีหลักฐานการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือจ. เพียงแต่ออกเช็คสั่งจ่ายเงิน4 ฉบับ มอบให้โจทก์ไว้ และการออกเช็คของ จ. อาจจะมิใช่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ก็ตาม แต่เมื่อเช็ค ดังกล่าวไม่มีการชำระเงินตามที่ จ. สั่งจ่ายย่อมเกิดเป็นหนี้ระหว่างโจทก์กับ จ. ตามจำนวนเงินที่ระบุในเช็คนั้นทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 898,900 วรรคหนึ่งซึ่งต่อมาเมื่อ จ. ไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้จึงให้จำเลยที่ 2 เข้ามาชำระหนี้แก่โจทก์แทน โดยจำเลยที่ 2ทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินให้โจทก์ไว้อันเป็นการแปลงหนี้เดิมซึ่งเป็นหนี้ตามเช็คมาเป็นหนี้ตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินและจำเลยที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อประทับตราจำเลยที่ 1ออกเช็คสั่งจ่ายเงินรวม 8 ฉบับ ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์รวมทั้งเช็คพิพาททั้งสองฉบับด้วย จึงต้องถือว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน อันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายตามความใน พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา 4แล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตาม สัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวและต่อมาธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงมีความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าว การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันออกเช็คพิพาท ทั้งสองฉบับชำระหนี้เงินกู้ยืมแก่โจทก์ แต่ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยทั้งสองออกเช็คพิพาทชำระหนี้แทน จ. ซึ่งเป็นลูกหนี้โจทก์ โดยจำเลยทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินให้โจทก์ และออกเช็คพิพาทชำระหนี้นั้น ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏใน การพิจารณาหาได้แตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 363/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ทางโดยถือวิสาสะไม่ถือเป็นการอุทิศเป็นทางสาธารณะ แม้มีการใช้ทางต่อเนื่อง
ที่ดินของโจทก์อยู่ติดกับที่ดินของจำเลยทั้งสองโดยแบ่งแยกมาจากที่ดินแปลงหนึ่งของจำเลยทั้งสอง ส่วนทางพิพาท อยู่ในที่ดินของจำเลยทั้งสองแปลง ทางพิพาทแม้จะมีโจทก์และ ประชาชนใช้เป็นทางผ่านเข้าออกเป็นเวลาช้านานแต่ก็เป็น การใช้โดยถือวิสาสะทั้งโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าเจ้าของที่ดินเดิม และจำเลยทั้งสองได้อุทิศทางพิพาทให้เป็นทางสาธารณะโดยตรง และโดยปริยาย จึงไม่มีผลทำให้ทางพิพาทกลับกลายเป็นทางสาธารณะ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 339/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การข่มขืนใจเพื่อให้ได้ประโยชน์โดยการข่มขู่ชื่อเสียงเข้าข่ายความผิดฐานกรรโชก แม้จะเกี่ยวข้องกับการผิดสัญญา
โจทก์และจำเลยทั้งเก้าต่างเป็นกรรมการสุขาภิบาลด้วยกันแต่เดิมเมื่อปี 2536 สุขาภิบาลว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด ห.ให้ขุดลอกอ่างเก็บน้ำในเขตสุขาภิบาล ตกลงค่าจ้างเป็นเงิน 100,000 บาท แต่ยังไม่มีการจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวเพราะมีเงื่อนไขว่า ในปีต่อไปหากห้างหุ้นส่วนจำกัด ห.ประมูลงานจากสุขาภิบาลได้ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห.ก็จะไม่รับเงินจำนวน 100,000 บาท ตามที่ตกลงจ้าง ต่อมาปี 2537 ห้างหุ้นส่วนจำกัด ว.ซึ่งมีโจทก์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการได้รับการว่าจ้างในกรณีพิเศษจากนายอำเภอประธานคณะกรรมการสุขาภิบาล ให้ก่อสร้างถนน ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห.จึงไม่ได้รับงาน ทางคณะกรรมการสุขาภิบาลจะต้องจ่ายเงิน 100,000 บาท ให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห.การที่จำเลยทั้งเก้าเรียกร้องให้โจทก์จ่ายเงิน 100,000 บาท แก่ตน มิฉะนั้นโจทก์จะถูกร้องเรียนกล่าวหาต่อผู้ว่าราชการจังหวัดในเรื่องโจทก์ก่อสร้างถนนผิดไปจากสัญญา อันเป็นเหตุให้สัญญาดังกล่าวระงับ และโจทก์ต้องถูกขับออกจากกรรมการสุขาภิบาล เมื่อปรากฏว่าโจทก์ต้องจ่ายเงินจำนวน 100,000 บาท ให้จำเลยทั้งเก้าไปโดยกลัวต่อการข่มขู่ของจำเลยทั้งเก้า ย่อมถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งเก้าใช้สิทธิโดยชอบ เพราะแม้ว่าโจทก์จะมีส่วนบกพร่องในการก่อสร้างถนนอันผิดไปจากสัญญา ก็เป็นเรื่องของผู้มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ว่ากล่าว ส่วนจำเลยทั้งเก้าเป็นบุคคลภายนอกย่อมไม่มีสิทธิสอดเข้าเกี่ยวข้องโดยหวังผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง การที่โจทก์ต้องจ่ายเงินให้จำเลยทั้งเก้าโดยกลัวต่อการข่มขู่ดังกล่าว การกระทำของจำเลยทั้งเก้าจึงเป็นการข่มขืนใจโจทก์ให้ยอมให้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชื่อเสียงของโจทก์ซึ่งครบถ้วนตามองค์ประกอบความผิดฐานกรรโชกแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 339/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมการสุขาภิบาลเรียกรับเงินจากผู้รับเหมาโดยข่มขู่ ทำให้เกิดความกลัวและจ่ายเงินให้ ถือเป็นกรรโชกทรัพย์
โจทก์และจำเลยทั้งเก้าต่างเป็นกรรมการสุขาภิบาลด้วยกัน แต่เดิมเมื่อปี 2536 สุขาภิบาลว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดห.ให้ขุดลอกอ่างเก็บน้ำในเขตสุขาภิบาล ตกลงค่าจ้างเป็นเงิน100,000 บาท แต่ยังไม่มีการจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวเพราะมีเงื่อนไขว่า ในปีต่อไปหากห้างหุ้นส่วนจำกัดห.ประมูลงานจากสุขาภิบาลได้ ห้างหุ้นส่วนจำกัดห. ก็จะไม่รับเงินจำนวน 100,000 บาท ตามที่ตกลงจ้าง ต่อมาปี 2537 ห้างหุ้นส่วนจำกัดว. ซึ่งมีโจทก์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการได้รับการว่าจ้างในกรณีพิเศษ จากนายอำเภอประธานคณะกรรมการสุขาภิบาล ให้ก่อสร้าง ถนน ห้างหุ้นส่วนจำกัดห. จึงไม่ได้รับงานทางคณะกรรมการสุขาภิบาลจะต้องจ่ายเงิน 100,000 บาทให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดห. การที่จำเลยทั้งเก้าเรียกร้องให้โจทก์จ่ายเงิน 100,000 บาท แก่ตน มิฉะนั้นโจทก์จะถูกร้องเรียนกล่าวหาต่อผู้ว่าราชการจังหวัดในเรื่องโจทก์ก่อสร้างถนนผิดไปจากสัญญา อันเป็นเหตุให้สัญญา ดังกล่าวระงับ และโจทก์ต้องถูกขับออกจากกรรมการสุขาภิบาลเมื่อปรากฏว่าโจทก์ต้องจ่ายเงินจำนวน 100,000 บาทให้จำเลยทั้งเก้าไปโดยกลัวต่อการข่มขู่ของจำเลยทั้งเก้าย่อมถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งเก้าใช้สิทธิโดยชอบ เพราะแม้ว่าโจทก์จะมีส่วนบกพร่องในการก่อสร้างถนนอันผิดไปจากสัญญาก็เป็นเรื่องของผู้มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ว่ากล่าวส่วนจำเลยทั้งเก้าเป็นบุคคลภายนอกย่อมไม่มีสิทธิสอดเข้าเกี่ยวข้องโดยหวังผลประโยชน์เป็นที่ตั้งการที่โจทก์ต้องจ่ายเงินให้จำเลยทั้งเก้าโดยกลัวต่อการ ข่มขู่ดังกล่าว การกระทำของจำเลยทั้งเก้าจึงเป็น การข่มขืนใจโจทก์ให้ยอมให้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชื่อเสียงของโจทก์ซึ่งครบถ้วน ตามองค์ประกอบความผิดฐานกรรโชกแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 230/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ด้วยวิธีการอื่นแทนการชำระหนี้ตามสัญญาเดิม และผลกระทบต่อการระงับสิ้นหนี้
การนำสืบว่า จำเลยโอนเงินทางธนาคารเข้าบัญชีของโจทก์เพื่อชำระหนี้เงินกู้เป็นการชำระหนี้อย่างอื่นซึ่งโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ได้ยอมรับแล้วกรณีมิใช่ เป็นการนำสืบการใช้เงินโดยไม่มีหลักฐานเป็น หนังสือลงลายมือชื่อโจทก์ผู้ให้ยืมมาแสดง จึงไม่ต้องห้าม มิให้นำสืบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง จำเลยได้โอนเงินทางธนาคารเข้าบัญชีของโจทก์เพื่อชำระหนี้เงินกู้รายพิพาทพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์จนครบถ้วน และโจทก์ได้ยอมรับชำระหนี้แล้ว ถือได้ว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ ที่ได้ตกลงกันไว้ย่อมทำให้หนี้กู้ยืมรายพิพาทระงับสิ้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 230/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ด้วยการโอนเงินเข้าบัญชี และการระงับหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321
การที่จำเลยโอนเงินทางธนาคารเข้าบัญชีของโจทก์ที่ธนาคาร โจทก์เองก็ยอมรับว่าจำเลยได้โอนเงิน เข้าบัญชีโจทก์จริง จึงเป็นการชำระหนี้อย่างอื่น ซึ่งโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ได้ยอมรับแล้ว ย่อมทำให้หนี้กู้ยืม รายพิพาทระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคหนึ่ง กรณีมิใช่เป็นการนำสืบการใช้เงิน โดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์ผู้ให้กู้ยืม มาแสดงซึ่งต้องห้ามมิให้นำสืบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 230/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ด้วยวิธีอื่นและการระงับสิ้นหนี้
การนำสืบว่า จำเลยโอนเงินทางธนาคารเข้าบัญชีของโจทก์เพื่อชำระหนื้เงินกู้เป็นการชำระหนี้อย่างอื่นซึ่งโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ได้ยอมรับแล้วกรณีมิใช่เป็นการนำสืบการใช้เงินโดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์ผู้ให้ยืมมาแสดง จึงไม่ต้องห้ามมิให้นำสืบตาม ป.พ.พ.มาตรา 653 วรรคสอง
จำเลยได้โอนเงินทางธนาคารเข้าบัญชีของโจทก์เพื่อชำระหนี้เงินกู้รายพิพาทพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์จนครบถ้วน และโจทก์ได้ยอมรับชำระหนี้แล้ว ถือได้ว่าโจทก์ได้รับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ย่อมทำให้หนี้กู้ยืมรายพิพาทระงับสิ้นไปตาม ป.พ.พ.มาตรา 321 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 225/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้อาวุธปืนข่มขู่และทำร้ายผู้อื่นเพื่อบีบบังคับให้ทำตามต้องการ ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
จำเลยใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนยิงข่มขู่ผู้เสียหายกับใช้อาวุธปืนดังกล่าวตีประทุษร้ายผู้เสียหายที่บริเวณ หน้าผากของผู้เสียหายหลายครั้ง เพื่อให้ผู้เสียหายจำยอม ต้องกระทำการตามที่จำเลยประสงค์ (ให้เรียกจำเลยว่า "พี่") แม้ไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของ ผู้เสียหายก็ตาม แต่พฤติการณ์แห่งคดีนับว่าอุกอาจร้ายแรง ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง จึงไม่มีเหตุรอการลงโทษ ให้จำเลย
of 32