คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 229

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 55 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6282/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องต้องมีสิทธิถูกโต้แย้ง: ลูกหนี้ร่วมไม่มีสิทธิเรียกร้องจากลูกหนี้ร่วม
โจทก์เป็นผู้ขนส่งสินค้า ส่วนจำเลยเป็นผู้ขนส่งอื่น เมื่อสินค้าเสียหายในระหว่างการขนส่งของจำเลย โจทก์และจำเลยจึงต้องรับผิดต่อผู้รับตราส่งอย่างลูกหนี้ร่วมตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 มาตรา 45 โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าหนี้จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ ประกอบกับโจทก์ยังไม่ได้ชำระหนี้ให้แก่บริษัทผู้รับตราส่งหรือบริษัทผู้รับประกันภัยสินค้าโจทก์จึงไม่ใช่ผู้รับช่วงสิทธิจากเจ้าหนี้ ดังนั้น แม้โจทก์จะทวงถามให้จำเลยชำระหนี้และจำเลยปฏิเสธ ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิตามกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55ทั้งผู้มีสิทธิที่จะฟ้องเพื่อตั้งหลักฐานแห่งสิทธิเรียกร้องเพื่อให้อายุความสะดุดหยุดลงเนื่องจากหนี้จะขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14(2) จะต้องเป็นเจ้าหนี้เช่นเดียวกัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2551/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การระงับหนี้ของผู้ค้ำประกันร่วมเมื่อเจ้าหนี้สละสิทธิกับผู้ค้ำประกันอีกคน
จำเลยและ ส. ได้ทำสัญญาค้ำประกันการกู้เงินของบริษัท ถ. จำกัด โดยยอมรับผิดต่อโจทก์อย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยและ ส. ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินไว้เป็นประกันต่อมาจำเลยได้ขายที่ดินที่จำนองเป็นประกันหนี้ไป และ ส.ได้ชำระหนี้แก่โจทก์จำนวนหนึ่งซึ่งโจทก์ได้ออกหนังสือปลดหนี้แก่ ส. แล้ว จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันร่วมในหนี้รายเดียวกันย่อมต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 682 วรรคสองเมื่อบทบัญญัติในลักษณะค้ำประกันมิได้กำหนดความรับผิดชอบผู้ค้ำประกันต่อกันไว้ จึงต้องใช้หลักทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 229 และ296 การที่โจทก์สละสิทธิต่อ ส. ย่อมมีผลทำให้หนี้ส่วนที่เหลือสำหรับส. ระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 340 และย่อมมีผลให้หนี้สำหรับจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันร่วมระงับไปด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 293

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1602/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลสั่งอายัดเงินหลังมีคำบังคับคดี และการคุ้มครองประโยชน์เจ้าหนี้จากการหลีกเลี่ยงหนี้
ศาลชั้นต้นได้ออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำบังคับใน 30 วัน เจ้าพนักงานศาลได้ส่งคำบังคับให้จำเลยโดยวิธีปิดคำบังคับเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2540 จำเลยจึงมีเวลาที่จะปฏิบัติตามคำบังคับเป็นเวลา 45 วัน นับแต่วันที่มีการปิดคำบังคับ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้คืนเงินให้จำเลยในวันที่ 9 มิถุนายน 2540 ยังไม่พ้นระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยปฏิบัติตามคำบังคับ อีกทั้งศาลชั้นต้นยังมิได้ออกหมายบังคับคดี คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจของเจ้าพนักงานบังคับคดีดังนั้น ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งเกี่ยวกับคำขออายัดเงินของโจทก์ได้ และก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งดังกล่าวศาลชั้นต้นได้ฟังคำแถลงของโจทก์เกี่ยวกับพฤติการณ์ของจำเลยที่แสดงว่าจะหลีกเลี่ยงไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาด้วยการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่คืนเงินของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ผู้ขอเพื่อความสะดวกในการที่จะบังคับตามคำพิพากษา จึงเป็นดุลพินิจ ที่ชอบและถูกต้องตามกฎหมายแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9035/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไล่เบี้ยความเสียหายจากอุบัติเหตุรถแท็กซี่: ผลผูกพันคำพิพากษาเดิม และขอบเขตความรับผิดตามสัญญา
โจทก์และจำเลยในคดีนี้กับ ป.เคยถูก ช.ฟ้องเป็นจำเลยให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเนื่องจากรถยนต์แท็กซี่ของจำเลยซึ่งขับโดย ป.ชนรถยนต์ของ ช.เสียหาย คดีถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ ป.และโจทก์ร่วมกันชำระเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแก่ ช.ส่วนจำเลยศาลพิพากษายกฟ้องเนื่องจากฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่ได้นำรถยนต์แท็กซี่พิพาทเข้าร่วมเป็นสมาชิกของโจทก์เพื่อประโยชน์ร่วมกัน แม้โจทก์กับจำเลยคดีนี้จะเป็นจำเลยด้วยกันก็ตาม ก็ต้องถือว่าโจทก์และจำเลยเป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลในคดีก่อนด้วย คำพิพากษาในคดีก่อนจึงมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยคดีนี้ด้วยตาม ป.วิ.พ.มาตรา 145 วรรคแรก ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่าจำเลยไม่ได้นำรถยนต์แท็กซี่พิพาทเข้าร่วมเป็นสมาชิกของโจทก์เพื่อประโยชน์ร่วมกัน
แม้ในแบบพิมพ์คำร้องขอลาออกจากการเป็นสมาชิกของโจทก์ซึ่งจำเลยลงชื่อจะมีข้อความว่า หากจำเลยหรือบุคคลที่จำเลยมอบหมายให้ขับรถยนต์แท็กซี่คันพิพาทได้กระทำละเมิดต่อบุคคลอื่น ทำให้โจทก์ต้องร่วมรับผิด และทางโจทก์มาทราบผลละเมิดภายหลังที่จำเลยได้ลาออกจากการเป็นสมาชิก จำเลยขอรับผิดต่อโจทก์ในความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อโจทก์ทั้งสิ้น และขอสละข้อต่อสู้ต่าง ๆ ทั้งหมดในการที่โจทก์ฟ้องไล่เบี้ยเรียกค่าเสียหายก็ตาม เงื่อนไขตามเอกสารดังกล่าวจะต้องเป็นกรณีละเมิดที่เกิดในระหว่างที่จำเลยเป็นสมาชิกและนำรถยนต์แท็กซี่พิพาทเข้าวิ่งร่วมกับโจทก์ตามสัญญารถร่วมด้วย เมื่อข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาในคดีก่อนซึ่งถึงที่สุดและผูกพันโจทก์และจำเลยว่าจำเลยไม่ได้นำรถยนต์แท็กซี่พิพาทเข้าร่วมเป็นสมาชิกของโจทก์เพื่อประโยชน์ร่วมกันและจำเลยไม่ต้องรับผิดร่วมกับโจทก์แล้วโจทก์จะมาฟ้องไล่เบี้ยเอาจากจำเลยหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9035/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันคำพิพากษาเดิมห้ามฟ้องไล่เบี้ยซ้ำ หากศาลเดิมวินิจฉัยแล้วว่าจำเลยไม่ได้เป็นสมาชิกและไม่ต้องรับผิดร่วม
โจทก์และจำเลยในคดีนี้กับป.เคยถูกช.ฟ้องเป็นจำเลยให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเนื่องจากรถยนต์แท็กซี่ของจำเลยซึ่งขับโดยป.ชนรถยนต์ของช.เสียหายคดีถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ป. และโจทก์ร่วมกันชำระเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแก่ช.ส่วนจำเลยศาลพิพากษายกฟ้องเนื่องจากฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่ได้นำรถยนต์แท็กซี่พิพาทเข้าร่วมเป็นสมาชิกของโจทก์เพื่อประโยชน์ร่วมกันแม้โจทก์กับจำเลยคดีนี้จะเป็นจำเลยด้วยกันก็ตามก็ต้องถือว่าโจทก์และจำเลยเป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลในคดีก่อนด้วยคำพิพากษาในคดีก่อนจึงมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยคดีนี้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145วรรคแรกข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่าจำเลยไม่ได้นำรถยนต์แท็กซี่พิพาทเข้าร่วมเป็นสมาชิกของโจทก์เพื่อประโยชน์ร่วมกัน แม้ในแบบพิมพ์คำร้องขอลาออกจากการเป็นสมาชิกของโจทก์ซึ่งจำเลยลงชื่อจะมีข้อความว่าหากจำเลยหรือบุคคลที่จำเลยมอบหมายให้ขับรถยนต์แท็กซี่คันพิพาทได้กระทำละเมิดต่อบุคคลอื่นทำให้โจทก์ต้องร่วมรับผิดและทางโจทก์มาทราบผลละเมิดภายหลังที่จำเลยได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกจำเลยขอรับผิดต่อโจทก์ในความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อโจทก์ทั้งสิ้นและขอสละข้อต่อสู้ต่างๆทั้งหมดในการที่โจทก์ฟ้องไล่เบี้ยเรียกค่าเสียหายก็ตามเงื่อนไขตามเอกสารดังกล่าวจะต้องเป็นกรณีละเมิดที่เกิดในระหว่างที่จำเลยเป็นสมาชิกและนำรถยนต์แท็กซี่พิพาทเข้าวิ่งร่วมกับโจทก์ตามสัญญารถร่วมด้วยเมื่อข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาในคดีก่อนซึ่งถึงที่สุดและผูกพันโจทก์และจำเลยว่าจำเลยไม่ได้นำรถยนต์แท็กซี่พิพาทเข้าร่วมเป็นสมาชิกของโจทก์เพื่อประโยชน์ร่วมกันและจำเลยไม่ต้องรับผิดร่วมกับโจทก์แล้วโจทก์จะมาฟ้องไล่เบี้ยเอาจากจำเลยหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4839/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลูกหนี้ร่วมอาวัล การใช้หนี้และการช่วงสิทธิเรียกร้อง
เมื่อโจทก์และจำเลยต่างเป็นผู้รับประกันด้วยอาวัลเช็คด้วยกัน จึงต้องร่วมรับผิดต่อผู้ทรงตาม ป.พ.พ. มาตรา 989 ประกอบมาตรา 967วรรคแรก โจทก์และจำเลยจึงเป็นลูกหนี้ร่วมกันตามบทมาตราดังกล่าวข้างต้น เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลผู้มีความผูกพันร่วมกับจำเลยในอันจะต้องใช้หนี้ มีส่วนได้เสียด้วยในการใช้หนี้ได้เข้าใช้หนี้นั้นแล้ว โจทก์ย่อมได้รับช่วงสิทธิมาเรียกร้องจากจำเลยได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 229

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4839/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลูกหนี้ร่วมรับผิดชอบหนี้เช็ค: การได้รับช่วงสิทธิเรียกร้องจากลูกหนี้ร่วม
โจทก์และจำเลยต่างเป็นผู้รับประกันด้วยอาวัลผู้สั่งจ่ายเช็คต้องร่วมรับผิดต่อว.ผู้ทรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา989ประกอบมาตรา967วรรคแรกโจทก์และจำเลยจึงเป็นลูกหนี้ร่วมกันเมื่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลผู้มีความผูกพันร่วมกับจำเลยในอันจะต้องใช้หนี้มีส่วนได้เสียด้วยในการใช้หนี้ได้เข้าใช้หนี้นั้นแก่ว.แล้วโจทก์ย่อมได้รับช่วงสิทธิว. มาเรียกร้องจากจำเลยได้ครึ่งหนึ่งของเงินที่ได้ชำระไปตามมาตรา229

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4839/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลูกหนี้ร่วมรับผิดชอบชำระหนี้และการได้รับช่วงสิทธิเมื่อชำระหนี้แทน
โจทก์จำเลยต่างเป็นผู้รับประกันด้วยอาวัลผู้สั่งจ่ายเช็คต้องร่วมรับผิดต่อ ว. ผู้ทรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 989 ประกอบมาตรา 967 วรรคแรก โจทก์และจำเลยจึงเป็นลูกหนี้ร่วมกันเมื่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลผู้มีความผูกพันร่วมกับจำเลยในอันจะต้องใช้หนี้ มีส่วนได้เสียด้วยในการใช้หนี้ได้เข้าใช้หนี้นั้นแก่ ว.แล้วโจทก์ย่อมได้รับช่วงสิทธิว.มาเรียกร้องจากจำเลยได้ครึ่งหนึ่งของเงินที่ได้ชำระไปตามมาตรา 229

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1245/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลและค่าจัดการศพของผู้ที่จ่ายแทนผู้อื่นที่ถูกละเมิด
เงินค่ารักษาพยาบาลและค่าจัดการศพให้แก่ผู้โดยสารที่โดยสารมาในรถคันเกิดเหตุของโจทก์ แม้จะเป็นค่าใช้จ่ายที่โจทก์ได้จ่ายไปในการรักษาพยาบาลแก่ผู้โดยสารที่ได้รับบาดเจ็บ และค่าจัดการศพผู้ตายที่โดยสารมาในรถยนต์โดยสารของโจทก์ก็ตาม โจทก์ก็หามีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 นายจ้างของผู้ทำละเมิดชดใช้ไม่ เนื่องจากไม่มีกฎหมายให้สิทธิแก่ผู้ที่จ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าจัดการศพแก่ผู้อื่นที่ถูกทำละเมิดเรียกร้องเอาค่าใช้จ่ายดังกล่าวจากผู้ทำละเมิดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2807/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนประกันภัยเมื่อมีการจำนองและโอนทรัพย์สิน สิทธิจะตกเป็นของผู้ใด
ที่ดินและตึกแถวเป็นของ ศ. ซึ่งได้จำนองแก่ธนาคารและได้เอาประกันภัยไว้กับจำเลย โดยระบุให้ธนาคารเป็นผู้รับประโยชน์ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 231 สิทธิจำนองย่อมครอบไปถึงสิทธิที่จะเรียกร้องเอาแก่ผู้รับประกันภัย อันมีความหมายว่าค่าสินไหมทดแทนที่ธนาคารผู้รับจำนองจะพึงเรียกได้จากจำเลยผู้รับประกันภัยก็ตกอยู่ในฐานะนิตินัยอย่างเดียวกับทรัพย์ที่จำนองดังนั้นหากเกิดเพลิงไหม้ตึกแถวในระหว่างการจำนอง ธนาคารย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยแทนตึกแถวจากจำเลยได้โดยตรง จึงเป็นกรณีที่ธนาคารในฐานะเจ้าหนี้จำนองรับช่วงทรัพย์อันได้แก่สิทธิเรียกร้องของ ศ. ลูกหนี้ที่เอาประกันภัยที่มีอยู่กับจำเลยในฐานะผู้รับประกันภัยตามมาตรา 226 วรรค 2 เมื่อตึกแถวมิได้ถูกเพลิงไหม้ในระหว่างการจำนองและ ศ. ได้จดทะเบียนไถ่จำนองโดยโจทก์เป็นผู้ชำระหนี้แก่ธนาคารแทน ศ.แล้วศ. ได้จดทะเบียนโอนขายให้โจทก์โดยปลอดการจำนอง จึงทำให้สิทธิจำนองระงับไปและธนาคารผู้รับจำนองหมดสิทธิที่จะได้รับช่วงทรัพย์อันได้แก่สิทธิเรียกร้องตามกรมธรรม์ประกันภัยที่ ศ. มีอยู่ต่อจำเลยอีกต่อไปตามมาตรา 231 สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในกรมธรรม์ประกันภัยจึงกลับมาเป็นของ ศ. ผู้เอาประกันภัยตามเดิม ต่อมาเกิดเพลิงไหม้ตึกแถวโจทก์ก็ไม่อาจอ้างได้ว่าโจทก์ได้รับช่วงสิทธิด้วยอำนาจกฎหมายจากธนาคารผู้รับจำนองเพราะโจทก์เป็นบุคคลผู้ได้ไปซึ่งอสังหาริมทรัพย์และเอาเงินราคาค่าซื้อให้แก่ผู้รับจำนองทรัพย์สินเสร็จไปตามมาตรา 229(2) การที่ ศ. โอนตึกแถวให้โจทก์ สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในสัญญาประกันภัยของ ศ. จะโอนมาเป็นของโจทก์ด้วยหรือไม่นั้นต้องบังคับตามมาตรา 875 วรรคสอง เมื่อ ศ. ผู้เอาประกันภัยไม่ได้บอกกล่าวการโอนให้จำเลยทราบเพราะไม่ทราบเงื่อนไขจนกระทั่งเกิดเพลิงไหม้ตึกแถว สิทธิในสัญญาประกันภัยจึงไม่โอนตามไปด้วยและตามกรมธรรม์ประกันภัยระบุไว้ว่าสัญญาตามกรมธรรม์ประกันภัยย่อมระงับสิ้นไปเมื่อทรัพย์สินซึ่งได้เอาประกันภัยไว้ได้เปลี่ยนมือจากผู้เอาประกันภัยโดยวิธีอื่นนอกจากทางพินัยกรรมหรือโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัย
of 6