คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 276

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 168 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5652/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนับระยะเวลาบังคับคดี: ผลของวันหยุดราชการต่อการออกหมายบังคับคดีตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำว่า "ลักษณะนี้" ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/1 ว่าด้วย การนับระยะเวลาคือลักษณะ 5 ของบรรพ 1 ซึ่งว่าด้วยหลักทั่วไป มิได้ใช้บังคับเฉพาะเรื่องนิติกรรม แต่ใช้บังคับในการออกหมายบังคับคดีด้วย แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 273 วรรคสามจะได้บัญญัติว่า ระยะเวลาในคำบังคับให้เริ่มนับแต่วันที่ได้ส่งคำบังคับหรือข้อความท้ายคำบังคับที่ระบุให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 7 วัน นับแต่วันได้รับคำบังคับก็ไม่อาจถือว่าเป็นข้อยกเว้นที่จะต้องนับระยะเวลาในวันแรกรวมเข้าด้วย ต้องนับระยะเวลาตั้งแต่วันรุ่งขึ้นจากวันปิดคำบังคับ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 276 วรรคหนึ่งมีเจตนารมณ์เพื่อให้เวลาแก่ลูกหนี้ที่จะปฏิบัติการชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ หากยังอยู่ในระยะเวลาดังกล่าวศาลก็จะยังไม่ออกหมายบังคับคดี แม้วันสุดท้ายแห่งระยะเวลาจะเป็นวันหยุดราชการซึ่งตามปกติธนาคารโจทก์จะหยุดทำการ ทำให้จำเลยไม่สามารถติดต่อกับโจทก์ได้ แต่วันเปิดทำการในวันจันทร์และหลังจากนั้นจำเลยก็ไม่ได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์ดังนี้ ที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีในวันเปิดทำการดังกล่าวแม้จะออกเร็วไป 1 วัน แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีก็มิได้ไปดำเนินการบังคับคดีเอาแก่จำเลยในวันที่ออกหมายบังคับคดีแต่ไปดำเนินการบังคับคดีเมื่อกำหนดเวลาตามคำบังคับได้ล่วงพ้นไปแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนหมายบังคับคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4719/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอออกหมายบังคับคดีซ้ำ – ประเด็นที่วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว – ป.วิ.พ. มาตรา 144
จำเลยที่ 1 ฝ่าฝืนสัญญาประนีประนอมยอมความ ที่ศาลพิพากษาตามยอมแล้ว และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี โดยก่อนที่ศาลชั้นต้นจะทำการไต่สวนคำขอของโจทก์ที่ขอให้ออกหมายบังคับคดี จำเลยที่ 1ได้ยื่นคำคัดค้านว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ ดังนั้นในชั้นไต่สวนคำขอออกหมายบังคับคดีของโจทก์จึงมีประเด็นพิพาทกันว่าโจทก์หรือจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ เท่ากับศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยแล้วว่าโจทก์ไม่เป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความนั่นเอง การที่จำเลยที่ 1ยื่นคำร้องเข้ามาอีกโดยอ้างเหตุอย่างเดียวกับคำคัดค้านของจำเลยที่ 1 แม้จะมีคำขอให้โจทก์คืนเงินที่รับไปจากจำเลยที่ 1 มาด้วย ก็สืบเนื่องมาจากประเด็นข้อพิพาทเดียวกัน จึงเป็นการขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 144

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4376/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของมรณะของโจทก์ระหว่างพิจารณาคดี และการบังคับคดีชำระหนี้ด้วยการโอนทรัพย์สิน
แม้โจทก์ถึงแก่กรรมในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาโดยไม่มีทายาทขอเข้าเป็นคู่ความแทนผู้มรณะก็ตาม แต่ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 42 วรรคสองให้ศาลจำหน่ายคดีจากสารบบความได้นั้น ต้องเป็นกรณีมีข้อเท็จจริงมาสู่ศาลว่าคู่ความได้มรณะลงระหว่างคดีค้างพิจารณาอยู่ในศาลนั้น คดีนี้เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงมาสู่สำนวนศาลระหว่างคดีค้างพิจารณาของศาลฎีกาว่าโจทก์ถึงแก่กรรม ดังนี้ เมื่อศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาและได้อ่านให้จำเลยฟังโดยชอบแล้ว คำพิพากษาย่อมผูกพันจำเลย จำเลยจะยกคดีขึ้นว่ากล่าวให้ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองและจำหน่ายคดีจากสารบบความมิได้
เมื่อตามคำพิพากษาจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะใช้ราคาที่ดินแทนได้ต้องเป็นกรณีที่ไม่สามารถโอนที่ดินพิพาทคืนโจทก์ได้เท่านั้น มิใช่ให้จำเลยเลือกปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง และคดีนี้ทายาทของโจทก์ยังสามารถเข้าดำเนินการแทนโจทก์ในชั้นบังคับคดีได้ จำเลยก็ต้องโอนที่ดินพิพาทคืนให้แก่ทายาทโจทก์ จะขอใช้ราคาที่ดินแทนจำเลยมิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3861/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภูมิลำเนาชอบด้วยกฎหมาย การส่งคำบังคับโดยชอบ แม้จำเลยย้ายที่อยู่ภายหลัง
ในการทำสัญญาจำนองที่ดินแก่โจทก์ จำเลยที่ 4 แจ้งที่อยู่ลงในสัญญาจำนองว่าอยู่บ้านเลขที่ 483/2-3 ถนนศรีอยุธยาแขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร และโจทก์ก็บรรยายไว้ในคำฟ้องว่าจำเลยที่ 4 มีที่อยู่ดังกล่าว โดยโจทก์ได้ยื่นสำเนาทะเบียนบ้านที่คัดรับรองสำเนาถูกต้องโดยผู้ช่วยนายทะเบียนท้องถิ่นก่อนวันยื่นฟ้อง 3 วัน ก็ปรากฎว่าจำเลยที่ 4มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านดังกล่าวพร้อมบุตรผู้เยาว์ 2 คนอายุ 2 ปี และ 4 ปี การที่จำเลยที่ 4 ย้ายไปที่อยู่ใหม่ภายหลังที่โจทก์ฟ้องคดี โดยจำเลยที่ 4 มิได้แจ้งที่อยู่ใหม่ให้โจทก์และศาลชั้นต้นทราบทั้งไม่มีชื่อบุตรผู้เยาว์ย้ายไปอยู่ด้วย และภูมิลำเนาของจำเลยที่ 4 ตามหลักฐานที่ปรากฎในขณะส่งคำบังคับคือบ้านเลขที่ 483/2-3 ถนนผศรีอยุธยาแขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร ดังนั้นการส่งคำบังคับให้แก่จำเลยที่ 4 ตามภูมิลำเนาดังกล่าวจึงชอบแล้ว แม้ในขณะปิดคำบังคับตามคำสั่งศาล จำเลยที่ 4 จำได้ย้ายไปอยู่ที่อยู่ใหม่แล้วคือบ้านเลขที่ 45/323 หมู่ที่ 5ถนนสุขาภิบาล 1 แขวงคลองกุ่มเขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานครแต่เมื่อถือว่าจำเลยที่ 4 ได้รับคำบังคับโดยชอบแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนหมายบังคับคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3861/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งคำบังคับชอบด้วยกฎหมายแม้จำเลยย้ายที่อยู่ เหตุภูมิลำเนาเดิมยังคงมีชื่อจำเลยและครอบครัว
ในการทำสัญญาจำนองที่ดินแก่โจทก์จำเลยที่4แจ้งที่อยู่ลงในสัญญาจำนองว่าอยู่บ้านเลขที่483/2-3ถนนศรีอยุธยาแขวงถนนพญาไทเขตราชเทวี กรุงเทพมหานครและโจทก์ก็บรรยายไว้ในคำฟ้องว่าจำเลยที่4มีที่อยู่ดังกล่าวโดยโจทก์ได้ยื่นสำเนาทะเบียนบ้านที่คัดรับรองสำเนาถูกต้องโดยผู้ช่วยนายทะเบียนท้องถิ่นก่อนวันยื่นฟ้อง3วันก็ปรากฎว่าจำเลยที่4มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านดังกล่าวพร้อมบุตรผู้เยาว์2คนอายุ2ปีและ4ปีการที่จำเลยที่4ย้ายไปที่อยู่ใหม่ภายหลังที่โจทก์ฟ้องคดีโดยจำเลยที่4มิได้แจ้งที่อยู่ใหม่ให้โจทก์และศาลชั้นต้นทราบทั้งไม่มีชื่อบุตรผู้เยาว์ย้ายไปอยู่ด้วยและภูมิลำเนาของจำเลยที่4ตามหลักฐานที่ปรากฎในขณะส่งคำบังคับคือบ้านเลขที่483/2-3ถนนผศรีอยุธยาแขวงถนนพญาไทเขตราชเทวี กรุงเทพมหานครดังนั้นการส่งคำบังคับให้แก่จำเลยที่4ตามภูมิลำเนาดังกล่าวจึงชอบแล้ว แม้ในขณะปิดคำบังคับตามคำสั่งศาลจำเลยที่4จำได้ย้ายไปอยู่ที่อยู่ใหม่แล้วคือบ้านเลขที่45/323หมู่ที่5ถนนสุขาภิบาล1แขวงคลองกุ่มเขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานครแต่เมื่อถือว่าจำเลยที่4ได้รับคำบังคับโดยชอบแล้วจึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนหมายบังคับคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3861/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งคำบังคับชอบด้วยกฎหมาย แม้จำเลยย้ายที่อยู่แล้ว โดยใช้ภูมิลำเนาเดิมที่ปรากฏในสัญญาและทะเบียนบ้าน
ในการทำสัญญาจำนองที่ดินแก่โจทก์ จำเลยที่ 4 แจ้งที่อยู่ลงในสัญญาจำนองว่าอยู่บ้านเลขที่ 483/2-3 ถนนศรีอยุธยา แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวีกรุงเทพมหานคร และโจทก์ก็บรรยายไว้ในคำฟ้องว่าจำเลยที่ 4 มีที่อยู่ดังกล่าว โดยโจทก์ได้ยื่นสำเนาทะเบียนบ้านที่คัดรับรองสำเนาถูกต้องโดยผู้ช่วยนายทะเบียนท้องถิ่นก่อนวันยื่นฟ้อง 3 วัน ก็ปรากฏว่าจำเลยที่ 4 มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านดังกล่าวพร้อมบุตรผู้เยาว์ 2 คน อายุ 2 ปี และ 4 ปี การที่จำเลยที่ 4 ย้ายไปที่อยู่ใหม่ภายหลังที่โจทก์ฟ้องคดี โดยจำเลยที่ 4 มิได้แจ้งที่อยู่ใหม่ให้โจทก์และศาลชั้นต้นทราบทั้งไม่มีชื่อบุตรผู้เยาว์ย้ายไปอยู่ด้วย และภูมิลำเนาของจำเลยที่ 4 ตามหลักฐานที่ปรากฏในขณะส่งคำบังคับคือบ้านเลขที่ 483/2-3 ถนนศรีอยุธยา แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวีกรุงเทพมหานคร ดังนั้น การส่งคำบังคับให้แก่จำเลยที่ 4 ตามภูมิลำเนาดังกล่าวจึงชอบแล้ว
แม้ในขณะปิดคำบังคับตามคำสั่งศาล จำเลยที่ 4 จะได้ย้ายไปอยู่ที่อยู่ใหม่แล้วคือบ้านเลขที่ 45/323 หมู่ที่ 5 ถนนสุขาภิบาล 1 แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่มกรุงเทพมหานคร แต่เมื่อถือว่าจำเลยที่ 4 ได้รับคำบังคับโดยชอบแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนหมายบังคับคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 950/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดี การชำระหนี้ไม่ครบถ้วน และผลของการไม่โต้แย้งการขายทอดตลาด
การที่จำเลยนำเงินจำนวน12,000บาทและ3,000บาทไปชำระแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีและศาลเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์นั้นแม้ผู้แทนโจทก์ได้ตกลงยอมให้จำเลยชำระค่าเสียหายตามหมายบังคับคดีเพียง15,000บาทจริงก็ตามแต่เจ้าพนักงานบังคับคดีก็แถลงในวันเดียวกันว่าข้อตกลงดังกล่าวผู้แทนโจทก์และจำเลยตกลงกันเองเจ้าพนักงานบังคับคดีมิได้รับรู้ด้วยทั้งเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีตรวจสำนวนการบังคับคดีแล้วก็ไม่มีบันทึกเกี่ยวกับข้อตกลงการชำระหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยส่วนที่จำเลยนำเงินจำนวน7,000บาทไปชำระไว้ที่ศาลนั้นจำเลยได้ยื่นคำแถลงประกอบมีข้อความเพียงว่านำเงินที่ยังเป็นหนี้โจทก์อยู่3,000บาทมาชำระและในวันที่10กันยายน2535จำเลยได้นำเงินชำระโจทก์แล้ว12,000บาทเท่านั้นจำเลยไม่ได้ส่งหรือแสดงหลักฐานการตกลงนั้นต่อศาลเพิ่งมาส่งภายหลังจากที่มีการขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยไปแล้วจึงไม่มีทางที่ศาลและเจ้าพนักงานบังคับคดีจะล่วงรู้และรับรองข้อตกลงระหว่างผู้แทนโจทก์กับจำเลยนั้นได้ข้อตกลงที่ผู้แทนโจทก์ยอมลดค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์ตามหมายบังคับคดีลงเหลือเพียง15,000บาทจึงเป็นข้อตกลงนอกศาลไม่ผูกพันศาลและเจ้าพนักงานบังคับคดีให้จำต้องถือตาม การที่จำเลยนำเงินตามข้อตกลงส่วนหนึ่งไปชำระแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีอีกส่วนหนึ่งกับนำไปชำระที่ศาลและการชำระเงินก็ไม่ครบถ้วนไม่ว่าตามจำนวนที่ได้ตกลงกันไว้หรือตามหมายบังคับคดีและบัญชีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจัดทำขึ้นว่าเมื่อหักหนี้แล้วจำเลยยังเป็นหนี้โจทก์ตามหมายบังคับคดีเป็นเงิน8,149บาทจำเลยยังไม่ได้นำมาชำระให้อีกต้องถือว่าจำเลยยังมีหนี้ค่าเสียหายที่ต้องชำระให้โจทก์ตามหมายบังคับคดีเมื่อผู้รับมอบอำนาจโจทก์ยื่นคำแถลงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยต่อไปเนื่องจากจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ยังไม่ครบถ้วนเจ้าพนักงานบังคับคดีย่อมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องดำเนินการบังคับคดีต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา271และมาตรา278การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขออนุญาตศาลขายทอดตลาดตลาดที่ดินของจำเลยและดำเนินการบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยในเวลาต่อมาจึงเป็นไปตามขั้นตอนและตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่บัญญัติไว้ การขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยนั้นเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประกาศแจ้งวันนัดให้จำเลยทราบแล้วซึ่งจำเลยได้ทราบล่วงหน้าก่อนแล้วว่าจะมีการขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยครั้งแรกแล้วส่วนการประกาศขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยครั้งที่สองแม้จำเลยจะอ้างว่าการประกาศแจ้งวันนัดแก่จำเลยไม่ชอบแต่ก็ปรากฎข้ออ้างของจำเลยว่าการส่งหมายไม่ชอบเมื่อปรากฎว่าเจ้าพนักงานเดินหมายได้นำหมายนัดประกาศขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยครั้งที่สองไปส่งแก่จำเลยแต่จำเลยไม่อยู่จึงปิดไว้ที่บ้านจำเลยการแจ้งวันกำหนดนัดแก่จำเลยครั้งที่สองนี้ใช้วิธีปิดหมายเช่นเดียวกันกับครั้งแรกซึ่งในครั้งแรกจำเลยก็ได้ทราบกำหนดนัดขายทอดตลาดแล้วซึ่งมีเหตุผลน่าเชื่อว่าจำเลยน่าจะได้ทราบวันนัดขายทอดตลาดครั้งที่สองแล้วโดยวิธีและในทำนองเดียวกัน จำเลยอ้างว่าได้ชำระหนี้ตามข้อตกลงให้โจทก์ครบถ้วนแล้วเจ้าพนักงานบังคับคดีจะขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยอีกไม่ได้จำเลยก็น่าจะต้องขวนขวายโต้แย้งคัดค้านไม่ให้มีการขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยหรือให้เพิกถอนการขายทอดตลาดโดยพลันแต่จำเลยหาได้ทำไม่จนกระทั่งการขาดทอดตลาดที่ดินของจำเลยเสร็จสิ้นและนำเงินที่ขายได้ชำระหนี้ให้โจทก์และเจ้าพนักงานที่ดินได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์ได้จากการขายทอดตลาดแล้วถือว่าการบังคับคดีเสร็จลงจำเลยจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 950/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงนอกศาลไม่ผูกพันการบังคับคดี การขายทอดตลาดที่ดินชอบด้วยกฎหมาย จำเลยต้องโต้แย้งทันที
การที่จำเลยนำเงินจำนวน 12,000 บาท และ 3,000 บาทไปชำระแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีและศาลเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์นั้น แม้ผู้แทนโจทก์ได้ตกลงยอมให้จำเลยชำระค่าเสียหายตามหมายบังคับคดีเพียง 15,000 บาทจริงก็ตาม แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีก็แถลงในวันเดียวกันว่าข้อตกลงดังกล่าวผู้แทนโจทก์และจำเลยตกลงกันเอง เจ้าพนักงานบังคับคดีมิได้รับรู้ด้วย ทั้งเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีตรวจสำนวนการบังคับคดีแล้วก็ไม่มีบันทึกเกี่ยวกับข้อตกลงการชำระหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลย ส่วนที่จำเลยนำเงินจำนวน 3,000 บาท ไปชำระไว้ที่ศาลนั้นจำเลยได้ยื่นคำแถลงประกอบมีข้อความเพียงว่า นำเงินที่ยังเป็นหนี้โจทก์อยู่ 3,000 บาท มาชำระ และในวันที่ 10 กันยายน 2535 จำเลยได้นำเงินชำระโจทก์แล้ว 12,000 บาท เท่านั้น จำเลยไม่ได้ส่งหรือแสดงหลักฐานการตกลงนั้นต่อศาล เพิ่งมาส่งภายหลังจากที่มีการขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยไปแล้ว จึงไม่มีทางที่ศาลและเจ้าพนักงานบังคับคดีจะล่วงรู้และรับรองข้อตกลงระหว่างผู้แทนโจทก์กับจำเลยนั้นได้ ข้อตกลงที่ผู้แทนโจทก์ยอมลดค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์ตามหมายบังคับคดีลงเหลือเพียง 15,000 บาท จึงเป็นข้อตกลงนอกศาลไม่ผูกพันศาลและเจ้าพนักงานบังคับคดีให้จำต้องถือตาม
การที่จำเลยนำเงินตามข้อตกลงส่วนหนึ่งไปชำระแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีอีกส่วนหนึ่งกับนำไปชำระที่ศาลและการชำระเงินก็ไม่ครบถ้วน ไม่ว่าตามจำนวนที่ได้ตกลงกันไว้หรือตามหมายบังคับคดี และบัญชีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจัดทำขึ้นว่าเมื่อหักหนี้แล้วจำเลยยังเป็นหนี้โจทก์ตามหมายบังคับคดีเป็นเงิน 8,149บาท จำเลยยังไม่ได้นำมาชำระให้อีก ต้องถือว่าจำเลยยังมีหนี้ค่าเสียหายที่ต้องชำระให้โจทก์ตามหมายบังคับคดี เมื่อผู้รับมอบอำนาจโจทก์ยื่นคำแถลงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยต่อไปเนื่องจากจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ยังไม่ครบถ้วน เจ้าพนักงานบังคับคดีย่อมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องดำเนินการบังคับคดีต่อไป ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 271 และมาตรา 278 การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขออนุญาตศาลขายทอดตลาดที่ดินของจำเลย และดำเนินการบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยในเวลาต่อมาจึงเป็นไปตามขั้นตอนและตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่บัญญัติไว้
การขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยนั้น เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประกาศแจ้งวันนัดให้จำเลยทราบแล้วซึ่งจำเลยได้ทราบล่วงหน้าก่อนแล้วว่าจะมีการขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยครั้งแรกแล้ว ส่วนการประกาศขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยครั้งที่สองแม้จำเลยจะอ้างว่าการประกาศแจ้งวันนัดแก่จำเลยไม่ชอบแต่ก็ปรากฏข้ออ้างของจำเลยว่าการส่งหมายไม่ชอบ เมื่อปรากฏว่าเจ้าพนักงานเดินหมายได้นำหมายนัดประกาศขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยครั้งที่สองไปส่งแก่จำเลย แต่จำเลยไม่อยู่จึงปิดไว้ที่บ้านจำเลย การแจ้งวันกำหนดนัดแก่จำเลยครั้งที่สองนี้ใช้วิธีปิดหมายเช่นเดียวกันกับครั้งแรก ซึ่งในครั้งแรกจำเลยก็ได้ทราบกำหนดนัดขายทอดตลาดแล้ว ซึ่งมีเหตุผลน่าเชื่อว่า จำเลยน่าจะได้ทราบวันนัดขายทอดตลาดครั้งที่สองแล้วโดยวิธีและในทำนองเดียวกัน
จำเลยอ้างว่าได้ชำระหนี้ตามข้อตกลงให้โจทก์ครบถ้วนแล้วเจ้าพนักงานบังคับคดีจะขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยอีกไม่ได้ จำเลยก็น่าจะต้องขวนขวายโต้แย้งคัดค้านไม่ให้มีการขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยหรือให้เพิกถอนการขายทอดตลาดโดยพลัน แต่จำเลยหาได้ทำไม่ จนกระทั่งการขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยเสร็จสิ้นและนำเงินที่ขายได้ชำระหนี้ให้โจทก์ และเจ้าพนักงานที่ดินได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์ได้จากการขายทอดตลาดแล้วถือว่าการบังคับคดีเสร็จลง จำเลยจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2419/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีตามคำพิพากษา ต้องออกคำบังคับแจ้งหนี้ก่อน จึงจะออกหมายบังคับคดีได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 272 วรรคหนึ่งและมาตรา 276 วรรคหนึ่ง หากจะมีการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลจะต้องมีการออกคำบังคับเพื่อให้โอกาสจำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งภายในกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดก่อนหากจำเลยยอมปฏิบัติตามคำบังคับก็ไม่จำต้องออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับคดี แต่หากจำเลยไม่ยอมปฏิบัติ จึงจะมีการออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับคดีแก่จำเลยต่อไป คดีนี้เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี โจทก์ขอออกคำบังคับและส่งให้จำเลยทราบแล้วแต่จำเลยยื่นอุทธรณ์และได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ หลังจากศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้วไม่ปรากฏว่าได้มีการออกคำบังคับเพื่อแจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อยังไม่ได้ออกคำบังคับแจ้งให้จำเลยทราบเพื่อให้โอกาสจำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ก่อน ย่อมจะออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับคดีแก่จำเลยอันเป็นการขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2419/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ต้องออกคำบังคับแจ้งจำเลยก่อน เพื่อให้โอกาสปฏิบัติตาม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี และออกคำบังคับให้จำเลยทราบจำเลยอุทธรณ์และได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้วศาลชั้นต้นต้องออกคำบังคับให้จำเลยทราบเพื่อปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ก่อน หากจำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามจึงจะมีการออกหมายบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 276วรรคแรก ต่อไป
of 17