พบผลลัพธ์ทั้งหมด 319 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2785/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเป็นตัวแทน การกู้ยืมเงิน หุ้นส่วน และอำนาจฟ้องในคดีหุ้นส่วน
ธุรกิจซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ที่ 1 ที่จำเลยที่ 1ผู้เป็นหุ้นส่วนดำเนินการอยู่นั้น ห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 4 มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 4เป็นผู้กู้ยืมเงินจากธนาคารมาใช้ในการดำเนินงานของผู้เป็นหุ้นส่วนตามวัตถุประสงค์ จึงเป็นเรื่องที่คู่ความโต้เถียงกันว่าจำเลยที่ 4เป็นตัวแทนในการกู้เงินหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับหนี้ตามสัญญากู้หรือสัญญาซื้อขายที่ดิน เช่นนี้ แม้การตั้งจำเลยที่ 4 เป็นตัวแทนของโจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1 จะมิได้ทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือก็มีผลบังคับ
โจทก์ที่ 1 เป็นตัวการเข้าทำสัญญาหุ้นส่วนกับฝ่ายจำเลยโจทก์ที่ 2 เป็นเพียงตัวแทนของโจทก์ที่ 1 ในการถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเท่านั้น มิได้เข้าเป็นคู่สัญญาหุ้นส่วนกับฝ่ายจำเลยด้วย การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 จัดกิจการของห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนโดยไม่ถูกต้อง และให้จำเลยที่ 3 ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินบางแปลงอันทำให้ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวเหลือวิสัยที่จะดำรงคงอยู่ต่อไปได้ จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่ 1เท่านั้น หาได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่ 2 ด้วยไม่ โจทก์ที่ 2จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ที่ 1 เป็นตัวการเข้าทำสัญญาหุ้นส่วนกับฝ่ายจำเลยโจทก์ที่ 2 เป็นเพียงตัวแทนของโจทก์ที่ 1 ในการถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเท่านั้น มิได้เข้าเป็นคู่สัญญาหุ้นส่วนกับฝ่ายจำเลยด้วย การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 จัดกิจการของห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนโดยไม่ถูกต้อง และให้จำเลยที่ 3 ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินบางแปลงอันทำให้ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวเหลือวิสัยที่จะดำรงคงอยู่ต่อไปได้ จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่ 1เท่านั้น หาได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่ 2 ด้วยไม่ โจทก์ที่ 2จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2785/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนหุ้นส่วน กู้ยืมเงิน สัญญาหุ้นส่วน และอำนาจฟ้อง: ศาลฎีกายกฟ้องโจทก์ที่ 2
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงได้ตามคำฟ้องว่า จำเลยที่ 4 เป็นตัวแทนของโจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1 ผู้เป็นตัวการในการกู้ยืมเงินธนาคารมาดำเนินกิจการของห้างหุ้นส่วนตามหนังสือสัญญาร่วมลงทุนถือหุ้นดำเนินกิจการจัดสรรที่ดินขายพร้อมสิ่งปลูกสร้างเอกสารหมาย จ. 2 ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ฎีกาว่า แม้จำเลยที่ 2 ผู้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 4 ลงชื่อเป็นพยานในเอกสารหมาย จ. 2 แต่ไม่ปรากฏว่าได้ประทับตราห้างจำเลยที่ 4 การลงชื่อจำเลยที่ 2 จึงเป็นการกระทำส่วนตัว ย่อมไม่ผูกพันจำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้ต้องรับผิดร่วมชำระหนี้ด้วยนั้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ไม่ชอบที่จะวินิจฉัยให้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คู่ความโต้เถียงกันว่าจำเลยที่ 4 เป็นตัวแทนในการกู้เงินหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับหนี้ตามสัญญากู้หรือสัญญาซื้อขายที่ดิน แม้การตั้งจำเลยที่ 4 เป็นตัวแทนของโจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1 จะมิได้ทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็มีผลบังคับ
โจทก์ที่ 1 เป็นตัวการเข้าทำสัญญาหุ้นส่วนกับฝ่ายจำเลย โจทก์ที่ 2 เป็นเพียงตัวแทนของโจทก์ที่ 1 ในการถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเท่านั้น การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 จัดกิจการของห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนโดยไม่ถูกต้อง และให้จำเลยที่ 3 ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินบางแปลงอันทำให้ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวเหลือวิสัยที่จะดำรงคงอยู่ต่อไปได้ จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่ 1 เท่านั้น หาได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่ 2 ด้วยไม่ โจทก์ที่ 2 จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ซึ่งปัญหาอำนาจฟ้องนี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คู่ความโต้เถียงกันว่าจำเลยที่ 4 เป็นตัวแทนในการกู้เงินหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับหนี้ตามสัญญากู้หรือสัญญาซื้อขายที่ดิน แม้การตั้งจำเลยที่ 4 เป็นตัวแทนของโจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1 จะมิได้ทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็มีผลบังคับ
โจทก์ที่ 1 เป็นตัวการเข้าทำสัญญาหุ้นส่วนกับฝ่ายจำเลย โจทก์ที่ 2 เป็นเพียงตัวแทนของโจทก์ที่ 1 ในการถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเท่านั้น การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 จัดกิจการของห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนโดยไม่ถูกต้อง และให้จำเลยที่ 3 ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินบางแปลงอันทำให้ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวเหลือวิสัยที่จะดำรงคงอยู่ต่อไปได้ จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่ 1 เท่านั้น หาได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่ 2 ด้วยไม่ โจทก์ที่ 2 จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ซึ่งปัญหาอำนาจฟ้องนี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2567/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากเหตุยิงในที่สาธารณะ การกระทำเกินกว่าป้องกันตัว และความผิดฐานมีอาวุธ
การที่จำเลยใช้ปืนยิงไปที่กลุ่มคนหมู่มากและอยู่ในที่จำกัดบนรถยนต์โดยสารที่จำเลยโดยสารมาด้วย ถือได้ว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าโดยย่อมเล็งเห็นผล เมื่อมีผู้ถูกกระสุนปืนทั้งถึงแก่ความตายและไม่ตาย จำเลยต้องมีความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2567/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากเหตุยิงในที่สาธารณะ ศาลแก้ไขบทลงโทษตามที่ฎีกาขอ
จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงไปที่กลุ่มคนหมู่มากและอยู่ในที่จำกัด ย่อมถือได้ว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าโดยเล็งเห็นผล เมื่อมีผู้ถูกกระสุนปืนทั้งถึงแก่ความตายและไม่ตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่า
แม้ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา มิใช่เป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก็ตาม แต่เมื่อโจทก์และโจทก์ร่วม มิได้ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้น ศาลฎีกาจึงแก้ไขบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องได้เท่านั้น ไม่อาจพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
แม้ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา มิใช่เป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก็ตาม แต่เมื่อโจทก์และโจทก์ร่วม มิได้ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้น ศาลฎีกาจึงแก้ไขบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องได้เท่านั้น ไม่อาจพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2563/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจปกครองเด็กเมื่อบิดามีพฤติการณ์ไม่เหมาะสม แม้บิดายังมีชีวิตอยู่และมิได้ถูกถอนอำนาจ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1585 วรรคหนึ่ง ให้ตั้งผู้ปกครองผู้เยาว์ได้เฉพาะกรณีผู้เยาว์ไม่มีบิดามารดาหรือบิดามารดาถูกถอนอำนาจปกครอง การที่มารดาตาย ส่วนบิดายังมีชีวิตอยู่และมิได้ถูกถอนอำนาจปกครอง แม้บิดามารดาจะจดทะเบียนหย่าโดยตกลงให้มารดาเป็นผู้ปกครองผู้เยาว์แต่ฝ่ายเดียวก็เป็นเรื่องการตกลงตามมาตรา 1520วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 1566 วรรคสอง (6) เท่านั้น มิใช่เป็นกรณีที่บิดาถูกถอนอำนาจปกครองเพราะการจะถอนอำนาจปกครองจะต้องมีเหตุตามมาตรา 1582 และเป็นอำนาจของศาล ดังนั้น อำนาจปกครองจึงกลับมาอยู่แก่บิดาฝ่ายเดียวตามมาตรา 1566 วรรคสอง (1) เมื่อผู้เยาว์ยังมีบิดาซึ่งยังไม่ถูกถอนอำนาจปกครองจึงไม่อาจตั้งผู้ปกครองได้ ผู้ร้องซึ่งเป็นน้าผู้เยาว์จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ตั้งผู้ปกครอง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1582 ให้อำนาจศาลถอนอำนาจปกครองได้โดยลำพังไม่ต้องให้ผู้ใดร้องขอก็ได้ หากมีเหตุตามบทบัญญัติดังกล่าว แม้ผู้ร้องไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอถอนอำนาจปกครองของบิดาผู้เยาว์ แต่เมื่อความปรากฏต่อศาลว่าที่บิดาของผู้เยาว์ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำเกี่ยวกับการจำหน่ายยาเสพติดและไม่ได้อุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ โดยให้อยู่ในความดูแลของผู้ร้องถือได้ว่าบิดาประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงและใช้อำนาจปกครองแก่ตัวผู้เยาว์โดยมิชอบ ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาให้ถอนอำนาจปกครองบิดาผู้เยาว์และเมื่อผู้เยาว์ไม่มีผู้ใช้อำนาจปกครองเนื่องจากมารดาตายและบิดาถูกถอนอำนาจปกครองประกอบกับผู้เยาว์อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของผู้ร้องตลอดมา ทั้งบิดายินยอมให้ผู้ร้องเป็นผู้ปกครอง ศาลจึงตั้งผู้ร้องเป็นผู้ปกครองผู้เยาว์
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1582 ให้อำนาจศาลถอนอำนาจปกครองได้โดยลำพังไม่ต้องให้ผู้ใดร้องขอก็ได้ หากมีเหตุตามบทบัญญัติดังกล่าว แม้ผู้ร้องไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอถอนอำนาจปกครองของบิดาผู้เยาว์ แต่เมื่อความปรากฏต่อศาลว่าที่บิดาของผู้เยาว์ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำเกี่ยวกับการจำหน่ายยาเสพติดและไม่ได้อุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ โดยให้อยู่ในความดูแลของผู้ร้องถือได้ว่าบิดาประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงและใช้อำนาจปกครองแก่ตัวผู้เยาว์โดยมิชอบ ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาให้ถอนอำนาจปกครองบิดาผู้เยาว์และเมื่อผู้เยาว์ไม่มีผู้ใช้อำนาจปกครองเนื่องจากมารดาตายและบิดาถูกถอนอำนาจปกครองประกอบกับผู้เยาว์อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของผู้ร้องตลอดมา ทั้งบิดายินยอมให้ผู้ร้องเป็นผู้ปกครอง ศาลจึงตั้งผู้ร้องเป็นผู้ปกครองผู้เยาว์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2563/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจปกครองผู้เยาว์: กรณีบิดามีชีวิตอยู่แต่ถูกถอนอำนาจเนื่องจากประพฤติชั่วร้าย และการตั้งผู้ปกครองใหม่
ป.พ.พ. มาตรา 1585 วรรคหนึ่ง ให้ตั้งผู้ปกครองผู้เยาว์ได้เฉพาะกรณีผู้เยาว์ไม่มีบิดามารดาหรือบิดามารดาถูกถอนอำนาจปกครอง การที่มารดาตาย ส่วนบิดายังมีชีวิตอยู่และมิได้ถูกถอนอำนาจปกครอง แม้บิดามารดาจะจดทะเบียนหย่าโดยตกลงให้มารดาเป็นผู้ปกครองผู้เยาว์แต่ฝ่ายเดียว ก็เป็นเรื่องการตกลงตามมาตรา 1520 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 1566 วรรคสอง (6) เท่านั้น มิใช่เป็นกรณีที่บิดาถูกถอนอำนาจปกครองเพราะการจะถอนอำนาจปกครองจะต้องมีเหตุตามมาตรา 1582 และเป็นอำนาจของศาล ดังนั้น เมื่อมารดาของผู้เยาว์ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองแต่ผู้เดียวตามที่ตกลงขณะที่จดทะเบียนหย่าถึงแก่กรรม อำนาจปกครองผู้เยาว์จึงกลับมาอยู่แก่บิดาฝ่ายเดียวตามมาตรา 1566 วรรคสอง (1) เมื่อผู้เยาว์ยังมีบิดาซึ่งยังไม่ถูกถอดถอนอำนาจปกครองจึงไม่อาจตั้งผู้ปกครองได้ ผู้ร้องซึ่งเป็นน้าผู้เยาว์จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ตั้งผู้ปกครอง
ป.พ.พ. มาตรา 1582 ให้อำนาจศาลถอนอำนาจปกครองได้โดยลำพังไม่ต้องให้ผู้ใดร้องขอ หากมีเหตุตามบทบัญญัติดังกล่าว คดีนี้แม้ผู้ร้องไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอถอนอำนาจปกครองของบิดาผู้เยาว์ แต่เมื่อความปรากฏต่อศาลว่าบิดาของผู้เยาว์ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำเกี่ยวกับการจำหน่ายยาเสพติดและไม่ได้อุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ โดยให้อยู่ในความดูแลของผู้ร้องถือได้ว่า บิดาประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงและใช้อำนาจปกครองแก่ตัวผู้เยาว์โดยมิชอบ ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาให้ถอนอำนาจปกครองบิดาผู้เยาว์ และเมื่อผู้เยาว์ไม่มีผู้ใช้อำนาจปกครองเนื่องจากมารดาตายและบิดาถูกถอนอำนาจปกครอง ประกอบกับผู้เยาว์อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของผู้ร้องตลอดมา ทั้งบิดาผู้เยาว์ยินยอมให้ผู้ร้องเป็นผู้ปกครอง ศาลจึงตั้งผู้ร้องเป็นผู้ปกครองผู้เยาว์ได้
ป.พ.พ. มาตรา 1582 ให้อำนาจศาลถอนอำนาจปกครองได้โดยลำพังไม่ต้องให้ผู้ใดร้องขอ หากมีเหตุตามบทบัญญัติดังกล่าว คดีนี้แม้ผู้ร้องไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอถอนอำนาจปกครองของบิดาผู้เยาว์ แต่เมื่อความปรากฏต่อศาลว่าบิดาของผู้เยาว์ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำเกี่ยวกับการจำหน่ายยาเสพติดและไม่ได้อุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ โดยให้อยู่ในความดูแลของผู้ร้องถือได้ว่า บิดาประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงและใช้อำนาจปกครองแก่ตัวผู้เยาว์โดยมิชอบ ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาให้ถอนอำนาจปกครองบิดาผู้เยาว์ และเมื่อผู้เยาว์ไม่มีผู้ใช้อำนาจปกครองเนื่องจากมารดาตายและบิดาถูกถอนอำนาจปกครอง ประกอบกับผู้เยาว์อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของผู้ร้องตลอดมา ทั้งบิดาผู้เยาว์ยินยอมให้ผู้ร้องเป็นผู้ปกครอง ศาลจึงตั้งผู้ร้องเป็นผู้ปกครองผู้เยาว์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2542/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาสงบข้อพิพาทระงับสิทธิเรียกร้องค่าทดแทนจากการเป็นชู้
ก่อนฟ้องหย่าโจทก์พาจำเลยทั้งสองไปแจ้งความเป็นหลักฐานที่สถานีตำรวจว่าพบจำเลยทั้งสองอยู่ในห้องและหลับนอนอยู่ด้วยกันสองต่อสอง และร้องเรียนผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 แต่ต่อมาโจทก์ได้แจ้งต่อพนักงานสอบสวนและมีการบันทึกในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีไว้ว่า โจทก์ไม่ติดใจเอาความใด ๆ กับจำเลยที่ 2 หนังสือร้องเรียนเป็นเรื่องเข้าใจผิด โจทก์ได้ปรับความเข้าใจกับจำเลยทั้งสองแล้วเข้าใจกันดีแล้วทุกอย่าง จึงมาแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน โดยจำเลยที่ 2รับว่าจะไม่ฟ้องร้องโจทก์และจำเลยที่ 1 ด้วย โจทก์และจำเลยทั้งสองลงชื่อไว้ในเอกสารดังกล่าว รายงานประจำวันดังกล่าวมีลักษณะเป็นสัญญาที่โจทก์และจำเลยที่ 2 ตกลงระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่ หรือที่จะมีขึ้นเกี่ยวกับการที่จำเลยทั้งสองเป็นชู้กันให้เสร็จไปด้วยต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 สิทธิเรียกร้องค่าทดแทนระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 2 ระงับสิ้นไปแล้ว โจทก์จึงฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยที่ 2 ไม่ได้ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246,247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2450/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายในงานสังสรรค์ ศาลลดโทษจากทำร้ายจนถึงแก่ความตายเป็นทำร้ายร่างกายธรรมดา
ก่อนเกิดเหตุกลุ่มผู้ตายและกลุ่มจำเลยที่ 4 ต่างฝ่ายต่างไปเที่ยวหาความสำราญด้วยกันในที่เกิดเหตุโดยมิได้ประสงค์จะก่อการวิวาท หากแต่การวิวาทดังกล่าวเกิดขึ้นโดยฉับพลัน ซึ่งจำเลยที่ 4 ไม่มีส่วนคบคิดด้วย ทั้งผู้ตายถึงแก่ความตายเนื่องจากบาดแผลที่ถูกแทงด้วยเหล็กขูดชาฟท์ของบุคคลอื่นที่มิใช่จำเลยที่ 4 ความตายของผู้ตายจึงไม่ใช่ผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ 4 ดังนี้ จะให้ชี้ชัดว่าจำเลยที่ 4 มีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา 290 ยังไม่ได้ จำเลยที่ 4 คงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายตาม ป.อ. มาตรา 295 ตามที่กระทำไปเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2333/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ถูกต้องและการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยที่ไม่เกี่ยวข้อง ทำให้การพิพากษาทิ้งฟ้องอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอกันส่วนในที่ดิน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นกำหนดให้ผู้ร้องมาทราบคำสั่งในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2541 แต่ถึงวันดังกล่าวศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งต่อมาวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2541 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์และให้ผู้ร้องนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้โจทก์ จำเลย และเจ้าพนักงานบังคับคดีภายใน 15 วัน ดังนี้เมื่อไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้ส่งคำสั่งดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องโดยชอบ การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงไม่ถูกต้อง แม้จะได้ความว่าผู้ร้องนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 ส่วนจำเลยที่ 9 ถึงที่ 15 มิได้นำส่ง ก็ยังถือไม่ได้ว่าผู้ร้องทิ้งฟ้องอุทธรณ์
ผู้ร้องร้องขอกันส่วนอ้างว่า ส. ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินแทนจำเลยที่ 2 ที่ 3 และ อ. ผู้ร้องในฐานะภรรยาจำเลยที่ 2 ขอกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวกึ่งหนึ่งเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2 ซึ่งเห็นได้ว่าคำร้องของผู้ร้องไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 9ถึงที่ 15 ทั้งในการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้น ก็มิได้ส่งหมายนัดให้จำเลยที่ 9 ถึงที่ 15 แต่อย่างใด จำเลยที่ 9 ถึงที่ 15จึงไม่ใช่จำเลยอุทธรณ์ กรณีไม่จำต้องส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 9ถึงที่ 15
ผู้ร้องร้องขอกันส่วนอ้างว่า ส. ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินแทนจำเลยที่ 2 ที่ 3 และ อ. ผู้ร้องในฐานะภรรยาจำเลยที่ 2 ขอกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวกึ่งหนึ่งเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2 ซึ่งเห็นได้ว่าคำร้องของผู้ร้องไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 9ถึงที่ 15 ทั้งในการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้น ก็มิได้ส่งหมายนัดให้จำเลยที่ 9 ถึงที่ 15 แต่อย่างใด จำเลยที่ 9 ถึงที่ 15จึงไม่ใช่จำเลยอุทธรณ์ กรณีไม่จำต้องส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 9ถึงที่ 15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2326/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างทำของไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ อายุความเริ่มนับเมื่อส่งมอบงาน
สัญญาจ้างทำของ กฎหมายมิได้บัญญัติให้ต้องกระทำตามแบบหรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ เพียงแต่ผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้นก็เป็นการเพียงพอที่จะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ ดังนั้น แม้เอกสารตามที่โจทก์อ้างจะไม่มีลายมือชื่อของจำเลยในฐานะผู้ว่าจ้าง ก็ใช้เป็นพยานหลักฐาน เพื่อประกอบการพิจารณาว่าจำเลยได้ตกลงว่าจ้างให้โจทก์ทำการดังกล่าวหรือไม่ได้
การที่โจทก์ต้องส่งมอบงานก่อสร้างอาคารชุด ส่วนที่ 17 และงานติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าในอาคารชุดดังกล่าว แก่จำเลยเป็นหน้าที่ของโจทก์ตามสัญญา แม้ในส่วนงานติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้านั้นโจทก์ได้ติดตั้งเสร็จแล้ว แต่งานในส่วนการก่อสร้างอาคารชุด ส่วนที่ 17 โจทก์ยังทำไม่เสร็จ โจทก์ย่อมมีเหตุอันควรที่จะรอส่งมอบงานทั้งสองอย่างนี้พร้อมกัน แต่ตราบใดที่ยังไม่มีการส่งมอบงานระหว่างโจทก์กับจำเลย สิทธิเรียกร้องของโจทก์ในการเรียกค่าติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าก็ยังไม่เกิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 602 วรรคหนึ่ง และอายุความในการฟ้องร้องจึงยังไม่เริ่มนับตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/12 เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ส่งมอบงานที่ทำดังกล่าวแก่จำเลยในวันที่ 5 มิถุนายน 2534 และยื่นฟ้องวันที่ 3 มิถุนายน 2536 สิทธิเรียกร้องในส่วนนี้จึงยังไม่ขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1)
การที่โจทก์ต้องส่งมอบงานก่อสร้างอาคารชุด ส่วนที่ 17 และงานติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าในอาคารชุดดังกล่าว แก่จำเลยเป็นหน้าที่ของโจทก์ตามสัญญา แม้ในส่วนงานติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้านั้นโจทก์ได้ติดตั้งเสร็จแล้ว แต่งานในส่วนการก่อสร้างอาคารชุด ส่วนที่ 17 โจทก์ยังทำไม่เสร็จ โจทก์ย่อมมีเหตุอันควรที่จะรอส่งมอบงานทั้งสองอย่างนี้พร้อมกัน แต่ตราบใดที่ยังไม่มีการส่งมอบงานระหว่างโจทก์กับจำเลย สิทธิเรียกร้องของโจทก์ในการเรียกค่าติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าก็ยังไม่เกิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 602 วรรคหนึ่ง และอายุความในการฟ้องร้องจึงยังไม่เริ่มนับตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/12 เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ส่งมอบงานที่ทำดังกล่าวแก่จำเลยในวันที่ 5 มิถุนายน 2534 และยื่นฟ้องวันที่ 3 มิถุนายน 2536 สิทธิเรียกร้องในส่วนนี้จึงยังไม่ขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1)