คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุวัตร์ สุขเกษม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 319 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 97/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รอการลงโทษ จำเลยมีพฤติการณ์ขนไม้เถื่อนและใช้เครื่องวิทยุสื่อสารดักฟังตำรวจ
แม้ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนแต่ปรากฏตามรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติ ว่าจำเลยมีอาชีพรับจ้างขับรถไถลากไม้เถื่อน จากเขตแดน ประเทศไทย- พม่า และใช้เครื่องวิทยุคมนาคมของกลาง เพื่อดักฟังการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานตำรวจขณะจำเลย ขนไม้เถื่อน ทั้งการมีและพาอาวุธปืนของกลางก็เป็นไป เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าวด้วย พฤติการณ์แห่งคดีจึง ไม่สมควรรอการลงโทษให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7626/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันคำพิพากษาตามยอม และการไม่อุทธรณ์
โจทก์กล่าวอ้างว่า ทนายความของโจทก์ซึ่งเป็นตัวแทนกระทำการนอกเหนือขอบอำนาจของการเป็นตัวแทน หากโจทก์ซึ่งเป็นตัวการได้รับความเสียหายเป็นประการใด ก็ชอบที่โจทก์จะต้องไปว่ากล่าวเอาแก่ทนายความของโจทก์เอง
ทนายโจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมผูกพันโจทก์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 145 ซึ่งโจทก์อาจอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาดังกล่าวได้หากเข้ากรณีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 138 แต่โจทก์ไม่อุทธรณ์และคดีถึงที่สุดไปแล้วโจทก์จึงไม่อาจฟ้องร้องขอให้เพิกถอนคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7626/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันคู่ความ แม้มิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษา
ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์อ้างว่าทนายความของโจทก์ซึ่งเป็นตัวแทนกระทำการนอกเหนือขอบอำนาจของการเป็น ตัวแทน แต่การที่โจทก์ซึ่งเป็นตัวการได้รับความเสียหาย เป็นประการใดก็ชอบที่โจทก์จะต้องไปว่ากล่าวเอาแก่ทนายความของโจทก์ตามกฎหมาย เมื่อคดีดังกล่าวโจทก์เป็นคู่ความและโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลและศาลพิพากษาตามยอมแล้วเช่นนี้ คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมผูกพันโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145หากโจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้องก็อาจจะอุทธรณ์คัดค้าน คำพิพากษาดังกล่าวได้ หากเข้ากรณีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 138แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์และคดี ถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์จะมาฟ้องร้องขอให้เพิกถอนคำพิพากษา ตามสัญญาประนีประนอมยอมความหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7420/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลคำพิพากษาถึงที่สุดผูกพันคดีต่อมา การไม่มีกรรมสิทธิ์ทำให้ขาดอำนาจฟ้อง
ฟ้องโจทก์คดีนี้กับคดีที่โจทก์ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีก่อน มีประเด็นข้อพิพาทที่ศาลจะต้องวินิจฉัยอยู่ในประเด็นเดียวกันว่า ที่โจทก์กล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทโจทก์เป็นเจ้าของและเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์นั้น โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทไว้แทน ผ. และต้องโอนกรรมสิทธิ์คืน ผ. หรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาด คดีถึงที่สุดในคดีก่อนแล้วว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทไว้แทน ผ. และให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่ ส. ซึ่งเป็นทายาทของ ผ. เมื่อการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวเป็นการได้มาโดยผลของคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้ว ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ ผ. และทายาทตามคำพิพากษาศาลฎีกา คำพิพากษาดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์ในคดีนี้มิให้โต้เถียงเป็นอย่างอื่นตาม ป.วิ.พ.มาตรา 145 วรรคแรก
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาคดีนี้ คดีได้ความว่าโจทก์มิใช่เจ้าของผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยในคดีนี้ ปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 142 (5) ประกอบด้วยมาตรา246, 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7420/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องถูกผูกพันตามคำพิพากษาถึงที่สุด: โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่เมื่อกรรมสิทธิ์ที่ดินตกเป็นของทายาทตามคำพิพากษา
ฟ้องโจทก์คดีนี้กับคดีที่โจทก์ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีก่อน มีประเด็นข้อพิพาทที่ศาลจะต้องวินิจฉัยอยู่ในประเด็นเดียวกันว่า ที่โจทก์กล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทโจทก์เป็นเจ้าของและเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์นั้นโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทไว้แทน ผ. และต้องโอนกรรมสิทธิ์คืนผ. หรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาด คดีถึงที่สุดในคดีก่อนแล้วว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทไว้แทน ผ. และให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่ ส.ซึ่งเป็นทายาทของผ.เมื่อการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวเป็นการได้มาโดยผลของคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้ว ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ ผ. และทายาทตามคำพิพากษาศาลฎีกาคำพิพากษาดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์ในคดีนี้มิให้โต้เถียงเป็นอย่างอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 วรรคแรก ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาคดีนี้ คดีได้ความว่าโจทก์มิใช่เจ้าของผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยในคดีนี้ ปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) ประกอบด้วยมาตรา 246,247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7398/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองเฮโรอีนเพื่อจำหน่าย: พยานหลักฐานต้องชัดเจนถึงเจตนาและความผิด
โจทก์บรรยายฟ้องยืนยันว่า จำเลยมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่โจทก์นำสืบว่า จำเลยมีเฮโรอีนฝาปิดสีแดงห่อละ 5 หลอด 2 ห่อ และห่อละ 3 หลอด 1 ห่อ ในกระดาษหนังสือพิมพ์ กรณีจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการจำหน่ายเฮโรอีนตามบทนิยามคำว่าจำหน่าย ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 เพราะการจำหน่ายตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวหมายถึงการจำหน่ายให้บุคคลอื่น แต่ในทางนำสืบของโจทก์เพียงแต่สืบทราบว่าจำเลยจำหน่ายยาเสพติดเท่านั้น ไม่มีข้อบ่งชี้ว่าจำเลยมีเจตนามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย นอกจากนี้เฮโรอีนของกลางมีจำนวนเพียง 13.65 กรัม ไม่ถึง 20 กรัม ไม่เข้าข้อสันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามมาตรา 15 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักรับฟังว่าจำเลยมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6881/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประวัติซ้ำเติมโทษคดีขับรถประมาทถึงแก่ความตาย ศาลยืนโทษจำคุก แม้ฐานะยากจน
ก่อนคดีนี้จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายมาแล้ว 2 ครั้ง นอกจากนั้นจำเลยเคยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมในข้อหาจอดรถกีดขวางทางจราจรมาแล้วประมาณ 10 ครั้ง คดีนี้จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายถึง 2 คน แม้จำเลยมีฐานะยากจน ต้องอุปการะเลี้ยงดูภริยากับบุตรผู้เยาว์ในวัยเรียน 2 คน กับบิดาซึ่งชราภาพ แต่เมื่อพิเคราะห์ประวัติความผิดประกอบพฤติการณ์แห่งความผิดแล้ว ยังไม่เห็นสมควรลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษให้จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6701/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์และฎีกาในคดีเยาวชนและครอบครัว: การใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน
ในคดีที่ศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลเยาวชนและครอบครัวได้กำหนดให้ใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนตามมาตรา 104 ที่มิใช่การพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ส่งเด็กหรือเยาวชนไปเพื่อกักและอบรมมีกำหนดระยะเวลาเกินสามปีแล้ว ย่อมต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อที่ศาลใช้ดุลพินิจกำหนดวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนและคู่ความจะอุทธรณ์ได้ต่อเมื่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัว หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวอนุญาตให้อุทธรณ์ในข้อดังกล่าวได้เท่านั้น
คดีที่ศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวได้พิพากษาหรือมีคำสั่ง ให้ฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นไปยังศาลฎีกาได้ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความเหมือนคดีธรรมดา เว้นแต่กรณีที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามมาตรา 121 ซึ่งมีความหมายว่า คดีที่ศาลต้องห้ามอุทธรณ์ตามมาตรา 121 นั้น ย่อมต้องห้ามฎีกาไปด้วย โดยไม่มีบทบัญญัติใดให้อำนาจอธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวหรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวอนุญาตให้ฎีกาได้ดังเช่นกรณีอุทธรณ์
ศาลเยาวชนและครอบครัวซึ่งเป็นศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยจำคุก 6 เดือน และให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวไปฝึกและอบรมมีกำหนดขั้นต่ำ 1 ปี ขั้นสูง 2 ปี นับแต่วันพิพากษา ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 104 (2)คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อที่เกี่ยวกับการใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน เมื่อจำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษแก่จำเลยโดยผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวอนุญาตให้อุทธรณ์ได้ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนคดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาดังกล่าวตามมาตรา 124 ทั้งคดีไม่อาจมีการอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาดังกล่าวได้ด้วย และกรณีไม่อาจนำบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.อ.มาตรา 221โดยอาศัย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 6 มาใช้บังคับแก่กรณีนี้ได้ การที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษโดยผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวอนุญาตให้ฎีกา และศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยมานั้น เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6701/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาในคดีเยาวชนที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวไปฝึกอบรม ไม่อาจฎีกาได้หากไม่ได้รับอนุญาต
ในคดีที่ศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลเยาวชนและครอบครัวได้กำหนดให้ใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนตามมาตรา 104ที่มิใช่การพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ส่งเด็กหรือเยาวชนไปเพื่อกักและอบรมมีกำหนดระยะเวลาเกินสามปีแล้ว ย่อมต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อที่ศาลใช้ดุลพินิจกำหนดวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนและคู่ความจะอุทธรณ์ได้ต่อเมื่อ อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัว หรือ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวอนุญาตให้อุทธรณ์ ในข้อดังกล่าวได้เท่านั้น คดีที่ศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคแผนกคดีเยาวชนและ ครอบครัวได้พิพากษาหรือมีคำสั่ง ให้ฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น ไปยังศาลฎีกาได้ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณา ความเหมือนคดีธรรมดา เว้นแต่กรณีที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ตามมาตรา 121 ซึ่งมีความหมายว่า คดีที่ศาลต้องห้ามอุทธรณ์ ตามมาตรา 121 นั้น ย่อมต้องห้ามฎีกาไปด้วย โดยไม่มีบทบัญญัติ ใดให้อำนาจอธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัว หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวอนุญาตให้ฎีกาได้ดังเช่นกรณีอุทธรณ์ ศาลเยาวชนและครอบครัวซึ่งเป็นศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษ จำเลยจำคุก 6 เดือน และให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวไปฝึก และอบรมมีกำหนดขั้นต่ำ 1 ปี ขั้นสูง 2 ปี นับแต่วันพิพากษา ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณา คดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 104(2) คดีจึงต้องห้าม อุทธรณ์ในข้อที่เกี่ยวกับการใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน เมื่อ จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษแก่จำเลย โดยผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวอนุญาต ให้อุทธรณ์ได้ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนคดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาดังกล่าวตามมาตรา 124 ทั้งคดีไม่อาจมีการอนุญาต ให้ฎีกาในปัญหาดังกล่าวได้ด้วย และกรณีไม่อาจนำบทบัญญัติ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221โดยอาศัยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 6มาใช้บังคับแก่กรณีนี้ได้ การที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบา และรอการลงโทษโดยผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัว อนุญาตให้ฎีกา และศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยมานั้น เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6524/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระจำยอมยังไม่ระงับสิ้นแม้เจ้าของภารยทรัพย์ถูกบังคับให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง การพิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหายที่ไม่กำหนดประเด็นไว้ ถือไม่ชอบ
โจทก์บรรยายเรื่องค่าเสียหายมาในฟ้องแล้ว แต่ศาลชั้นต้น มิได้กำหนดเป็นประเด็นไว้และคู่ความไม่ได้โต้แย้งย่อมถือว่าคู่ความได้สละประเด็นดังกล่าว การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะนอกประเด็น เดิมที่ดินของโจทก์และจำเลยเป็นโฉนดเดียวกันครั้นเจ้าของเดิมแบ่งแยกออกเป็นโฉนดเลขที่ 11887 และเลขที่ 1521 แล้ว ได้มีการโอนกันต่อมาหลายทอดจนถึงโจทก์ และจำเลย โดยโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 11887ส่วนจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1521 ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 1521 ซึ่งได้จดทะเบียนภาระจำยอมเป็นภารยทรัพย์เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 11887 ซึ่งเป็นสามยทรัพย์ เมื่อภารจำยอมนี้ยังไม่ระงับสิ้นไป จึงมีผลผูกพันจำเลยให้ต้องยอมให้โจทก์มีสิทธิใช้ต่อไป ดังนี้ เมื่อรูปคดีมิใช่เป็นเรื่องจำเลยผู้เป็นเจ้าของ ภารยทรัพย์เรียกให้พ้นจากภารจำยอมอันเกี่ยวกับทรัพย์ ในกรณีที่ภารยทรัพย์ไม่ใช้หรือใช้ไม่ได้ตามรูปการเพื่อ ประโยชน์แก่ทรัพย์ส่วนใดจึงชอบที่ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสอง รื้อถอนแผงลอยและสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ออกจากที่ดินพิพาท ซึ่งเป็นภารยทรัพย์
of 32