คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 538

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 667 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 593/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเช่าที่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือและการสิ้นสุดสิทธิเช่าเมื่อถูกบอกกล่าว
จำเลยเช่าห้องโจทก์โดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือและไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ เมื่อโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกจากห้องเช่า จำเลยเพิกเฉยโจทก์จึงฟ้องขับไล่อ้างว่าจำเลยอาศัยดังนี้ จำเลยจะอ้างการเช่ามาต่อสู้โจทก์ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 593/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเช่าที่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือและไม่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า สิทธิการเช่าไม่สามารถใช้ต่อสู้คดีขับไล่ได้
จำเลยเช่าห้องโจทก์โดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ และไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ เมื่อโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกจากห้องเช่า จำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงฟ้องขับไล่อ้างว่าจำเลยอาศัย ดังนี้ จำเลยจะอ้างการเช่ามาต่อสู้โจทก์ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 237-244/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสิ้นสุดสัญญาเช่านา การบอกเลิกสัญญา และสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย/ค่าเช่าที่ค้างชำระ
คดีที่จำเลยตายเสียก่อนได้รับสำเนาฟ้องอุทธรณ์นั้น จะดำเนินต่อไปได้ก็ต่อเมื่อได้มีผู้เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะ และศาลจะต้องมีคำสั่งอนุญาตด้วย
การคุ้มครองที่จะได้รับตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2493 ในกรณีที่จะบังคับไม่ให้ผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาและขับไล่ผู้เช่าออกจากที่นานั้น จะมีได้ก็แต่ในระหว่างที่สัญญาเช่ายังมีอายุอยู่เท่านั้น
การเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ เมื่อผู้ให้เช่าเป็นโจทก์ฟ้อง แม้จำเลยให้การรับว่าได้เป็นผู้เช่าแต่ต่อสู้ไม่ยอมออกจากที่เช่านั้น หาใช่หลักฐานเป็นหนังสืออันโจทก์จะฟ้องเรียกค่าเช่าที่ค้างได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 237-244/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสิ้นสุดสัญญาเช่า การคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา และสิทธิเรียกร้องค่าเช่า/ค่าเสียหาย
คดีที่จำเลยตายเสียก่อนได้รับสำเนาฟ้องอุทธรณ์นั้น จะดำเนินต่อไปก็ได้เมื่อได้มีผู้เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะ และศาลจะต้องมีคำสั่งอนุญาตด้วย
การคุ้มครองที่จะได้รับตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาพ.ศ.2493 ในกรณีที่จะบังคับไม่ให้ผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาเช่าและขับไล่ผู้เช่าออกจากที่นานั้น จะมีได้ก็แต่ในระหว่างที่สัญญาเช่ายังมีอายุอยู่เท่านั้น
การเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือเมื่อผู้ให้เช่าเป็นโจทก์ฟ้องแม้จำเลยให้การรับว่าได้เป็นผู้เช่าแต่ต่อสู้ไม่ยอมออกจากที่เช่านั้น หาใช่หลักฐานเป็นหนังสืออันโจทก์จะฟ้องเรียกค่าเช่าที่ค้างได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 233/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าต่ออายุโดยปริยาย: การบอกเลิกสัญญาต้องเป็นไปตามข้อตกลงเดิม และการชำระค่าเช่าต่อเนื่องแสดงถึงการไม่มีเจตนาบอกเลิก
สัญญาเช่าที่ระบุว่า "เมื่อผู้เช่าต้องการห้องเช่าคืนหรือผู้เช่าจะต้องการคืนห้องทั้งสองฝ่ายจะต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรก่อน 30 วัน" นั้นมีความหมายว่าถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดบอกเลิกสัญญาเช่าจะต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรก่อน 30 วัน
การเช่าอสังหาริมทรัพย์ เมื่อสิ้นกำหนดเวลาเช่า ผู้เช่ายังคงครอบครองทรัพย์สินอยู่โดยผู้ให้เช่าไม่ทักท้วง กฎหมายถือว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทำสัญญาใหม่ต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลานั้น ข้อสัญญาบอกกล่าวเดิมก็ยังคงเป็นข้อสัญญาเช่ากันใหม่ต่อไปด้วย ฉะนั้น เมื่อผู้ให้เช่ามิได้บอกเลิกสัญญาก่อน ก็ต้องถือว่าสัญญาเช่านั้นยังคงมีอยู่ต่อกันผู้ให้เช่าจึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่ผู้เช่า
แม้คณะกรรมการควบคุมค่าเช่าจะได้ลงมติให้ผู้ให้เช่าได้เข้าอยู่เองในห้องเช่าก็เป็นหน้าที่ของผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าต่อผู้เช่าก่อน (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 27/2505)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 233/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าต่ออายุโดยปริยาย ผู้ให้เช่าต้องแจ้งบอกเลิกตามสัญญาเดิมก่อนฟ้องขับไล่
สัญญาเช่าที่ระบุว่า "เมื่อผู้เช่าต้องการห้องเช่าคืน หรือผู้เช่าต้องการคืนห้อง ทั้งสองฝ่ายจะต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรก่อน 30 วัน" นั้นมีความหมายว่า ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดบอกเลิกสัญญาเช่า จะต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรก่อน 30 วัน
การเช่าอสังหาริมทรัพย์ เมื่อสิ้นกำหนดเวลาการเช่า ผู้เช่ายังคงครอบครองทรัพย์สินอยู่โดยผู้ให้เช่าไม่ทักท้วงกฎหมายถือว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทำสัญญาใหม่ต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลานั้น ข้อสัญญาบอกกล่าวเดิมก็ยังคงเป็นข้อสัญญาเช่ากันใหม่ต่อไปด้วย ฉะนั้น เมื่อผู้ให้เช่ามิได้บอกเลิกสัญญาก่อน ก็ต้องถือว่าสัญญาเช่านั้นยังคงมีอยู่ต่อกัน ผู้ให้เช่าจึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่ผู้เช่า
แม้คณะกรรมการควบคุมค่าเช่าจะได้ลงมติให้ผู้ให้เช่าได้เข้าอยู่เองในห้องเช่า ก็เป็นหน้าที่ของผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าต่อผู้เช่าก่อน
ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 27/2505)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 173/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าไม่ได้จดทะเบียน ผลบังคับใช้ 3 ปี ผู้ให้เช่าต้องบอกกล่าวเลิกสัญญาก่อน จึงจะชอบด้วยกฎหมาย
ทำสัญญาเช่ากันมีกำหนด 5 ปี แต่ไม่ได้จดทะเบียน จึงมีผลบังคับเพียง 3 ปี เมื่อครบ 3 ปีแล้ว ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกการเช่าก็ต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าทราบล่วงหน้า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566 สัญญาเช่าจึงจะระงับ
แต่ในปัญหาดังนี้ ถ้าศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าไม่ต้องบอกกล่าว และสั่งงดสืบพยานในข้อนี้ การวินิจฉัยและสั่งเช่นนี้เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ซึ่งมิได้ทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง หากเสร็จไปเฉพาะประเด็นบางข้อ(เพราะคดียังมีประเด็นข้ออื่นอีกด้วย) แม้จำเลยจะมิได้โต้แย้งไว้เสียแต่ศาลชั้นต้น ก็มีสิทธิยกขึ้นอุทธรณ์ในชั้นศาลอุทธรณ์ได้ตามมาตรา 228(3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 166/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิจากการเช่าต่างสัญญา: ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องสอดคดีเช่าระหว่างโจทก์-จำเลย
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่า. การที่ผู้ร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมอ้างว่าอยู่ในห้องพิพาทโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาที่ผู้มีชื่อคนหนึ่งทำกับผู้แทนโจทก์ อันไม่เกี่ยวข้องกับสัญญาเช่าที่โจทก์ฟ้องจำเลยนั้น จึงเป็นการกล่าวอ้างสิทธิตามสัญญาอีกอันหนึ่ง ต่างเรื่องต่างรายจากสัญญาที่จำเลยทำกับโจทก์ ฉะนั้น ถึงแม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยเช่าห้องเพื่อการค้าและยกป้ายใช้ชื่อร้านค้าซึ่งเป็นชื่อของผู้ร้องก็ตาม ก็เป็นแต่บรรยายให้เห็นว่าจำเลยเช่าเพื่อการค้า จึงไม่มีเหตุที่ผู้ร้องจะร้องสอดเข้ามาในคดีได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 166/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิจากการเช่าเป็นอิสระ การสอดเข้ามาในคดีต้องเกี่ยวข้องกับสัญญาพิพาทโดยตรง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่า การที่ผู้ร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมอ้างว่าอยู่ในห้องพิพาทโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาที่ผู้มีชื่อคนหนึ่งทำกับผู้แทนโจทก์ อันไม่เกี่ยวข้องกับสัญญาเช่าที่โจทก์ฟ้องจำเลยนั้น จึงเป็นการกล่าวอ้างสิทธิตามสัญญาอีกอันหนึ่ง ฉะนั้น ถึงแม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยเช่าห้องเพื่อการค้า และยกป้ายใช้ชื่อร้านค้าซึ่งเป็นชื่อของผู้ร้องก็ตาม ก็เป็นแต่บรรยายให้เห็นว่าจำเลยเช่าเพื่อการค้า จึงไม่มีเหตุที่ผู้ร้องจะสอดเข้ามาในคดีนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1974-1975/2505

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าที่ดิน: หลักฐานเป็นหนังสือ, การเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในสัญญา, และการพิสูจน์ความถูกต้องของสัญญา
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เช่าที่ดิน 112 ตารางวาจากเจ้าของที่ดิน จำเลยบุกรุกเข้ามาปลูกบ้านในที่ดินบางส่วน จำเลยให้การว่าไม่ได้บุกรุก ที่ดินที่จำเลยปลูกบ้านนี้จำเลยขอเช่าจากเจ้าของ ๆ ให้จำเลยเข้าอยู่แล้ว จำเลยขอให้เรียกเจ้าของที่ดินเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วย เจ้าของที่ดินเข้ามาเป็นจำเลยร่วมและขอถือเอาคำให้การของจำเลยกับขอให้การเพิ่มเติมว่าโจทก์เช่าเพียง 51 ตารางวาเท่านั้น การที่โจทก์ฟ้องอ้างสิทธิในการเช่าที่โจทก์ทำไว้กับจำเลยร่วมเช่นนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 บังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ มิฉะนั้น จะต้องฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้ เอกสารการเช่ารายนี้ คือ สัญญาหมาย 8 โจทก์ว่า ไม่ใช่สัญญาเช่าที่โจทก์ทำไว้กับจำเลยร่วม ซึ่งจำเลยและจำเลยร่วมยืนยันว่าใช่ ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ว่าสัญญาเช่าหมาย 8 นี้เป็นสัญญาที่แท้จริง และใช้ได้ตามกฎหมายหรือไม่ ถ้าโจทก์ทำไว้จริงและใช้ได้แล้ว ก็ต้องฟังว่าโจทก์เช่า 51 ตารางวา ตามที่ปรากฏในสัญญา โจทก์จะนำพยานบุคคลมาสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารว่าความจริงโจทก์เช่า 112 ตารางวาย่อมไม่ได้ แต่โจทก์มีสิทธินำสืบได้ว่า สัญญานี้ปลอมหรือไม่ถูกต้อง
of 67